ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 166 ค่ายกลสถานศึกษาหนานซีจากชายผู้หนึ่ง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เหล่าผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นล้วนไม่ได้รับรู้ถึงภาพเหตุการณ์ที่อยู่ด้านหน้าเขตพระราชฐาน ไม่ทราบเรื่องราวความเป็นไปอย่างละเอียด ยิ่งไม่ทราบได้ว่าเหตุใดศิลายักษ์นั่นจึงได้กลายเป็นหิมะกองใหญ่ได้ หลังจากนั้นก็อาจจะกลายเป็นเพียงเรื่องมงคลวาสนาที่ดีระหว่างกุลีเผ่าหมีกับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งเท่านั้น

แต่พวกเขาทราบว่ากระบี่เหล่านั้นที่พุ่งตัวออกมาจากฝักกระบี่ของเฉินฉางเซิงนั้นทำอันใดไป

หอทัศนะทั้งสี่ทิศล้วนเงียบสงัด

เฉินฉางเซิงมีชัยอีกคราแล้ว

ราชามารแจ้งแก่ใจนัก เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนทราบว่าเขาชนะที่จุดใด และคำพูดนั้นหมายถึงอะไร

ท่าทางของมู่ฮูหยินยังคงเฉยชา มิทราบว่ากำลังคิดเรื่องอันใดอยู่ หัวหน้าเผ่าเซี่ยง ไท่กงของเผ่าลู่ และคนอื่นๆ สีหน้ายังคงไม่น่าดู

หัวหน้าเผ่าสยงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าตนนั้นดูเฉินฉางเซิงไม่ผิดเลย และหัวหน้าเผ่าชื่อเองก็พอใจยิ่งกว่า เขารู้สึกว่าในช่วงเวลาที่ตึงเครียดเช่นนี้ใต้เท้าสังฆราชไม่ลืมที่จะใช้วิธีการนี้รักษาไวซึ่งมิตรภาพระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าปีศาจ ช่างรอบคอบและเด็ดขาดเสียจริง

เฉินฉางเซิงเองมิได้ไตร่ตรองอันใดมาก เขาเพียงรู้สึกพบเจอเรื่องนี้เข้า หลังจากนั้นจึงลงมือทำเสีย

ทำตามที่ใจคิด ต้องใช้สมองที่ไหนกันเล่า

กระบี่นับไม่ถ้วนลอยกลับมาจากนอกหอทัศนะ มารวมตัวกับกระบี่ข้างกายเขากว่าร้อยเล่ม

ตอนนี้เอง มีเสียงที่ดูเหมือนจะไม่แยแสและเย่อหยิ่งราวกับว่าดังขึ้นมาจากทะเลแห่งดวงดาว

“หยุดมือเถิด”

ผู้เอ่ยคำนั้นคือมู่ฮูหยิน

เฉินฉางเซิงมิได้หยุดมือ

เขาต้องการสังหารราชามาร และราชามารเองก็ต้องการสังหารเขา ในเมื่อเป็นตายยังไม่ได้ตัดสิน การต่อสู้จึงยังไม่จบลง

หากไม่ถึงที่สุดแล้ว จะไม่มีชัยชนะอย่างแท้จริง

อากาศบนหอทัศนะถูกทอนแบ่งเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วนด้วยฝีมือของเจตจำนงกระบี่อันน่าสะพรึงกลัว

พลังกระบี่ที่ดุดันราวกับพายุดูเหมือนจะทำให้เมฆบนท้องนภาถาโถมพลิกกลับไปมา

ละอองดาวบนพื้นที่ราบหิมะล้วนกำลังแผดเผาอย่างรุนแรงอยู่ในกายเขา

ห้วงแห่งจิตเขาราวกับมีคลื่นกว่าร้อยจั้งพัดโหมอยู่อย่างบ้าคลั่ง

บรรดากระบี่บนท้องนภา ต่างก็สำแดงเพลงกระบี่ชั้นเลิศนับไม่ถ้วนภายใต้การชี้นำจากดวงจิตของเขา ต่างก็ให้ความร่วมมือกัน ส่งหน้าไปสังหารราชามาร

