เขตพระราชฐานสร้างขึ้นบนเทือกเขา หนทางสูงชัน หอทัศนะตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุด และอยู่ไกลมากจากด้านหน้าเขตพระราชฐาน ชิ้นส่วนปรักหักพังของหอจิงลั่วนั้นกลิ้งตกลงตามแนวเทือกเขา เสียงสะเทือนเลือนลั่นชวนให้ผู้คนตกตะลึง ตลอดทางไม่รู้ว่ามีกำแพงหินและภูเขาจำลองถูกบดขยี้ไปเท่าใดแล้ว หากยังมีเวลาอีกสักพักหนึ่งกว่ามันจะหล่นลงไปกระแทกพื้นดิน
เมื่อได้ยินเสียงสะเทือนเลือนลั่นราวกับฟ้าผ่า ผู้คนต่างก็เงยหน้ามองขึ้นไป สีหน้าพลันขาวซีด ต่างก็วิ่งหาที่หลบกันอุตลุด เพียงแต่ล้วนมีคนเบียดกันอยู่ทุกหนแห่ง อยากจะหาที่ปลอดภัยหลบให้ทันท่วงทีนั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย เสียงกรีดร้องราวกับตกตะลึงและเสียงก่นด่า หรือแม้แต่เสียงร่ำไห้ ทำให้ลานประลองดูเหมือนว่าจะวุ่นวายเหลือประมาณ
เสียงถล่มของหอจิงลั่วและเสียงร่ำร้องตะโกนที่ติดตามมาภายหลัง ได้ยินไปถึงหอทัศนะเลย
เหล่าขุนนางและปีศาจมากมายตกใจเสียจนร่างกายแข็งทื่อ พวกเขาไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรดี และก็คงไม่มีความสามารถในการจัดการกับโศกนาฏกรรมที่กำลังจากมาถึงเป็นแน่
เหล่าผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงที่ยังพอมีปฏิกิริยาโต้ตอบได้นั้นกลับไม่มีปฏิกิริยาใดเลย
พวกเขายังคงมองไปที่เมฆาหนาวเย็นก้อนนั้น จดจ้องไปยังแสงกระบี่ที่สาดส่องเป็นครั้งคราว จิตใจมุ่งมั่นเป็นที่สุด
ศิลายักษ์ที่หอจิงลั่วนั้นอย่างมากก็ทำได้เพียงทำให้ผู้คนที่อยู่ด้านหน้าของเขตพระราชฐานกว่าร้อยเหล่านั้นตายเสีย สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่อันใด
ผลแพ้ชนะของการต่อสู้ครั้งนี้ถึงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่แท้จริง เนื่องจากมันจะเป็นตัวชี้วัดชะตาชีวิตและความตายของชีวิตนับล้าน
จู่ๆ เสียงกระบี่กระทบกันก็หายไปแล้ว พลันปรากฏเสียงลมพัดมาจากรอบทิศ ทำให้เมฆาหนาวเย็นเหล่านั้นจางลงหลายส่วน
บรรดากระบี่เหล่านั้นบินกลับไปวนเวียนรอบกายเฉินฉางเซิงและลั่วลั่วอีกครั้ง พวกมันสั่นเล็กน้อย ทั้งยังส่งเสียงวึ่งๆ ไปทั่ว
ผู้ใดชนะกันนะ
สีหน้าเฉินฉางเซิงค่อนข้างซีดขาว ด้านหลังใบหูข้างซ้ายมีร่องรอยบาดแผลเล็กๆ เส้นผมก็มีโลหิตติดอยู่ไม่ได้พลิ้วไหวอีก อาศัยแสดงจากฟากฟ้าสาดส่อง สามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่ารอยแผลที่เล็กและบางนั้นมีสีดำชุ่มไปหมด มีความเป็นไปได้ว่าน่าจะเป็นผลึกของปราณมาร แต่ไม่รู้ว่ามีวัตถุใดห่อคลุมไว้ ถึงได้มีลักษณะเป็นผลึกส่องแสงได้
สถานการณ์ของราชามารนั้นนักว่าลำบากว่าหน่อย
ห่วงสีทองที่รัดผมอยู่แตกหักออกเป็นหลายสิบส่วน ผมสีดำกระจายตัวลงทันที สะบัดปลิวอยู่เบื้องหลังเขา
