ตอนที่ 1,109 ผีดิบ

งานประลองกระบี่ยุติลงชั่วคราว

ทุกสำนักกลับมาพักผ่อนในตัวเมืองไป๋หยุนอีกครั้ง

“เฮ้อ นับเป็นโชคดีที่พวกเราผ่านเข้ารอบไปได้”

ติงซานฉือกลับมาถึงที่พักของสำนักกระบี่อมตะด้วยสีหน้าปลอดโปร่งโล่งใจ

ทุกคนพูดอะไรไม่ออก

แม้แต่ศิษย์น้องหกอย่างสือจงเซิ่งกับศิษย์น้องอิ๋นซานก็ยังไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรพูดอะไรกับศิษย์พี่ท่านนี้

ติงซานฉือมีสถานะเป็นเจ้าสำนักกระบี่อมตะ แต่ชายชรากลับรักตัวกลัวตายยิ่งกว่าอะไรดี ทุกครั้งที่ต้องก้าวลงไปอยู่บนสังเวียนประลอง ติงซานฉือเป็นต้องหาข้ออ้างหลบหนีไปทุกครั้ง เหอชิงฮวาถึงกับตั้งฉายานามให้เขาว่าติงซานฉิว เนื่องจากชายชราสามารถวิ่งฉิวหลบหนีไปได้อย่างไร้ยางอายยิ่งนัก

“ทำไมพวกเจ้าถึงทำสีหน้าเช่นนี้?”

เมื่อติงซานฉือพบเห็นสีหน้าของศิษย์น้องทั้งสองของตนเองก็อดถามออกมาไม่ได้ “หรือว่าพวกเจ้าอับอายที่ข้าวิ่งหนีการประลอง? นี่ใจพวกเจ้าอยากจะส่งข้าขึ้นไปตายบนเวทีประลองนั่นจริง ๆ หรือ?”

เอ่อ…

อิ๋นซานกับสือจงเซิ่งหันมองหน้ากัน

คำพูดของติงซานฉือก็มีเหตุผลควรรับฟังไม่ใช่น้อย

เมื่อรู้ตัวว่าหากต่อสู้แล้วต้องพ่ายแพ้แน่ ๆ การชิงยอมแพ้โดยไม่ต้องเจ็บตัวจึงเป็นสิ่งที่สมควรกระทำที่สุดแล้ว

ถึงจะถูกตราหน้าว่าเป็นบุคคลขี้ขลาด แต่อย่างน้อยก็ยังรอดชีวิต

“หากข้าไม่กลัวตาย ป่านนี้ข้าคงได้ครอบครองเมืองไป๋หยุนไปแล้ว”

ติงซานฉือพูดออกมาอย่างมั่นใจในตัวเอง “เจ้าตัวบัดซบ มีคำไหนจะพูดบ้างหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินที่กำลังนั่งรับประทานผลกวนเจี๋ยพยักหน้าหงึกหงักกล่าวสนับสนุนว่า “กราบเรียนอาจารย์อาทั้งสอง อาจารย์ของข้ากล่าวได้ถูกต้องที่สุดแล้ว”

สิ่งสำคัญที่สุดคือการมีชีวิตอยู่รอดต่อไป

หากกระทำตัวกล้าหาญแล้วต้องเสียชีวิต นั่นจึงเรียกว่าเป็นการกระทำของคนโง่

ครั้งนี้ หลินเป่ยเฉินเห็นด้วยกับแนวคิดของติงซานฉือสุดลิ่มทิ่มประตู

หากเปลี่ยนเป็นตัวเขาเอง เมื่อรู้ว่าจะต้องพ่ายแพ้แน่ ๆ หลินเป่ยเฉินก็คงไม่มีทางเหยียบเท้าลงไปบนสังเวียนประลองด้วยซ้ำ

“ยังคงเป็นเจ้าที่รู้จักอาจารย์มากที่สุด”

ติงซานฉือพยักหน้าด้วยความพอใจและพูดต่อ “แต่หลายกระบวนท่าที่เจ้าใช้ออกมาในวันนี้ยังทำได้ดีไม่พอ เจ้าไม่ได้ทำตามอย่างที่อาจารย์เคยสอนเอาไว้ ตามข้ามา ข้าจะปรับพื้นฐานการใช้กระบี่ให้เจ้าเอง”

พูดจบ ชายชราก็เดินนำไปยังลานด้านหลังสำนัก

นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?