หมู่มวลกระบี่ที่มากราวกับเม็ดฝนดาหน้าเข้าไปตามเสียงกระบี่ที่กังวาน พลังเสียงก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก

เมื่อเผชิญหน้าเข้ากับการโจมตีที่ทรงพลังเยี่ยงนี้ และเมื่อเผชิญหน้ากับเพลงกระบี่ที่มิมีผู้ใดสามารถมองขาดนี้ได้ สีหน้าของราชามารกลับไม่มีซึ่งความกลัวใดๆ

ถึงแม้ว่าเขาจะพ่ายให้กระบี่ของเฉินฉางเซิงมาสองหนแล้ว

แต่สีหน้าเขาสงบนิ่งยิ่งนัก เขาปล่อยมือทั้งสองข้างลงข้างกายอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วค่อยๆ ซ่อนมือสองมือนั้นไว้ในแขนเสื้อเสีย

มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ว่า คำพูดของมู่ฮูหยินนั้นมิได้เอ่ยกับเฉินฉางเซิง แต่นางจงใจเอ่ยต่อเขา

……

……

เนื่องจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ราชามารได้ปล่อยไอพลังปราณออกมา ทำให้เมืองไป๋ตี้อากาศหนาวเย็นขึ้นหลายส่วน เมื่อถูกแสงอาทิตย์อบอุ่นสาดส่องไปไม่นานทั้งตรอกและซอกซอยก็เกิดหมอกขึ้นนับไม่ถ้วน จู่ๆ หมอกนั้นก็หมุนตัวขึ้นมา แล้วพุ่งเข้าไปยังด้านบนของเมือง

ในที่สุดมู่ฮูหยินก็ลงมือแล้ว

นางสะบัดแขนเสื้อ บังเกิดลมที่พัดมาจากส่วนลึกของทะเลตะวันตก พัดพาหอบเอาหมอกของทั้งสองฝั่งแม่น้ำให้ลอยล่องมายังที่แห่งนี้

หมอกนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามายังเขตพระราชฐาน ไหลไปตามบันไดศิลา ทะลุพฤกษาและบุปผาบนหอทัศนะ สุดท้ายรวมตัวกับเป็นเมฆ

นั่นคือเมฆจริงๆ แต่กลับมีความรู้สึกว่าประณีตเสมือนไม่ใช่ของจริง เมื่อเทียบกับเมฆหนาวเหน็บของราชามารแล้ว เมฆนี้ขาวบริสุทธิ์กว่า มองแล้วเหมือนฝูงแกะ ดูธรรมดายิ่งนัก แต่หากใช้จิตสัมผัสสำรวจละก็ บางทีก็อาจจะเข้าใจได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ลึกซึ้งเกินคาดเดา

เมฆขาวบริสุทธิ์นั้นกลืนกินเงาของราชามารไปหมด หลังจากนั้นไม่นานก็บดบังฝนกระบี่ที่ตกลงมาจากท้องนภาเสียสิ้น

หอทัศนะตกอยู่ในความเงียบ

ทั้งเฉินฉางเซิงและราชามารต่างก็เป็นเลิศ ในหลายปีที่ผ่านมาจักต้องได้เป็นนักปราชญ์ที่แท้จริงแน่

มู่ฮูหยินได้ขึ้นเป็นนักปราชญ์มาหลายปีแล้ว

ต่อให้เฉินฉางเซิงและราชามารมีสมบัติลำค่าของสำนักฝึกหลวงและศาสตรามารอันสูงศักดิ์ ก็มิอาจเป็นคู่ต่อกรของนางได้

อีกทั้งนางยังเป็นถึงจักรพรรดินีของเผ่าปีศาจ ในช่วงเวลาที่ฝ่าบาทไป๋ตี้กำลังกักตนบำเพ็ญเพียรนี้ จิตใจที่มุ่งมั่นของนางนี้ถือเป็นกระบอกเสียงอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเผ่าปีศาจ

หรืออาจเป็นด้วยสาเหตุนี้ ราชามารจึงมิได้ต่อต้าน ปล่อยให้เมฆขาวนั้นบดบังตามอำเภอใจ

