“โจมตี!”
เดอร์ริคตกใจเมื่อได้ยินคำพูดเจ้าเมือง แต่จากนั้นก็รีบกางแขนโดยสัญชาตญาณ
ระหว่างนั้น การมองเห็นเด็กหนุ่มพลันพร่ามัว ตามด้วยแผดเสียงคำรามต่ำในลำคออย่างยากลำบาก
ลูกบอลแสงที่ท่วมท้นไปด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์ร่วงหล่นลงมาจากด้านบน กลืนกินร่างของเทวทูตมืดซาสเรียและโคลิน·อีเลียดไปพร้อมกัน
ยังไม่ทันที่แสงจะระเบิด เดอร์ริคชักแขนกลับพร้อมกับควบแน่นหอกเจิดจรัสที่บริสุทธิ์ไว้ในฝ่ามือ
ท่ามกลางเสียงปริแตก หอกแสงพุ่งผ่านเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์และปะทะเข้ากับศีรษะวิญญาณมารอย่างแม่นยำ
แสงสว่างพร่างพราวแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกซอกมุมตำหนัก แม้แต่ไคลน์ที่พยายามฟื้นฟูสติก็อยู่ไม่ไกลพอที่จะหลบพ้น มันรีบหลับตาลงพร้อมกับทำหน้าบิดเบี้ยว หนอนวิญญาณทยอยระเหยไปทีละหนึ่ง ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่าการเชื่อมต่อระหว่างศิลาเย้ยเทพกับพลังกัดกร่อนของพระผู้สร้างแท้จริง ถูกชำระล้างหายไปก่อนที่จะก่อตัวขึ้นอย่างสมบูรณ์
ภายในตำหนักที่คล้ายกับมีดวงอาทิตย์ลอยอยู่กึ่งกลาง ร่างของเทวทูตมืดซาสเรียเริ่มจางลงและบิดเบี้ยวท่ามกลางอำนาจของเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับค่อยๆ ละลายหายไปทีละนิด
จากนั้น เงาดำที่ปกคลุมผนัง เสาหิน และพื้นเริ่มสลายตัว ทยอยเผยให้เห็นแสงสีส้ม
ตำหนักเงาที่ซ่อนอยู่ในตำหนักราชาคนยักษ์สูญเสียเสถียรภาพและเริ่มผสานเข้ากับโลกความจริง มิอาจปิดกั้นอิทธิพลจากภายนอกได้อีกต่อไป
ขณะเดียวกันก็หมายความว่าวิญญาณมารชนิดพิเศษที่สูญเสียการเชื่อมต่อกับทะเลแห่งความโกลาหลก็ถูกชำระล้างไปแล้วเช่นกัน
ขณะตำหนักเงาที่กำลังพังทลายยังไม่สลายไปโดยสมบูรณ์ พลังที่มองไม่เห็นได้ทะลวงผ่านแนวป้องกันจนแทรกซึมเข้ามาบางส่วน ส่งผลให้ร่างกายไคลน์บริเวณที่ถูก ‘กัดเซาะ’ ถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวมากกว่าปรกติ!
