บทที่ 1112 สุสานกระบี่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,112 สุสานกระบี่

“เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้”

เว่ยเหอบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างจบในลมหายใจเดียวขณะยืนกอดอกอยู่ข้างประตูห้องโถงใหญ่ของสำนักกระบี่อมตะ

ติงซานฉือ อิ๋นซาน และสือจงเซิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันตา ยามกะทันหัน พวกเขาไม่รู้เลยว่าตนเองสมควรพูดอะไรออกมา

หลินเป่ยเฉินกำลังนั่งรับประทานเมล็ดทานตะวันอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนหน้านี้เขารับประทานเมล็ดแตงโมมากเกินไป รู้สึกว่ามันเค็มมากเกินไป จึงเปลี่ยนมารับประทานเมล็ดทานตะวันซึ่งก็สั่งมาจากแอป Taobao เช่นกัน

ก่อนหน้านี้ชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย เมื่อเว่ยเหอบอกข้อสงสัยของตนเองที่เกี่ยวข้องกับท่านเจ้าเมืองฉู่อวิ๋นซุนให้หลินเป่ยเฉินรับฟัง เด็กหนุ่มจึงได้นำตัวชายชรามายังห้องโถงใหญ่ของสำนักกระบี่อมตะและเรียกตัวพวกของอาจารย์ติงให้มารับฟังข้อมูลเหล่านี้จากปากของผู้อาวุโสเว่ยเหอด้วยตนเอง

ในเมื่อได้บอกเล่าออกมาแล้ว เว่ยเหอก็ไม่มีสิ่งใดให้ปิดบังอีกต่อไป ชายชราล้วนบอกทุกอย่างที่ตนเองรู้ออกมาหมดสิ้น

ประเด็นสำคัญมีอยู่สองอย่าง…

ประเด็นแรก ท่านเจ้าเมืองฉู่อวิ๋นซุนน่าจะถูกวิญญาณปีศาจร้ายเข้าสิง หรือมิเช่นนั้น อย่างน้อยตัวของฉู่อวิ๋นซุนก็ต้องเป็นสาวกปีศาจ จึงต้องใช้เลือดของผู้ฝึกยุทธ์สังเวยจ้าวปีศาจของตน

ประเด็นที่สอง ในสุสานกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนได้เก็บซ่อนความลับสำคัญอยู่ที่นั่น และบางทีสุสานกระบี่อาจใช้เป็นสถานที่คุมขังบุคคลสำคัญบางคน

สำหรับพวกของติงซานฉือ นี่คือข้อมูลที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

“ฉู่อวิ๋นซุนระมัดระวังตัวมาก ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเว่ยไปล่วงรู้ข้อมูลเหล่านี้มาได้อย่างไร?”

ติงซานฉือถามออกมาด้วยความระมัดระวัง

เว่ยเหอหันมาชำเลืองมองหน้าหลินเป่ยเฉิน ลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ตัวข้านั้นมีพลังปราณธาตุดิน ข้าจึงมีเคล็ดวิชาเฉพาะตัวที่เรียกว่าวิชาตี้ถิง ข้าสามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวทุกอย่างในรัศมีหลายลี้ได้ผ่านพื้นดิน ข้าจึงรับทราบข้อมูลเหล่านั้นระหว่างที่ใช้วิชานี้”

หลังจากหยุดเล็กน้อย ชายชราก็กล่าวต่อ “เดิมทีข้าอยากจะเก็บเรื่องราวเหล่านี้เป็นความลับไปจนวันตาย แต่น้องหลินจริงใจต่อข้ามาก และนี่ก็คงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเมืองไป๋หยุน ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจบอกเล่ามันออกมา”

ติงซานฉือและสองศิษย์น้องหันมองหน้ากัน

นี่สินะที่โบราณกล่าวเอาไว้ว่าคนทำดีย่อมได้ผลดีตอบแทน?