ก่อนหน้าที่เงาของเขาจะหายไป มือยังเขายังคงอยู่ในแขนเสื้อ มิได้ดึงออกมา

เฉินฉางเซิงเองก็มิได้ให้กระบี่บนนภาเหล่านั้นตกลงมา

ท่ามกลางความเงียบสงัด เวลาเดินต่อไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดเมฆขาวเหนือหอทัศนะก็จางหายไป

เงาร่างของราชามารก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่รู้ว่าหายไปที่ใดในเมฆขาว

เฉินฉางเซิงมองไปยังรอยศิลาแตกบนผิวพื้น ไม่รู้ว่าเขามีความคิดอันใด

อาภรณ์ที่งดงามทิ้งตัวลงสู่พื้น เมฆขาวสลายไป ต่างก็ตกลงสู่เบื้องล่างราวกับน้ำตก ทุกสิ่งกลับเข้าสู่ความสงบแล้ว

มู่ฮูหยินเก็บมือแล้ว

เฉินฉางเซิงมิได้เก็บกระบี่

เขามองไปทางมู่ฮูหยิน

กระบี่ที่ลอยเคว้งในอากาศ ก็ค่อยๆ ขยับตามสายตาการมองของเขา สุดท้ายก็พุ่งเป้าไปที่มู่ฮูหยิน

ฉากนี้มีความงดงามอย่างน่าประหลาด แต่ก็มีความรู้สึกบีบรัดที่ยากจะจินตนาการด้วยเช่นกัน

หรือว่า เขาจะประมือกับมู่ฮูหยิน

“บังอาจ!”

ไท่กงเผ่าลู่สีหน้าบิดเบี้ยว เขาเอ่ยกับเฉินฉางเซิงด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “ใต้เท้าสังฆราชยังไม่รีบเก็บกระบี่อีก!”

หัวหน้าเผ่าบางท่านและขุนนางต่างก็เริ่มตำหนิเฉินฉางเซิงขึ้นมา

แต่หลายคนก็ยังคงเงียบอยู่อย่างเดิม

ความเงียบนี้เดิมทีก็หมายความได้หลายอย่าง

เกิดเสียงก้าวเท้าขึ้น

หัวหน้าเผ่าสยงถือเอากระบองเดินเข้ามา เขายืนอยู่เบื้องหลังเฉินฉางเซิง

หัวหน้าเผ่าชื่อก็เดินตามมาเช่นกัน แต่ที่ที่เขายืนจะใกล้กับลั่วลั่วหน่อย

หลังจากนั้นเป็นใต้เท้าอัครเสนาบดีที่นำศิษย์รวมถึงผู้อาวุโสเผ่าปีศาจที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มายืนอยู่เบื้องหลังของเฉินฉางเซิงและลั่วลั่ว

เป็นพันธมิตรกับเผ่ามารเป็นความปรารถนาของฝ่าบาททั้งสองพระองค์อยู่แล้ว ทั้งยังได้รับการยอมรับจากสมาชิกเสียงส่วนมากจากสมัชชาผู้อาวุโสแล้ว แต่เมื่อยามอยู่ในการประชุมนั้น ยังคงมีหัวหน้าเผ่าถึงสี่ส่วนและขุนนางเผ่าปีศาจที่แสดงจุดยืนคัดค้าน

ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว

เฉินฉางเซิงขึ้นเวทีในฐานะใต้เท้าสังฆราช นำมาซึ่งเสียงขานรับที่แข็งแกร่งที่สุดจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ ขับไล่ราชามารไปได้

แม้ว่ามู่ฮูหยินจะออกหน้ายับยั้งการประลองเอาไว้เสีย แต่ทุกคนล้วนมองเห็นแล้วถึงการแพ้ชนะ

ประเด็นนี้สำคัญยิ่ง

พวกที่เป็นมิตรกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ บรรดาผู้อาวุโสเผ่าปีศาจที่รักและทะนุถนอมองค์หญิงลั่วลั่ว มีแรงใจและความเชื่อมั่นแล้ว