พวกมันทะลวงออกจากหน้าอกไคลน์ กลายเป็นก้อนเลือดเนื้อสีเข้ม
เลือดเนื้อดังกล่าวแยกตัวออกจากร่างไคลน์ทันที ตัดสายสัมพันธ์ล่องหนทั้งหมดจนขาดสะบั้น จากนั้นก็ยุบพองอย่างรวดเร็วและขยายขนาด กลายเป็นมือยักษ์สีดำ ไล่ตาม ‘แสง’ มายาระหว่างตัวมันเองกับศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งจนกระทั่งคว้าเอาไว้ได้
ขณะเดียวกันบนโลกแห่งความฝันของซากสมรภูมิเทพ ในตำแหน่งด้านหน้าภาพฉายของวังราชาคนยักษ์
อามุนด์ที่แต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและชุดคลุมสีดำทรงโบราณ กำลังนั่งบนราวกั้นสีเทาสูงตระหง่านโดยหันหลังให้ ‘เส้นทาง’ สีส้มที่แหวกทะเลหมอกออกจากกัน มันเฝ้ามองบานประตูสีเทาน้ำเงินที่ตอกด้วยหมุดทองคำด้วยท่าทีผ่อนคลาย ไม่มีใครทราบว่ารอมานานแค่ไหนแล้ว
ทันใดนั้นเอง อามุนด์ขยับกรอบแว่นตาข้างขวา กระโดดลงจากราวกั้นเพื่อลงมายังหน้าประตูราชาคนยักษ์
“พลังของทะเลแห่งความโกลาหลเริ่มเลือนหายไปแล้ว เราสามารถใช้ ‘บั๊ก’ เพื่อเข้าไปข้างในได้โดยตรง…” อามุนด์ยิ้มกับตัวเองพลางเหยียดมือขวาออกไปกดลงบนประตู
ขณะแสง ‘ไหล’ เข้าไปในประตู ร่างของมันอ่อนนุ่มลงทันทีพร้อมกับจางลง
…
กรุงเบ็คลันด์ ที่ใดสักแห่งในสนามรบ
เครสไทน์·ซีสม่าเจ้าของผมสั้นสีน้ำตาลทองและดวงตาสีเขียวเข้ม คุกเข่าลงหนึ่งข้างพลางแทงดาบกระดูกสีขาวโพลนที่ยาวไม่ถึงหนึ่งเมตรลงตรงหน้าเพื่อพยุงร่างกาย
ร่างกายของมันเต็มไปด้วยรอยไหม้และรูโหว่ ฟันยื่นยาวออกมาในลักษณะแหลมคมเหมือนสัตว์ร้าย
อาวุโสใหญ่แห่งเหยี่ยวราตรีซึ่งสติเริ่มเลือนราง ถอนสายตาออกจากศัตรูที่อ่อนแอด้วยความยากลำบาก จากนั้นก็แหงนหน้ามองฟ้า
สนธยาสีส้มกำลังแทรกซึมเข้ามาในค่ำคืนอันมืดมิดเล็กน้อย
เครสไทน์·ซีสม่าพยายามดึงดาบกระดูกออกมาเพื่อลุกขึ้นสู้และทำหน้าที่เหยี่ยวราตรีจนวาระสุดท้าย แต่ท่อนแขนของมันกลับเอาแต่สั่นระริกอย่างมิอาจหักห้าม ลมหายใจแผ่วลงทุกขณะ
ภายในดินแดนดารา ท่ามกลางความเงียบสงบและความมืดมิดไร้ก้นบึ้งที่ปกคลุมไปด้วยบุปผาจันทรา วานิลลาราตรี และพืชชนิดอื่น
ทันใดนั้น แสงสีส้มอมแดงสาดส่องเข้ามาในอาณาจักรดังกล่าว เปลี่ยนให้ดินแดนบางส่วนถูกฉาบไปด้วยแสงสนธยาจนดอกไม้และพืชพรรณทยอยเหี่ยวเฉา
