ไม่จำเป็นต้องสนทนา ไคลน์และโคลินต่างก็คิดตรงกันทันทีที่สายตาสอดประสาน
ชายหนุ่มไม่ลังเลที่จะสลับปลายไม้เท้าสีดำเลี่ยมอัญมณีกลับมาชี้เข้าหาตัวเอง
วินาทีถัดมา ร่างไคลน์เป็นราวกับภาพเขียนที่ถูกยางลบลบออกทีละส่วนจนกระทั่งเลือนหายโดยสมบูรณ์
นี่คือพลัง ‘ปกปิด’ ซึ่งเป็นของมาดามอาเรียนน่า ผู้นำเหล่านักบวชแห่งโบสถ์รัตติกาล
และเนื่องจากพลังปกปิดที่เลียนแบบโดยไม้เท้าดวงดาวจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่าต้นฉบับพอสมควร เมื่อพิจารณาว่าวิญญาณมารเทวทูตมืดมีระดับตัวตนค่อนข้างสูง ไคลน์จึงไม่กล้าใช้กับซาสเรียโดยตรง แต่เลือกใช้กับตัวเอง
ขณะชายหนุ่มกำลังเข้าสู่สถานะซ่อนเร้น โคลิน·อีเลียดที่ถือดาบยาวสองเล่ม ผสานเข้ากับแสงจางที่กำลังปกคลุมทุกสิ่งภายในตำหนักเงาแห่งนี้
บริเวณรอบตัวเทวทูตมืดที่แต่งกายในชุดคลุมสีดำปักด้ายเงิน ลำแสงสีเงินเส้นแล้วเส้นเล่าถูกกระหน่ำยิงเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง โคลินพยายามโจมตีวิญญาณมารจากทุกทิศทางพลางสร้างพายุที่กลืนกินทุกสิ่ง ในระหว่างนี้ มันไม่เผยตัวแม้แต่ครั้งเดียว แถมยังเก็บซ่อนจิตสังหารมิดชิด ทำให้ศัตรูมิอาจระบุตำแหน่งของการโจมตีถัดไปได้แม่นยำ
เดอร์ริค·เบเกอร์ฟื้นตัวจากอาการตกตะลึงและรีบควบแน่นหอกเจิดจรัสก่อนจะกระหน่ำแทงอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางเสียงกระแทก หอกเจิดจรัสบ้างถูกปัดป้องด้วยชุดเกราะสีดำที่เกิดจากออร่าความเสื่อมทราม บ้างก็ลูกบอลสายฟ้าสีเงินสว่างรับไว้ อย่างไรก็ตาม แม้เดอร์ริคจะทำร้ายอีกฝ่ายไม่สำเร็จ แต่ก็ช่วยตีกรอบการเคลื่อนไหวได้ในระดับหนึ่ง
เมื่อสองครึ่งเทพแห่งเมืองเงินพิสุทธิ์กำลังดึงความสนใจจากวิญญาณมาร ไคลน์ที่อยู่ในสถานะซ่อนเร้นแอบเข้าไปใกล้บัลลังก์เหล็กดำ
ภายใต้สถานะซ่อนเร้น ทัศนวิสัยของไคลน์จะถูกปกคลุมด้วยม่านความมืดแผ่นบาง ทำให้มองเห็นตำแหน่งของวัตถุรอบข้างได้แค่อย่างคร่าว แถมยังไม่สามารถสร้างอิทธิพลใดกับโลกภายนอกได้ ไม่อย่างนั้น ทันทีที่ไคลน์เข้าสู่สถานะซ่อนเร้น มันคงเลือกที่จะ ‘ควบคุมด้ายวิญญาณ’ ของวิญญาณมารเทวทูตมืดมากกว่า เพราะนั่นจะเป็นการโจมตีที่ไม่มีทางรับมือได้เลย
เมื่อไปถึงบัลลังก์เหล็กดำ ไคลน์ยกเลิกสถานะซ่อนเร้นและเผยตัวทางฝั่งขวาของเป้าหมาย
จากนั้นก็เล็งปลายไม้เท้าดวงดาวไปยังแผ่นหินโบราณสีเทา
ไคลน์รีบจินตนาการข้อมูลของพลังพิเศษที่คุ้นเคยโดยไม่เสียเวลาอ่านเนื้อหาบนแผ่นศิลา
เปรี้ยง!