เพราะว่าพวกเขาช่วยชีวิตผู้อาวุโสเว่ยเหอเอาไว้ด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ทุกคนจึงได้มีโอกาสรับทราบข้อมูลสำคัญเช่นนี้

“อาจารย์ขอรับ หากไม่มีอะไรแล้ว ศิษย์ขอตัวไปฝึกวิชาก่อน”

หลินเป่ยเฉินรอคอยให้เว่ยเหอกล่าวจบประเด็น ก็โยนเปลือกของเมล็ดทานตะวันทิ้งลงบนพื้น ก่อนจะปัดมือไล่สิ่งสกปรกและลูกขึ้นเตรียมตัวเดินออกจากห้องโถงใหญ่

เพราะเด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนเองสูงส่งเกินกว่าที่จะมาข้องเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้

หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าบรรดาผู้คนที่ถูกเรียกว่าปีศาจร้ายหรือสาวกปีศาจนั้น บางทีก็ไม่ได้เป็นบุคคลชั่วร้ายเสมอไป

ดังนั้น ไม่ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในเมืองไป๋หยุน หลินเป่ยเฉินจึงไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวแม้แต่น้อย

“เจ้ากำลังจะไปที่ใด?”

ติงซานฉือถามออกมา

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของหลินเป่ยเฉินกระตุกโดยไม่รู้ตัวขณะหันมาตอบว่า “ไปที่ชอบที่ชอบขอรับ”

ติงซานฉือขมวดคิ้วนิ่วหน้า

อาการทางสมองของเจ้าเด็กคนนี้กำเริบอีกแล้วหรือ?

อาการทางสมองของหลินเป่ยเฉินนับเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด ยิ่งระดับพลังสูงล้ำมากเท่าใด อาการก็ยิ่งกำเริบบ่อยเท่านั้น

“หลายวันนี้อาจารย์มีเรื่องให้ไปจัดการมากมาย ส่วนเรื่องเกี่ยวกับการสืบสวนความลับของสุสานกระบี่นั้น เกรงว่าคงต้องรบกวนให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้ว”

ติงซานฉือออกคำสั่งหน้าตาเฉย

“คือว่า…”

หลินเป่ยเฉินกำลังจะปฏิเสธตามสัญชาตญาณ

“หรือเจ้ามีปัญหา?”

ติงซานฉือมองหน้าเขาด้วยแววตาดุดัน

คล้ายกับต้องการย้ำเตือนว่าหลินเป่ยเฉินลืมเลือนเรื่องคำสัญญาบนเรือเหาะวิหคยักษ์ไปแล้วใช่หรือไม่?

หลินเป่ยเฉินจึงได้แต่ลอบสบถคำหยาบอยู่ในใจ ก่อนรับคำว่า “ได้ขอรับ ท่านอาจารย์”

อิ๋นซานกับสือจงเซิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเมื่อเห็นเช่นนั้น ก็อดลอบถอนหายใจออกมาไม่ได้ ศิษย์พี่ติงช่างเป็นอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก แม้แต่ตอนที่หลินเป่ยเฉินอาการทางสมองกำเริบ เด็กหนุ่มก็ยังเชื่อฟังอาจารย์ของตนเองเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดเลยว่าหลินเป่ยเฉินเทิดทูนบูชาศิษย์พี่ติงของพวกเขาในระดับสูงส่งยิ่ง

เมื่อได้รับคำสั่งจากอาจารย์เรียบร้อยแล้ว หลินเป่ยเฉินกับเว่ยเหอก็หมุนตัวเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่แห่งนั้น

ติงซานฉือและสองศิษย์น้องของเขายังคงปรึกษาหารือเรื่องหนทางสืบสวนข้อมูลของฉู่อวิ๋นซุนต่อไป ปัญหาใหญ่ที่สุดไม่ใช่ว่าฉู่อวิ๋นซุนมีระดับพลังแข็งแกร่งน่าหวาดกลัว แต่เป็นลู่กวนไห่มีความน่าหวาดกลัวมากเกินไป ในฐานะที่เป็นภรรยาของฉู่อวิ๋นซุน ลู่กวนไห่จะต้องคอยออกหน้าช่วยเหลือสามีของตนเองยามคับขันแน่นอน

ด้านนอกห้องโถงใหญ่

หลินเป่ยเฉินพูดระหว่างที่เดินออกมาว่า “พี่เว่ย เคล็ดวิชาตี้ถิงที่ท่านเอ่ยถึงเมื่อสักครู่ ไม่ทราบว่าพอจะสอนข้าน้อยได้บ้างหรือไม่?”

ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว ของ ๆ เว่ยเหอ ก็เท่ากับเป็นของ ๆ หลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินไม่ได้คิดว่าตนเองกำลังเอารัดเอาเปรียบอีกฝ่ายแต่อย่างใด

เว่ยเหอพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “น้องหลินอยากจะฝึกวิชานี้หรือ? แต่มันจำเป็นต้องใช้พลังลมปราณสูงมากเลยนะ แล้วก็สามารถฝึกได้แต่เฉพาะผู้ที่มีพลังปราณธาตุดินเท่านั้นด้วย แต่เท่าที่ข้าจำได้ ดูเหมือนน้องหลินจะมีพลังปราณธาตุทองคำไม่ใช่หรือ?”

เอ่อ…

หลินเป่ยเฉินจะบอกอย่างไรดีนะว่าตนเองมีพลังปราณธาตุถึงห้าชนิด?

“ข้าก็แค่อยากขยายฐานความรู้ของตนเองน่ะขอรับ ยิ่งคนเรารอบรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความได้เปรียบผู้อื่นมากเท่านั้น”

หลินเป่ยเฉินแถไปตามระเบียบ

“นี่คือคัมภีร์เคล็ดวิชาตี้ถิง”

เว่ยเหอดึงจี้สีแดงชิ้นหนึ่งออกมาจากด้านในคอเสื้อ มันเป็นจี้ราคาถูกที่ไม่สมควรมีค่าใด ๆ

แต่ตราบใดที่รู้วิธีเปิดดูข้อมูลด้านใน ก็จะสามารถเข้าถึงเคล็ดวิชาตี้ถิงได้ทั้งหมด

กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว เว่ยเหอก็ได้เคล็ดวิชาตี้ถิงมาโดยบังเอิญเช่นกัน เขาซื้อจี้ชิ้นนี้มาจากตลาดค้าของเก่าและมาค้นพบภายหลังว่าด้านในนั้นยังบรรจุด้วยเคล็ดวิชาประหลาดชนิดหนึ่ง

และเพราะวิชาตี้ถิงนี้เอง เว่ยเหอจึงได้มีโอกาสเรียนรู้อีกหลายวิชาต่อมา จากเดิมที่มีพลังอยู่แค่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย บัดนี้ เขาจึงกลายเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนระดับหกเรียบร้อยแล้ว

แม้ว่าเคล็ดวิชาตี้ถิงจะไม่ได้มีความสามารถพิเศษพิสดารใด ๆ นอกจากสามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวผ่านพื้นดินเท่านั้น แต่หากสามารถนำมาใช้งานได้ถูกวิธี วิชานี้ก็จะกลายเป็นคุณประโยชน์มหาศาล

เว่ยเหอสอนให้หลินเป่ยเฉินเรียนรู้วิธีเปิดดูข้อมูลในจี้สีแดง ก่อนที่ตนเองจะแยกกลับไปที่ห้องพักเพื่อขับพิษต่อไป

หลินเป่ยเฉินนำโทรศัพท์มือถือออกมาสแกนคัมภีร์วิชาตี้ถิงเข้าสู่ระบบ

แอปพลิเคชันใหม่ปรากฏขึ้นในแอปสโตร์อย่างไม่น่าประหลาดใจ

หลินเป่ยเฉินกดดาวน์โหลด

ต้องใช้อัตราในการโอนถ่ายข้อมูลเป็นจำนวน 10 GB

เมื่อติดตั้งแอปพลิเคชันเรียบร้อยก็สามารถเปิดใช้งานได้ทันที

หลินเป่ยเฉินไม่จำเป็นต้องเสียเวลาฝึกวิชาเองแม้แต่น้อย

“วิชานี้มีประโยชน์มาก เราสามารถเอาไว้ใช้แอบฟังคนอื่นคุยกัน โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับได้อีกแล้ว”

หลินเป่ยเฉินแอบคิดด้วยความตื่นเต้น

ดึกสงัด

หลินเป่ยเฉินสวมเสื้อคลุมพรางตัวลอบออกจากสำนักกระบี่อมตะมาพร้อมกับอากวง

แต่ในเมื่อมากับอากวงก็สามารถล่องหนได้อยู่แล้ว หลินเป่ยเฉินจะสวมใส่เสื้อคลุมพรางตัวไปเพื่ออะไร?