ท่ามกลางแสงสนธยาที่แปลกแยก ร่างขนาดมหึมาที่ใหญ่โตราวกับภูเขาบรรจงย่างกรายออกมา แขนขาของมันยาวผิดปรกติ สวมชุดเกราะสีเงินที่ดูราวกับกรำศึกอย่างโชกโชน ใบหน้าถูกกะบังหมวกปกปิด เผยให้เห็นเพียงแสงสว่างสีส้มที่คลุมเครือ
ในมือถือดาบเล่มมโหฬารชนิดที่ต้องปล่อยให้ส่วนปลายแหลมลากไปบน ‘พื้น’ อันมืดมิด
ขณะยักษ์ที่น่าสะพรึงย่างกรายไปทีละก้าว ดาบยาวของมันลากไปตามพื้น ส่งผลให้ความมืดถูกแยกออกเป็นสองโดยมีแสงสนธยาถูกแช่แข็งเป็นทางยาว
ในส่วนลึกของความมืด ร่างขนาดใกล้เคียงกันกำลังลากเคียวยักษ์เข้าหาในสภาพลอยตัว
เธอสวมเดรสยาวสีดำที่มีหลายชั้นแต่ไม่ซับซ้อน ประดับประดาด้วยแสงพร่างพราวราวกับดวงดาวในยามค่ำคืน
ในจุดระหว่างซี่โครงและเอวมีแขนงอกออกมาฝั่งละสองข้าง ผิวแขนปกคลุมด้วยขนสั้นสีเข้ม
จากบรรดาแขนทั้งหก สองข้างถือเคียวยักษ์สีดำที่ดูท่าทางหนัก อีกสองถือ ‘พระจันทร์’ สีแดงเข้ม ส่วนแขนที่เหลือ ข้างหนึ่งว่างเปล่า แต่อีกข้างถือเครื่องประดับโบราณที่ทำจากทองคำ
เครื่องประดับดังกล่าวมีลักษณะคล้ายนกรูปร่างผอมเพรียว รายล้อมด้วยปีกที่ทำจากเปลวเพลิงสีซีด ภายในดวงตาสีทองแดงของนกมีแสงซ้อนทับกันหลายชั้น
คนยักษ์ตนดังกล่าวมิได้ประหลาดใจกับฉากตรงหน้า เพียงเร่งฝีเท้าเพื่อเข้าประชิดตัวอีกฝ่าย
ดาบยาวของมันยังคงถูกลากไปในความมืด แสงสนธยาที่เกิดขึ้นทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบเริ่มแปรเปลี่ยน ดูคล้ายกับแสงรุ่งอรุณในยามเช้า
ทันใดนั้นเอง บุปผาจันทราและวานิลลาราตรีที่อีกฟากหนึ่งพลันเพิ่มจำนวนและเติบโตอย่างบ้าคลั่ง เพียงไม่นานก็ดูคล้ายกับต้นไม้ที่ดำรงอยู่มาหลายพันปีภายในป่าโบราณ พวกมันเรียงตัวกันหนาแน่นจนกระทั่งบดบัง ‘ท้องฟ้า’
ท่ามกลางแนวต้นไม้เบียดเสียด ร่างหนึ่งที่รายล้อมด้วยเถาวัลย์สีเข้มและสมุนไพรกับดอกไม้นานาชนิดปรากฏกาย
ร่างของเธอก็ใหญ่โตไม่ต่างจากภูเขาเช่นกัน เนื้อตัวอวบอิ่ม เสื้อผ้าปลิวไสว ในอ้อมแขนโอบกอดทารกมายา
ทันทีที่ร่างดังกล่าวร่อนลงมา เธอย่างกรายเข้าหาคนยักษ์สนธยาและมนุษย์ครึ่งหมาป่าอสูรที่ถือเคียวยักษ์กึ่งลอยกึ่งบิน
…