เส้นสายฟ้าจำนวนมากที่อัดแน่นด้วยออร่าแห่งการทำลายล้างพุ่งปะทะกับศิลาเย้ยเทพทันที
พายุสายฟ้าจากคทาเทพสมุทร!
บึ้ม!
ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยแสงสีเงินสว่าง กลุ่ม ‘แสง’ มายาที่เกือบจะล่องหนปรากฏขึ้นในตำแหน่งระหว่างเทวทูตมืดกับศิลาเย้ยเทพ เป็นการยากที่จะอธิบายสีของมัน แต่สิ่งนั้นถูกพายุสายฟ้าสีเงินอันเกรี้ยวกราดทำให้ระเหยและสลายตัว
ในเวลาเดียวกัน กระแสแห่งแสงอันบริสุทธิ์ผุดผ่องแผ่ออกจากร่างกายซาสเรีย ขจัดความมืดทั้งหมดภายในตำหนักเงาออกไปจนไม่มีใครสามารถซ่อนตัว
เขตแดนเจิดจรัส
โคลิน·อีเลียดเจ้าของความสูงเกือบหกเมตรแต่งกายในชุดเกราะสีเงินถูกบังคับให้เผยตัว มันและไคลน์ถูกกระแสแห่งแสงผลักจนกระเด็นถอยหลังเสียหลักไปหลายก้าว สำหรับเดอร์ริค ไม่ว่าจะหอกเจิดจรัสหรือเพลิงสุริยันก็ล้วนแล้วแต่ถูกแสงเหล่านี้กีดขวาง
ทันทีหลังจากนั้น ดวงตาทั้งสองข้างของเทวทูตมืดพลันถูกย้อมด้วยสีทองเหลือง ด้านในมีแม่น้ำระยิบระยับ ข้างหนึ่งสะท้อนภาพศิลาเย้ยเทพ ข้างหนึ่งสะท้อนภาพของตัวซาสเรีย
‘แม่น้ำ’ เริ่มไหลจากปลายน้ำไปยังต้นน้ำอีกครั้ง สร้าง ‘แสง’ มายาที่เคยระเหยและถูกทำลายไปให้กลับมาเชื่อมต่อตามปรกติ
ความเสียหายที่ไคลน์สร้างขึ้นอย่างยากลำบากถูกฟื้นฟูในพริบตา
วัฏจักรแห่งชะตากรรม การเริ่มต้นใหม่!
ซาสเรียยกมือซ้ายขึ้นมาควบแน่นคทาสีดำ จากนั้นก็ใช้ดวงตาทองเหลืองกวาดมองครึ่งเทพทุกคนในตำหนักและเปล่งเสียงลุ่มลึกสง่างาม
“ข้าคือผู้ปราดเปรื่อง… ขณะเดียวกันก็ทรงพลัง”
ท่ามกลางเสียงกังวาน ไคลน์และโคลินมิได้หวั่นไหว คนหนึ่ง ‘บลิงค์’ คนหนึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ไม่เปิดโอกาสให้วิญญาณมารได้มีโอกาสจ้องมองได้ง่ายนัก ขณะเดียวกันก็วางแผนเตรียมโจมตีเข้าไปอีกระลอก แต่คราวนี้ไคลน์ไม่กล้าดึงเทวทูตมืดซาสเรียเข้าสู่ความฝัน เพราะถ้าต้องเผชิญหน้ากับทะเลแห่งความโกลาหลอีกคำรบ เกรงว่าอาจพลาดท่าจนได้คลุ้มคลั่งคาที่ สำหรับเดอร์ริคในอีกฟากหนึ่ง เด็กหนุ่มทำการปกคลุมร่างกายตัวเองด้วยเกราะแห่งแสง
ทันใดนั้นเอง ดวงตาทองเหลืองของซาสเรียมีเปลวไฟสีดำลุกไหม้
เสียงของมันแปรเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายและเปี่ยมไปด้วยความเสื่อมทราม
“คนที่ลบหลู่พระองค์ต้องตาย!”