อาภรณ์ของเขามีร่องรอยฉีกขาดถึงห้าจุด ขาดเป็นเส้นตรงๆ อีกทั้งยังลึกนัก มองปราดเดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นร่องรอยจากคมกระบี่
มีเพียงบาดแผลเดียวเท่านั้นที่มีโลหิตทะลักออกมา ราวกับน้ำหนองสีทองหลั่งริน มันสะดุดตามากเมื่ออยู่ภายใต้ท้องฟ้าสลัวๆ
ต้นสาลี่ต้นนั้นถูกกระบี่ของเฉินฉางเซิงจัดการเสียกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อย ถูกลมพัดกระจายไปเต็มพื้น เมื่อปะปนไปกับฝุ่นเหล่านั้น ก็แทบจะมองไม่เห็นอีก
ราชามารยืนอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่า ทำให้เงาของเขาดูโศกเศร้ายิ่งนัก
นี่เฉินฉางเซิงมีชัยแล้วหรือ
เขาใช้กระบี่อะไรกันแน่นะ
ผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามารที่ชมการต่อสู้มองดูภาพตรงหน้า ต่างก็รู้สึกสั่นไหวยิ่งนัก พวกเขามีความคิดพรั่งพรูขึ้นมามากมายในระยะเวลาอันสั้น
ใช่แล้ว เป็นเฉินฉางเซิงที่ได้รับชัยชนะในครานี้
หากมิใช่เพราะราชามารมีร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างยากจะจินตนาการได้ ไม่แน่ว่ายามนี้อาจจะถูกกระบี่ไร้ราคีของเฉินฉางเซิงสะบั้นออกเป็นสองร่างแล้วก็เป็นได้
แน่นอนว่าวิชาของราชามารนั้นก็น่ากลัวอย่างแท้จริง บรรดากระบี่ที่มากมายดุจพายุฝนเหล่านั้นกลับไม่ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการมองเห็นมองเห็นของเขาเลย ความเด็ดขาดของเขาแข็งแกร่งเป็นที่สุด อาศัยความเสี่ยงสูงสุดต้านรับกระบี่สี่เล่มแรกของเฉิงฉางเซิง ใช้การตอบโต้อย่างบ้าคลั่งทำให้เฉินฉางเซิงเองก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
อย่าดูแคลนบาดแผลเล็กๆ ที่คอของเฉินฉางเซิงเชียว เพราะว่าบาดแผลสีดำนั้นคือผลึกปราณของราชามารที่บริสุทธิ์นัก เมื่อซึมลงสู้เลือดเนื้อคนแล้วก็จะแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ราวกับอัคคีดวงดาวที่เผาไหม้ที่ราบสูงทั้งผืนให้หมดสิ้น ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม ต้องรีบจากไปให้เร็วที่สุด ต้องคิดหาวิธีขจัดผลึกปราณมารนี้ให้สิ้น
ระยะทางกว่าที่เฉินฉางเซิงจะไปถึงยังอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ยังเหลืออีกช่วงหนึ่งอันยากข้ามผ่าน หากว่ากันตามจริงแล้วเขาต้องเอาตัวไม่รอดเป็นแน่ แต่ที่โชคดีก็คือ เดิมทีนั้นร่างกายของเขาเป็นร่างไร้ราคี ทั้งยังเคยสรงโลหิตมังกรมาแล้วด้วย อีกอย่างในโลหิตของเขาเองก็ยังมีพลังของแสงศักดิ์สิทธิ์ซ่อนอยู่นับไม่ถ้วน ไหนจะยังมีโลหิตบริสุทธิ์ของหงส์สวรรค์อีกด้วย ถือว่าต่อกรกับวิชาของราชามารได้พอดี
บนหอทัศนะเงียบยิ่งนัก ราวกับสุสานที่เงียบสงัด ทำให้ได้ยินเสียงครึกโครมผสมเสียงร้องไห้เสียงตะโกนจากเบื้องล่างชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก
เหล่าผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจทั้งหลายหาได้ใส่ใจไม่ พวกเขาเพียงจ้องไปยังเฉินฉางเซิงและราชามาร ต่างก็ตกตะลึงถึงที่สุด อารมณ์ความรู้สึกซับซ้อนยิ่งนัก ความคิดในใจค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว
เมฆาหนาวเหน็บก้อนนั้นถึงแม้นว่าจะปิดบังร่องรอยของมรสุมกระบี่และวิชามารสะท้านโลกาได้ แต่เหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจจะไม่รู้ถึงความเสี่ยงและความน่ากลัวนั่นได้อย่างไรเล่า
เฉินฉางเซิงและราชามารแน่นอนว่าล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์
แต่การต่อสู้ครั้งนี้พวกเขาต่างก็แสดงให้เห็นแล้วถึงระดับขั้นของตน การบำเพ็ญ ความสามารถที่แท้จริง และทั้งหมดทั้งมวล ยังคงยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ทั้งแผ่นดินใหญ่จะจินตนาการได้
ที่สำคัญกว่าก็คือ นี่คือการต่อสู้ที่มีความหมายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฉากหนึ่งเลยทีเดียว
เฉินฉางเซิงและราชามารต่างก็มิได้ย่างกรายเข้าสู่อาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่คนหนึ่งเป็นถึงจักรพรรดิแห่งแผ่นดินใหญ่ทางเหนือ คนหนึ่งคือใต้เท้าสังฆราชของมวลมนุษย์ ทั้งแผ่นดินใหญ่ล้วนเคารพเลื่อมใส ขอเพียงให้เวลาพวกเขามากพอ พวกเขาต้องก้าวข้ามธรณีประตูบานนั้นไปได้แน่ หรืออีกประการหนึ่ง พวกเขาเป็นและจะกลายเป็นนักปราชญ์ที่แท้จริงในอนาคตนั่นเอง
พวกเขาจะต้องกลายเป็นผู้ปกครองแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ต่อไป นามของพวกเขาต้องปรากฏขึ้นนับไม่ถ้วนในหนังสือประวัติศาสตร์แน่นอน ยามพวกเขาได้ประมือกันในช่วงวัยนี้ หลังจากนั้นผลของการต่อสู้ครั้งนี้จะยังคงส่งผลต่อสถานการณ์ของทั้งแผ่นดินใหญ่ในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า โดยประวัติศาสตร์ใหม่จะถูกเขียนขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ต่อไปจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน
เมื่อผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจเห็นว่าเฉินฉางเซิงยกมือข้างที่ถือกระบี่ไร้ราคีไว้ขึ้นมา พลันเกิดความรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาทันที
เฉินฉางเซิงจะสู้ต่อหรือ จะสู้จนกว่าจะสังหารราชามารได้หรือ หรือว่าหน้าประวัติศาสตร์จะหยุดชะงักล่วงหน้า ณ ที่แห่งนี้หรือ
เมื่อเห็นเฉินฉางเซิงยกกระบี่ขึ้นอีกครั้ง สีหน้าราชามารพลันซีดเผือดทันที มิใช่เพราะว่าหวาดเกรง แต่เป็นเพราะเดือดดาลต่างหาก
เขามองไปในตาของเฉินฉางเซิง นอกจากความประสงค์จะสังหารแล้ว ยังมีความดึงดันอยู่ในนั้นด้วย
ก่อนหน้าที่จะเริ่มต่อสู้ เขาคิดว่าอาศัยความสามารถตนก็สามารถสังหารเฉินฉางเซิงได้แน่