ภายในตำหนักเงาที่ค่อยๆ สลายตัว แม้ส่วนที่ถูก ‘กัดเซาะ’ จะหลุดออกไปจากร่างแล้ว ช่วยให้ไคลน์เป็นอิสระจากอันตรายซ่อนเร้น แต่ผลลัพธ์ของเหตุการณ์ดังกล่าวก็มีค่าเท่ากับการทำลาย ‘หนอนวิญญาณ’ ไปเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ร่างกายชายหนุ่มยากจะทานทน ลมหายใจสั่นกระเส่า หนอนวิญญาณสีใสจำนวนมากที่สลักลวดลายลึกลับชอนไชออกจากใบหน้าที่บิดเบี้ยว ความคิดไคลน์เปรียบดังทะเลสาบที่ถูกโยนหินยักษ์ลงไป คงมิอาจสงบจิตใจไปได้อีกพักใหญ่
ทันใดนั้นเอง ร่างที่คุ้นเคยสะท้อนในดวงตาซึ่งกำลังแดงก่ำเพราะความเจ็บปวด
ไม่ใช่ใครนอกจากเทวทูตกาลเวลาอามุนด์ที่แต่งกายด้วยแว่นตาขาเดียวและหมวกปลายแหลม
อามุนด์ส่งยิ้มให้ ไคลน์หวาดผวาสุดขีดจนในหัวคิดแต่จะส่งตัวเองกลับไปยังปราสาทต้นกำเนิด
แม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะไม่เป็นผลดีกับเดอะซันน้อย แต่ไคลน์ก็มั่นใจว่าหากเป็นบนปราสาทต้นกำเนิดที่ตนมีพลังระดับเทวทูต ตัวมันยังมีโอกาสช่วยเด็กหนุ่มได้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะท้ายที่สุด อิทธิพลจากโลกภายนอกสามารถถูกส่งมายังที่นี่ได้แล้ว
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เทวทูตกาลเวลาชำเลืองสายตาไปทางศิลาเย้ยเทพสีเทา จ้องมองไปยังมือยักษ์สีดำที่ทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อยิ่ง ‘ดินแดนบรรทม’ พังถล่ม
อามุนด์ยกมือขวาขึ้นทันทีพร้อมกับขยับกรอบแว่นตาข้างขวา
แว่นผลึกใสแปรเปลี่ยนเป็นสีเข้มทันใด ราวกับเป็นส่วนผสมของสีสันจำนวนนับไม่ถ้วน ยากที่จะอธิบายรายละเอียด
ด้านหน้าอามุนด์ ทะเลมายาอันน่าสะพรึงปรากฏขึ้น
ผู้เย้ยเทพรายนี้กำลังปลดปล่อยหรือรวบรวมพลังที่ขโมยมาจากที่ใดสักแห่ง!
ศิลาเย้ยเทพสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับส่งเสียงอื้ออึง ราวกับมีชีวิตขึ้นมา
มันเป็นอิสระ ‘แสง’ มายาที่ขาดเสถียรภาพระหว่างมันกับฝ่ามือเงาดำ จากนั้นก็ลอยมาหาอามุนด์!
ไคลน์ที่ฟื้นตัวจากความเจ็บปวดเนื่องจากอาการตื่นตระหนัก ดวงตาหรี่ลงอย่างแทบไม่เชื่อสายตา
ศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งไม่เลือกพระผู้สร้างแท้จริงแห่งเส้นทางแฮงแมน แต่เลือกเทวทูตกาลเวลาแห่งเส้นทางนักจารกรรม!