กระบวนท่าที่เขาใช้ออกมาในวันนี้เป็นกระบวนท่าลำดับที่เจ็ดจากวิชากระบี่ 17 คาบสมุทร

แต่อาจารย์ติงเพิ่งฝึกถึงเพียงกระบวนท่าที่สามเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ?

หลินเป่ยเฉินจำใจต้องลุกขึ้นเดินตามออกไป

เมื่อเห็นดังนั้น สือจงเซิ่ง อิ๋นซานและลูกศิษย์คนอื่น ๆ ในสำนักกระบี่อมตะก็ให้เกิดความรู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมาชอบกล

แม้ว่าติงซานฉือจะไม่ยอมแสดงฝีมือบนสังเวียนประลอง แต่เห็นได้ชัดว่าชายชรามีมาตรฐานในการใช้กระบี่สูงส่งมากทีเดียว

พวกเขาไม่แปลกใจอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดหลินเป่ยเฉินถึงได้มีความเก่งกาจเช่นนี้

ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าเด็กหนุ่มถูกติงซานฉือเคี่ยวกรำอย่างหนักนั่นเอง

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ลูกศิษย์และอาจารย์ก็เดินกลับมาในสำนักอีกครั้ง

อิ๋นซานทำอาหารรอไว้แล้ว

“ศิษย์พี่ ท่านไปจวนของท่านเจ้าเมืองตั้งหลายครั้ง ไม่ทราบได้ข้อมูลอะไรมาบ้างหรือไม่?”

สือจงเซิ่งถามออกมา

ติงซานฉือตอบว่า “ข้าหาโอกาสค้นทั่วจวนเจ้าเมืองแล้ว แต่ก็ไม่พบเจอเบาะแสใด ๆ ทั้งสิ้น ถึงอย่างนั้น ข้ากลับพบว่าฉู่อวิ๋นซุนต้องลงไปฝึกวิชาในบ่อน้ำประหลาดเป็นประจำ ข้าเองก็อยากเข้าไปดูเหมือนกันว่าเขาฝึกวิชาอะไรกันแน่ แต่น่าเสียดายที่ลู่กวนไห่ดูแลอาณาเขตนั้นอย่างเข้มงวด ข้าไม่กล้าเข้าไปใกล้มากเกินไป เพราะกลัวว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”

สือจงเซิ่งกล่าวว่า “ข้ามั่นใจว่าท่านเจ้าเมืองคนเก่ายังมีชีวิตอยู่ บางทีเขาอาจจะยังอยู่ในเมืองนี้ด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่ผ่านไปเนิ่นนานขนาดนี้ พวกเรายังไม่พบเจอเบาะแสใด ๆ เลย”

“วางใจเถอะ ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว ข้าจะต้องไขปริศนาได้แน่นอน”

ติงซานฉือกล่าว “ต่อให้ข้าทำไม่สำเร็จ แต่ข้าก็มีลูกศิษย์สุดที่รักอยู่ทั้งคน”

หลินเป่ยเฉินยกมือทำท่าดันแว่นโดยไม่รู้ตัว

บัดนี้ อาจารย์ติงเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมมากขึ้นทุกวัน ไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์ติงผู้เถรตรงคนเก่าที่เคยสอนวิชากระบี่ให้เขาในสำนักศึกษากระบี่ที่สามของเมืองหยุนเมิ่ง

แต่หากอาจารย์ติงไปที่จวนท่านเจ้าเมืองเพื่อสืบเสาะหาเบาะแสจริง ๆ หลินเป่ยเฉินก็ไม่ประหลาดใจอีกแล้ว

ดังนั้น หลายคืนก่อนที่อาจารย์กลับมาดึกดื่นในสภาพไร้เรี่ยวแรง ก็คงไม่ใช่เพราะไปเริงรักกับอดีตคนรักเก่า แต่เป็นเพราะใช้พลังหมดไปกับการสืบสวนหาเบาะแสท่านเจ้าเมืองคนเก่ากระมัง?