ร่างกาย จิตใจ และวิญญาณไคลน์พลันดำดิ่งสุดขีด มันรู้สึกราวกับตัวเองกำลังจะตาย สติเลือนรางและเรี่ยวแรงเริ่มถูกเผาผลาญ ผิวหนังทยอยเหี่ยวแห้งไปทีละจุด
โคลิน·อีเลียดอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าไคลน์เล็กน้อย แค่ร่างกายหนักอึ้ง สัญญาณชีพลดลงอย่างมิอาจควบคุม และความบ้าคลั่งที่มีต้นตอจากร่างสัตว์ในตำนานทวีความรุนแรง
เดอร์ริคที่อยู่ไกลจากเทวทูตมืดที่สุดและกำลังแผ่แสงเจิดจ้า สามารถหลุดพ้นจากภวังค์ได้เร็วกว่าใคร จึงรีบอ้าปากเปล่งเสียง:
“พระองค์ทรงตรัสว่า มันไม่ได้ผล!”
ออร่าแห่งความตายสลายไปบางส่วน ช่วยให้ไคลน์และโคลินฟื้นตัวกลับมาได้
ตึง ตึง ตึง!
คนยักษ์โคลิน·อีเลียดปรี่เข้าหาเทวทูตมืดด้วยฝีก้าวหนักแน่น ตลอดทางคอยเปลี่ยนตำแหน่งเพื่อหลบลำแสงสีดำอันแหลมคมที่มิอาจปัดป้อง
เพียงพริบตา มันเข้าประชิดเป้าหมายสำเร็จ
เทวทูตมืดซาสเรียยกคทาสีดำชี้มาทางโคลิน ส่งผลให้ร่างกายเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์สร้างเงาดำขึ้นมาภายในเขตแดนเจิดจรัส เงาดังกล่าวมีชีวิตและขยายใหญ่ขึ้นราวกับต้องการจะกลืนกินขึ้นไปตามขาของโคลิน
ก๊อง!
เสียงระฆังที่ราวกับดังมาจากโบราณกาลดังกึกก้อง
ภาพมายาของนาฬิกาโบราณโผล่ขึ้นด้านหน้าไคลน์อีกครั้ง จุดประสงค์คือการทำให้ศัตรูชะงักไปครู่หนึ่ง
ท่ามกลางการชะงักงันของซาสเรีย ไคลน์ใช้ไม้เท้าดวงดาวสร้างหอกเจิดจรัสยิงใส่เงาดำที่ขาโคลิน
แสงบริสุทธิ์ระเบิดออกพร้อมกับขจัดเงาให้หายไป
ใบหน้าโคลินหลังกะบังหมวกบิดเบี้ยวเล็กน้อย แต่ความตั้งใจเดิมยังไม่แปรเปลี่ยน มันกระโจนรวดเดียวไปถึงด้านข้างเทวทูตมืดและใช้ดาบรุ่งอรุณสองเล่มสับใส่เต็มแรง
ก๊อง!
คล้ายกับซาสเรียอ่านเจตนาของโคลินออก มันตั้งคทาเป็นแนวนอนเพื่อรอรับการฟันจากมุมสูงของอีกฝ่าย
ทันใดนั้น ร่างโคลินเริ่มละลาย
มันกลายเป็น ‘ปรอท’ ที่ข้นและหนัก จากนั้นก็ถาโถมใส่ซาสเรียประหนึ่งคลื่นสมุทร ภาพดังกล่าวดูคล้ายกับเทวทูตมืดกำลังสวมชุดเกราะสีเงินที่ไม่มีช่องว่าง เจตนาของโคลินคือการทำให้อีกฝ่ายขาดอากาศหายใจตาย!
การเคลื่อนไหวของซาสเรียถูกตีกรอบทันที
ฉวยโอกาสดังกล่าว ร่างไคลน์กลายเป็นสีใสก่อนจะหายตัวไปโผล่ข้างบัลลังก์เหล็กดำ
เทเลพอร์ต!
จากนั้นก็ยกไม้เท้าดวงดาวขึ้นมาและจินตนาการข้อมูลของพลังพิเศษ
หนึ่งในพลังหลักของเส้นทางนักจารกรรม
ขโมย!
และไม่ผิดจากที่คาด การขโมยประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น เพราะสิ่งนี้ถูกจำลองมาจากพลัง ‘ขโมย’ ที่เทวทูตลำดับ 2 พาลีส·โซโรอาสเตอร์ลงมือทำด้วยตัวเอง
‘แสง’ ที่เชื่อมต่อระหว่างเทวทูตมืดกับศิลาเย้ยเทพถูกโอนถ่ายจากซาสเรียมาอยู่กับไคลน์!