เอ่อ เขาก็แค่สวมใส่เอาฤกษ์เอาชัยเท่านั้น

หลินเป่ยเฉินเคยดูละครโทรทัศน์ เขารู้สึกว่าพวกพระเอกที่สวมใส่ชุดพรางตัวตอนกลางคืนนั้นช่างดูเท่เสียเหลือเกิน เมื่อตนเองได้มีโอกาสสวมใส่ในคืนนี้ มีหรือที่เขาจะยอมพลาด

เด็กหนุ่มเปิดแอปไป่ตู้แมปและกดค้นหาเส้นทางไปสู่ ‘สุสานกระบี่’

ผ่านไปชั่วต้มน้ำเดือด หนึ่งคนหนึ่งมุสิกยักษ์ก็มาปรากฏกายขึ้นหน้าประตูทางเข้าสุสานกระบี่

สถานที่ซึ่งเรียกว่าสุสานกระบี่คือสุสานกระบี่จริง ๆ

มันเป็นสถานที่สำหรับกลบฝังกระบี่โดยเฉพาะ

เมืองไป๋หยุนเป็นเมืองแห่งมือกระบี่ ยามรุ่งโรจน์รุ่งเรืองมีลูกศิษย์ถึงหนึ่งแสนคน นอกจากนี้ยังมีประชากรเป็นนักปราชญ์และพ่อค้าคหบดีอีกจำนวนมาก จำนวนประชากรโดยเฉลี่ยของเมืองไป๋หยุนในอดีตคือสองแสนคน และบางช่วงจำนวนประชากรก็พุ่งสูงแตะถึงห้าแสนคน

ทุกคนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ย่อมใช้กระบี่

เมื่อใช้กระบี่ กระบี่ย่อมเกิดการชำรุด

กระบี่คือสิ่งที่มีความหมายพิเศษในเมืองไป๋หยุน

เพราะฉะนั้น กระบี่ส่วนใหญ่จากสำนักชื่อดังต่าง ๆ เมื่อเกิดการชำรุดหรือเสื่อมสภาพ พวกมันจะไม่ถูกนำไปหลอมเพื่อตีเป็นกระบี่เล่มใหม่ แต่กระบี่เหล่านั้นจะถูกนำมากลบฝังอยู่ที่นี่

สุสานกระบี่ตั้งอยู่ในเขตชายป่าซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างเขตภูเขากับเขตตัวเมือง

เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินตั้งตระหง่านไปด้วยเสาหินสูงใหญ่จำนวนมาก

แม้ยังยืนมองอยู่จากระยะไกล แต่ก็สามารถมองเห็นได้ว่าเสาหินแต่ละต้นนั้น มีกระบี่หลากหลายขนาดและรูปทรงปักอยู่ราวกับเป็นหนามแหลมของต้นกระบองเพชร

นี่คือเขตต้องห้ามภายในเมืองไป๋หยุน

หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านเจ้าเมือง ผู้ใดถูกพบว่ามาปรากฏตัวยังสุสานกระบี่ ก็จะต้องมีโทษตายสถานเดียว

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สุสานกระบี่มีการวางค่ายอาคมคุ้มกันอย่างแน่นหนาทั้งด้านในและด้านนอก

ตลอดเส้นทางติดตั้งไว้ด้วยกับดักกลไกและอาวุธลับอันตรายทุกชนิด

นอกจากนี้ ยังมียอดฝีมืออีกหกคนที่คอยประจำการทำหน้าที่ต่าง ๆ อยู่ภายในสุสาน แน่นอนว่าหนึ่งในหน้าที่เหล่านั้นก็คือการคุ้มกันกระบี่ที่อยู่ภายในสุสานนี่เอง

โดยเฉพาะช่วงปีที่ผ่านมา ระบบการรักษาความปลอดภัยในสุสานกระบี่ก็ยิ่งเพิ่มความเข้มงวดมากขึ้น

“พี่เว่ยบอกว่าอาจมีคนถูกจับตัวอยู่ที่นี่ จะใช่ท่านเจ้าเมืองคนเก่าหรือเปล่านะ?”

หลินเป่ยเฉินเดินจับมืออากวง แล้วหนึ่งคนหนึ่งมุสิกยักษ์ก็ล่องหนหายลับ เดินเข้าไปด้านในสุสานกระบี่