ดังนั้นเขาจึงมิได้เตรียมใจที่จะใช้วิชาที่เก่งกล้าที่สุดของตน
ต่อให้เขาใช้วิชาพิฆาตดวงดาว ยังคิดว่าวิธีการนั้นอันตรายยิ่งนัก ทางที่ดีไม่ใช่ดีกว่า
ที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ มรรคากระบี่ของเฉินฉางเซิงจะแข็งแกร่งขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ เพียงนี้เชียวหรือ
ตนนั้นไม่ต้องพูดว่าจะสังหารอีกฝ่ายหรอก แค่เพียงต้องการจะโจมตีอีกฝ่ายยังยากเลย
นี่ทำให้เขารู้สึกว่าช่างน่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก
ดังนั้นเขาจึงทำการตัดสินใจ
เขาลอบกุมวัตถุแข็งๆ เย็นๆ ในแขนเสื้อตน
รอคอยให้เฉินฉางเซิงลงดาบมาอีกครั้ง
……
……
ขณะที่ราชามารกุมวัตถุในแขนเสื้ออยู่นั้น ไม่มีใครสังเกตถึงจุดที่ปกตินี้ล่วงหน้า
มีเพียงกลุ่มเมฆาที่กำลังรวมตัวกันเหล่านั้นเหนือเมืองไป๋ตี้ ที่จู่ๆ ก็เร่งความเร็วเพิ่มขึ้น
ศิลายักษ์ก้อนนั้นยังคงกลิ้งอยู่ และมันอยู่ไม่ไกลจากพื้นดินแล้ว เหล่าไพร่ฟ้าเผ่าปีศาจต่างก็ร่ำร้องตะโกน รอคอยความตายที่กำลังมาเยือนอย่างไร้เรี่ยวแรงและสิ้นหวัง
ราชามารกำลังรอคอยการมาถึงของกระบี่เฉินฉางเซิง
จู่ๆ ท่าทางมู่ฮูหยินก็เคร่งขรึมขึ้นมาหลายส่วน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะราชามารกำสิ่งที่อยู่ในแขนเสื้ออยู่หรือไม่ หรือว่า…กระบี่ของเฉินฉางเซิงยังไม่ฟันลงมา
ใช่แล้ว ทุกคนบนหอทัศนะไม่มีผู้ใดคิดถึงจุดนี้
เสียงหวีดร้องดังขึ้นพร้อมๆ กับที่กระบี่มากมายพุ่งออกมาจากฟักกระบี่ที่เฉินฉางเซิงถือไว้
แต่กระบี่เหล่านั้นมิได้โจมตีราชามาร หากแต่พวกมันพุ่งออกไปนอกหอทัศนะ และกลืนหายไปในกลุ่มเมฆา
กระบี่เหล่านั้นทำให้เมฆาและหมอกรวมตัวกัน ทำให้เกิดสายเมฆามากมาย มองแล้วก็คล้ายกับหมอก
แต่เหมือนไฟฟ้ามากกว่า เนื่องจากกระบี่เหล่านั้นว่องไวมาก หากมองด้วยตาเปล่าก็จะมองเห็นแค่เพียงร่องรอยแสงสว่างที่พวกมันเคยลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
หรือแม้แต่บางคนมองภาพนี้ก็เกิดภาพลวงตาขึ้นมา
เมื่อกระบี่เหล่านี้พุ่งทะลุเข้าไปในหมอกแล้ว กลับกลายเป็นว่ามาอยู่เบื้องหน้าของเขตพระราชฐานแล้ว
ในเวลานั้น ศิลายักษ์ที่ตกลงมาจากนภาเองก็มีระยะห่างจากพื้นดินเพียงไม่กี่สิบลี้แล้ว
……
……
กลุ่มคนที่กำลังส่งเสียงร่ำร้องตะโกนและกรีดร้องพลางหาที่หลบซ่อนไปรอบด้านต่างก็หยุดเท้าลงแล้ว
เนื่องจากพวกเขาไม่รู้สึกถึงพื้นที่สั่นสะเทือนเลือนลั่นแล้ว ไม่ได้ยินเสียงศิลาหนักที่ตกลงมาแล้ว
แต่ก็มิได้เงียบสงัด แต่เกิดเสียงดังสนั่นนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นเหนือศีรษะของพวกเขา
พวกเขามองขึ้นไปบนผืนนภา ท่าทางมึนงงขึ้นมาทันที
พวกเขาเห็นภาพที่อัศจรรย์ภาพหนึ่งเข้า
ศิลายักษ์ก้อนนั้นหยุดนิ่งแล้ว ราวกับมันกำลังลอยละล่องอยู่ในอากาศอย่างนั้น