แต่บรรดาผู้อาวุโสที่ยังคงคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตนนั้น ก็เริ่มเกิดความเห็นต่างแล้ว

……

……

มู่ฮูหยินจ้องไปยังเฉินฉางเซิงนิ่งก่อนเอ่ย “ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้หนึ่งครั้ง เจ้าไม่เอ่ยว่าจะตอบแทนอย่างไร กลับหันกระบี่มาเผชิญหน้าข้ารึ”

เฉินฉางเซิงแจ้งแก่ใจในเจตนาของนาง

ในตอนที่กระบี่ของเขากำลังจะตกลงเมื่อครู่ เขาก็รู้สึกถึงสัญญาณเตือนที่รุนแรงมาก ราวกับว่ามีบางสิ่งที่อันตรายกำลังจะเกิดขึ้น ความรู้สึกแบบนี้แทบจะไม่ปรากฏขึ้นเลย ครั้งสุดท้ายที่เห็นคือตอนที่เขายังอยู่ที่สันเขาหิมะก่อนจะเห็นลำแสงทะลุผ่านทะเลแห่งดวงดาว

เขาเองไม่ได้สังเกตเลยว่า ราชามารนั้นกุมมือไว้ในแขนเสื้อตลอด

หรือว่าราชามารเตรียมใช้พิฆาตดวงดาวรึ

แต่ว่าต่อให้ราชามารใช้พิฆาตดวงดาว อีกครั้งจริง ราชามารจะบอกพิกัดของตนให้กับอีกด้านของดวงดาวได้อย่างไรเล่า

คำถามนี้ไม่มีคำตอบ เพราะว่ามู่ฮูหยินลงมือหยุดเรื่องที่อาจจะเกิดต่อไปไว้ก่อน

เฉินฉางเซิงรู้ว่ามู่ฮูหยินไม่ได้ประสงค์ดีกับตน นางลงมือน่าจะด้วยสาเหตุบางประการ ไม่ยินยอมให้ราชามารใช้กลยุทธ์นั้น

แต่สุดท้ายก็เป็นนางที่หยุดเรื่องทั้งหมดเอาไว้ จึงทำให้สัญญาณเตือนที่แรงกล้านั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้นเขาจึงมิได้โต้แย้งสิ่งใด

ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้ มู่ฮูหยินหาได้สนใจไม่

ที่นางสนใจคือกระบี่เหล่านั้นของเฉินฉางเซิงต่างหาก

“เจ้าใช้กระบี่อะไรกันแน่”

ราชามารไม่ทราบว่าเฉินฉางเชิงใช้กระบี่ชนิดใด มู่ฮูหยินเองก็ไม่แน่ใจ แม้นอายุจะมากกว่า หัวหน้าเผ่าเซี่ยงที่รอบรู้ทุกสิ่ง หรือแม้แต่หัวหน้าเผ่าชื่อที่เฉลียวฉลาด ก็ยังไม่รู้จักเพลงกระบี่ของเฉินฉางเซิง

เนื่องจากไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นเพลงกระบี่ชุดนี้มาก่อน

นับตั้งแต่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์สถิตลงบนพิภพ วันนี้เห็นจะเป็นคราแรกที่เพลงกระบี่ชุดนี้เกิดขึ้นภายใต้ผืนดาวนี้

เฉินฉางเซิงเอ่ย “เพลงกระบี่ประสานรวม”

คนส่วนใหญ่ในที่นั้นล้วนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน

มู่ฮูหยินเคยได้ยินชื่อนี้ และก่อนหน้านางก็พอจะเดาได้ เพียงแต่ไม่อยากจะเชื่อ

ก็เหมือนกับครั้งนี้ นางได้ยินคำตอบที่เฉินฉางเซิงตอบออกมาด้วยตนเอง ยังยากจะเชื่อได้

นางเงียบอยู่นาน ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลย เชื่อว่าแม้แต่เทพธิดารุ่นแรกในปีนั้นก็คงคิดไม่ถึง ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีที่สั่นสะเทือนใต้หล้าอย่างน่าเกรงขามนั้นจะถูกแสดงออกมาจากมือคนคนหนึ่ง”