เพียงพริบตา สมองไคลน์แทบระเบิดออก สีสันและรูปร่างที่ยากอธิบายปรากฏขึ้นในการมองเห็นอีกครั้ง คล้ายกับทะเลมายาเบื้องหน้ามีความลับมหาศาลซ่อนอยู่
ขณะชายหนุ่มใกล้คลุ้มคลั่งจากผลของออร่าและพลังของทะเลแห่งความโกลาหล ร่างกายส่วนหนึ่งที่ถูกพระผู้สร้างแท้จริง ‘เกาะเซาะ’ เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน คล้ายกับพวกมันทั้งหมดถูกดึงดูดให้มารวมตัวกันที่จุดเชื่อมต่อระหว่างไคลน์กับ ‘แสง’ และแบกรับคุณสมบัติของทะเลแห่งความโกลาหลเอาไว้เอง ช่วยให้ไคลน์รอดพ้นจากความตายได้อย่างหวุดหวิด
ฟู่ว… ไคลน์ถอนหายใจพลางรวบรวมสติที่ปั่นป่วน ส่งผลให้ขยับไม่ได้ไปสักพัก
บึ้ม บึ้ม บึ้ม!
‘เกราะ’ สีเงินที่ปกคลุมร่างเทวทูตมืดซาสเรียเริ่มปรากฏรอยร้าวสีดำ
เส้นดาบสีดำที่เกิดจากผลของพลัง ‘ดาบเนื้อวิญญาณ’ ได้แยกปรอทออกจากกันและทำให้บางส่วนกระเด็นไปไกล
โครม! เศษปรอทกระเด็นลงพื้นก่อนจะเรียงตัวใหม่กลายเป็นโคลิน·อีเลียด
บนร่างกายของเจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์มีรูโหว่ขนาดใหญ่ ภายในอัดแน่นด้วยออร่าสีดำของความเสื่อมทรามที่แข็งตัว
ปัจจุบันปีกมายาสีดำของเทวทูตมืดซีดลงจากเดิมมาก ดวงตาเปล่งแสงสีทองเหลืองซึ่งมีแม่น้ำระยิบระยับภายในอีกครั้ง
ได้เห็นฉากตรงหน้า โคลินนึกทบทวนสิ่งที่เคยเกิดขึ้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน มันรีบพุ่งตัวไปข้างหน้าตามสัญชาตญาณด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
ร่างกายโคลินลุกโชนไปด้วยเปลวไฟสีใส ตามด้วยการแผ่แสงรุ่งอรุณอันเจิดจ้า
แสงเหล่านี้ส่องสว่างมาจากดวงวิญญาณ จากร่างกาย และจากตะกอนพลัง พวกมันผสานเข้ากับดาบคู่กายสองเล่ม ก่อตัวเป็นพายุที่ทรงพลังและเกรี้ยวกราดพร้อมจะกลืนกินทุกสรรพสิ่ง
ดวงตาโคลินกลายเป็นแสงสีขาวโพลนแบบเดียวกับร่างกาย สะท้อนภาพของชายร่างใหญ่ที่แต่งกายในชุดคลุมสีดำปักด้ายเงิน
แสงต้องเจอกับแสง คิดได้เช่นนี้ โคลินรีบปรี่เข้าหาซาสเรีย
‘พายุแสง’ อันทรงพลังกลืนกินและฉีกกระชากร่างเทวทูตมืดในพริบตา รวมไปถึงการก่อกวนพลังพิเศษที่อีกฝ่ายเตรียมปลดปล่อย ส่งผลให้วิญญาณมารที่สูญเสียแหล่งพลังงานไปเรื่อยๆ เริ่มจางลงท่ามกลางประกายแสงระยิบระยับ
พายุแสงสลายไปและเผยให้เห็นรูโหว่ขนาดใหญ่บนตัวเทวทูตมืดซาสเรีย แม้ปีกของมันจะสยายออก แต่ก็ไม่มีพลังใดถูกปลดปล่อยออกมา
โคลิน·อีเลียดกลายเป็นปรอทอีกครั้งและพันธนาการร่างเทวทูตมืดไว้ทุกซอกมุม
จากนั้น เจ้าเมืองเงินพิสุทธิ์ตะโกนบอกกับเดอร์ริค·เบเกอร์ด้วยเสียงเคร่งขรึมแบบเดียวกับเมื่อครั้งโลเฟียร์:
“โจมตี!”
………………………………