กระบี่มากมาย พุ่งตัวเข้าห้ำหั่นศิลาก้อนนั้นราวกับฟ้าผ่า บังเกิดเสียงเลื่อยตัดวัตถุแข็งขึ้นไม่หยุด
กระบี่เหล่านั้นเร็วมาก ไม่กี่อึดใจ พวกมันก็พุ่งทะลุศิลาไปมานับไม่ถ้วน
พื้นผิวของศิลายักษ์ก้อนนั้นเกิดช่องว่างขึ้นมานับไม่ถ้วน มันหนาแน่นขึ้นทุกที ไม่นานก็พังทลาย
เบื้องหน้าเขตพระราชฐานเกิดเสียงกรีดร้องที่น่ากลัวขึ้นอีกครั้ง
……
……
ไพร่ฟ้าบางคนได้รับบาดเจ็บยามกำลังหาที่หลบ ขยับเยื้องกรายไปที่ใดไม่ได้ อยู่ด้านล่างของก้อนหินนั้นเอง
แม่นางผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งสิ้นหวังอย่างที่สุด ร่ำไห้ไม่หยุด แลดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก
กุลีเผ่าหมีจากซงติงผู้หนึ่งยื่นมือประคองนางไว้ในอ้อมอก หลังจากนั้นจึงหันแผ่นหลังแข็งแกร่งต่อผืนนภาเสีย
เมื่อครู่เพื่อจะช่วยเหลือโยนพ่อครัวร้านซาลาเปาออกไปจากฝูงชน ทำให้ขาเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงไม่ทันได้หลบหนีไป
หากแต่แผ่นหลังแม้แข็งแกร่งเพียงใด ก็มิอาจต้านรับน้ำหนักของศิลายักษ์ได้
ต่อให้เขาโอบกอดปกป้องแม่นางผู้สูงศักดิ์ไว้ในอ้อมอกเพียงใด ก็คงต้องถูกทับจนกลายเป็นเนื้อเละเป็นแน่
แต่ในห้วงเวลาสุดท้ายของชีวิตนี้ สามารถได้รับอ้อมกอดอันอบอุ่น สามารถรับรู้ถึงเจตนาดี ได้มอบเจตนาดีให้ไป สุดท้ายล้วนเป็นการปลอบประโลมจิตใจที่ดี
เมื่อยามที่ได้ยินเสียงกรีดร้องน่ากลัวนั่น แม่นางผู้สูงศักดิ์ทราบดีว่าไม่นานศิลายักษ์ต้องตกลงมาแน่ เสียงร้องไห้ของนางจึงดังขึ้นเรื่อยๆ
กุลีเผ่าหมีท่านนั้นกอดนางแน่นขึ้นอีกนิด
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เสียงตะโกนน่ากลัวเหล่านั้นจู่ๆ ก็กลายเป็นเสียงกู่ร้องด้วยความยินดีหลังผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาได้
แม่นางผู้สูงศักดิ์ค่อยๆ หยุดร่ำไห้ นางเหลือบมองไปยังผืนนภาด้วยความหวั่นเกรง
ศิลายักษ์ก้อนนั้นมิได้ตกลงมา
และก็ไม่มีเศษศิลาร่วงหล่นลงมาราวกับเม็ดฝน
ที่ค่อยๆ ลอยละล่องลงมามีเพียงอณูผงของศิลาเท่านั้น
อณูผงของศิลาเหล่านั้นทั้งเบาทั้งขาว
ดูราวกับหิมะ
กุลีเผ่าหมีท่านนั้นประคองนางขึ้นมาอย่างยากลำบาก
แม่นางผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นรู้สึกเก้อเขินยิ่งนัก
ท่ามกลางหิมะศิลาที่โปรยปรายนั้น ทั้งสองสบตากัน
เมื่อคิดไปถึงอ้อมกอดอันสนิทชิดเชื้อเหลือใดจะปาน ก็อดรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่ได้
แม่นางผู้สูงศักดิ์เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบใจท่าน”
กุลีเผ่าหมีผู้นั้นเกาศีรษะพลางเอ่ย “มิเป็นไร”
แม่นางผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นมองเข้าไปในตาเขา เอ่ยออกมาอย่างจริงจังว่า “ข้าจะแต่งงานกับท่าน”