หลังจากมึนงงสักพัก ไคลน์เริ่มเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดอย่างคร่าว
ร่างต้นของอามุนด์ได้เตร็ดเตร่ไปในดินแดนเทพทอดทิ้งนานกว่าหลายพันปี เข้าสู่เชอร์โนบิลและค้นหาประวัติศาสตร์ของยุคสมัยที่สองรวมถึงช่วงเวลาก่อนยุคสมัยที่หนึ่ง และตัวมันที่อยู่ใกล้ทะเลแห่งความโกลาหลคงลองเสี่ยงค้นคว้าบางสิ่งที่เต็มไปด้วยอันตราย จนกระทั่งประสบความสำเร็จในการ ‘ขโมย’ คุณลักษณะพิเศษบางอย่างมาไว้กับตัว และเมื่อครู่ก็ใช้คุณลักษณะดังกล่าวเพื่อดึงดูดศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่ง
สรุปโดยสั้น ราชาเทวทูตเตรียมการในเรื่องนี้มาเป็นเวลานาน โดยที่พระผู้สร้างแท้จริงมิอาจเสด็จเยือนลงมาด้วยตัวเอง เพราะต้องรอให้ดินแดนบรรทมของเทวทูตมืดสลายไปโดยสมบูรณ์เสียก่อน
แต่คำถามคือ อามุนด์ขโมยศิลาเย้ยเทพแผ่นที่หนึ่งไปทำไม? มันไม่มีประโยชน์สำหรับหมอนั่น… ใช่ว่าจะย้ายไปยังเส้นทางผู้ชม นักอ่าน ทรราช สุริยัน หรือแฮงแมนได้สักหน่อย… เพียงเพราะสนุก? ขณะที่เหล่าทวยเทพและพี่ชายของตนกำลังวางแผนขโมยศิลาเย้ยเทพ อามุนด์ก็โผล่ออกมาขโมยและวิ่งหนีไป? แต่สำหรับอามุนด์ การจับตัวเราคือเรื่องสำคัญกว่าไม่ใช่หรือ? ไคลน์ก้าวถอยหลังอย่างเงียบงัน ภายในใจยังคงตกตะลึงกับเป้าหมายของอามุนด์ แต่ดวงตากำลังเบิกกว้าง หวังเพ่งมองพื้นผิวของแผ่นศิลาสีเทาเพื่อครอบครองสูตรโอสถที่ต้องการ
ลำดับ 1 บริวารเร้นลับ… ทันทีที่ข้อความดังกล่าวฉายเข้ามาในดวงตาไคลน์ อามุนด์ทำการเหยียดมือซ้ายคว้าศิลาเย้ยเทพ จากนั้นก็พลิกตัวพร้อมกับกดมือขวาลงบนบานประตูสีเทาน้ำเงินที่ยังถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นเงาจาง
ร่างที่แต่งกายด้วยหมวกปลายแหลมและชุดคลุมสีดำทรงโบราณพลันกลายเป็นเพียงมายา จากนั้นก็ไหลผ่านบานประตูและลับสายตาไป
มือยักษ์เงาดำที่เกิดจากชิ้นส่วนร่างกายไคลน์ที่ถูกกัดเซาะ ยังคงขยายขนาดขึ้นท่ามกลางการล่มสลายของดินแดนบรรทม จนในที่สุดก็กลายเป็นเงาดำไล่ตามอามุนด์ออกไปด้านนอกบานประตูที่ปิดสนิท
วินาทีถัดมา เงาทั้งหมดเลือนหายไป แสงสีส้มอมแดงส่องเข้ามาในตำหนักที่ราชาคนยักษ์เคยพักอาศัย
ด้านหน้าบัลลังก์เหล็กดำ ร่างของโคลิน·อีเลียดปรากฏบนขั้นบันไดที่ฉาบไปด้วยแสงสนธยา
โคลินแต่งกายในชุดเกราะสีเงินสภาพยับเยินจนเผยให้เห็นรอยแผลเป็นเก่าบนใบหน้า โดยกำลังนั่งบนขั้นบันไดอย่างเงียบงันประหนึ่งนักรบที่เพิ่งจบศึกสุดท้าย
ดาบรุ่งอรุณสองเล่มถูกป่นเป็นเศษเหล็ก ออร่าของโคลินเลือนหายไปโดยสมบูรณ์ แต่ไคลน์สัมผัสได้ว่าเจตจำนงและจิตวิญญาณของอีกฝ่ายยังคงอยู่ ราวกับไม่ต้องการจากไปทั้งที่ยังมีบางสิ่งต้องการพูด
เดอร์ริคที่ยืนชั้นล่างสุดของบันไดเฝ้ามองฉากตรงหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำ เด็กหนุ่มรีบวิ่งโซเซเข้าไปหาโคลินโดยไม่เหลือมาดของครึ่งเทพ
มันคุกเข่าลงด้านข้างโคลิน·อีเลียดพร้อมกับแผดเสียงคำรามต่ำ
“ท่านเจ้าเมือง…”
…………………………