หลินเป่ยเฉินรู้แล้วว่าตนเองอาจจะมองอาจารย์ติงผิดไป

“อย่างไรศิษย์พี่ก็ต้องระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”

อิ๋นซานเตือนด้วยความห่วงใย

“วางใจเถอะ ในเมืองไป๋หยุนแห่งนี้ ไม่มีใครกล้าทำอะไรข้าหรอก”

ติงซานฉือกล่าวด้วยความมั่นใจ “อย่าลืมสิว่าภาพลักษณ์ของข้าเลวร้ายขนาดไหน นอกจากจะเป็นตัวชั่วช้าแล้ว ข้ายังเป็นบุคคลสมองเสื่อม แล้วจะมีผู้ใดมามีปัญหากับข้าได้อย่างไร”

หลินเป่ยเฉินไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ ได้แต่ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารเป็นเพื่อนเซียวปิง

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จสิ้น เฉียนเหมยก็พาอากวงออกไปสืบหาข่าว

หลินเป่ยเฉินส่งข้อความหาเทพีกระบี่หิมะไร้นามเพื่อปรึกษาถึงแผนการขั้นต่อไป

ครึ่งชั่วยามต่อมา เฉียนเหมยก็กลับมารายงานอย่างมีความสุข “ดูเหมือนสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติแล้วเจ้าค่ะ คนของสำนักกระบี่ทรงกลดและคนของสำนักมหากระบี่สามารถเดินทางกลับได้อย่างปลอดภัย ไม่มีกลุ่มมือสังหารลอบโจมตีระหว่างทางอีกแล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

“แต่ข้าก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล”

ติงซานฉือมีสีหน้าหวั่นวิตกขณะพูดว่า “สือจงเซิ่ง อิ๋นซาน พวกเจ้ารวบรวมมือดีของพวกเรา จัดเตรียมเส้นทางหลบหนียามเกิดเหตุฉุกเฉินอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้เด็ดขาด หากจบการประลองครั้งนี้และเมืองไป๋หยุนถูกกวาดล้างขึ้นมา อย่างน้อยลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุนบางส่วนก็จะได้หลบหนีออกไปอย่างปลอดภัย”

“แต่ท่านพี่ ตอนนี้สถานการณ์ก็ดูคลี่คลายลงแล้ว มันจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นได้อย่างไร?”

สือจงเซิ่งส่งเสียงแทรกขึ้นมาอย่างไม่เห็นด้วย

“ป้องกันเอาไว้ก่อนก็ไม่มีอะไรเสียหาย หากเกิดปัญหาขึ้นมาจริง ๆ พวกเจ้าก็จะได้มีหนทางเอาตัวรอด”

ติงซานฉือพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความห่วงใย

“นี่อาจารย์ไปรู้อะไรมาหรือเปล่าขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยหัวใจที่กระตุกวูบ

“ก็แค่เกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาเท่านั้น”

ติงซานฉือตอบ

อิ๋นซานเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอียงศีรษะกล่าวออกมาว่า “แต่การจัดเตรียมกำลังคนเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะปกปิดกันได้ง่าย ๆ อย่างน้อยก็ย่อมไม่อาจรอดพ้นหูตาของเสี่ยวหรานเจ้าสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วเด็ดขาด เมื่อเขารู้ เขาก็ต้องยื่นมือเข้ามาแทรกแซงแน่นอน”

เสี่ยวหรานคือคนเก่าคนแก่ของเมืองไป๋หยุน มีบุคลิกแข็งกระด้าง ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่ผู้ใดง่าย ๆ

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ลูกศิษย์เมืองไป๋หยุนจำนวนมากต้องถูกเขาลงโทษอย่างหนักเพียงเพราะกระทำความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ

และการซ่องสุมกำลังคนเช่นนี้ถือเป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎระเบียบของเมืองไป๋หยุน เสี่ยวหรานยิ่งไม่มีทางปล่อยผ่านไปเด็ดขาด

“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขามาคุยกับข้า ข้าเป็นเจ้าสำนักกระบี่อมตะ ข้าจะจัดการเอง”

ติงซานฉือประพฤติตนเป็นบุคคลที่มีความรับผิดชอบขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก “ข้ามีลูกศิษย์เป็นหลินเป่ยเฉินทั้งคน แล้วยังจะต้องกลัวผู้ใดอีก?”

ทุกคนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

แต่ในจังหวะนั้นเอง…

“กรี๊ดดดดดดดดดดด….”

ได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตกใจดังมาจากลานห้องครัวทางด้านหลัง

และไม่กี่ลมหายใจต่อมา เฉียนเหมยก็เห็นเฉียนเจินพุ่งตัวเข้ามารายงานด้วยความตื่นตระหนกตกใจว่า “นายท่านเจ้าคะ ผีดิบเจ้าค่ะ มีผีดิบบุกเข้ามา… ผีดิบบุกเข้ามาที่ลานด้านหลัง…”

ว่าไงนะ?

ผีดิบ?

ที่นี่มีผีดิบด้วยหรือ?

ใช่ผีดิบจริงหรือเปล่า?

หลินเป่ยเฉินรีบลุกขึ้นยืนทันที “พวกเราออกไปดูกันเถอะ”

อิ๋นซานกับสือจงเซิ่งก็ตามไปดูด้วยความสงสัยเช่นกัน

ณ ลานกว้างด้านหลังสำนักกระบี่อมตะ

ได้กลิ่นเหม็นคาวแปลกประหลาดลอยอยู่ในอากาศ

สายตาของทุกคนพบเข้ากับร่างสีดำขนาดใหญ่กว่าเจ็ดเซี๊ยะกำลังนอนพังพาบอยู่บริเวณขอบสระน้ำในลานกว้างด้านหลังสำนัก ลำตัวครึ่งหนึ่งของมันแช่อยู่ในน้ำ อีกครึ่งหนึ่งกำลังพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาบนตลิ่ง

เมื่อมองดูจากระยะไกล นี่นับว่าเป็นผีดิบตัวหนึ่งจริง ๆ

“เข้าไปจับตัวมันซะ”

อิ๋นซานระเบิดเสียงออกคำสั่ง

กลุ่มลูกศิษย์สำนักกระบี่อมตะทะยานเข้าไปลงมืออย่างรวดเร็ว

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น

ผีดิบที่อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงก็หมดหนทางต่อสู้ มันยอมแพ้และถูกควบคุมตัวลากขึ้นมาจากริมตลิ่ง

เห็นได้ชัดว่าร่างกายของมันกำลังอ่อนแอมาก ไม่มีผู้ใดทราบว่าขั้นพลังที่แท้จริงของผีดิบตัวนี้แข็งแกร่งมากน้อยเพียงใด

เสื้อผ้าที่สวมใส่ถูกเปลวไฟเผาไหม้ เหลือเนื้อหนังที่ยังสมบูรณ์อยู่เพียงบางส่วนเท่านั้น

แต่เค้าโครงใบหน้ากลับดูคุ้นตาอย่างประหลาด

หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือปัดเส้นผมที่ปิดบังหน้าตาผีดิบตัวนี้ออกไป

“ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง…”

หลินเป่ยเฉินพลันอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง