บทที่ 1113 เก็บกวาดกระบี่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,113 เก็บกวาดกระบี่

ค่ายอาคมด้านนอกสุสานกระบี่สร้างม่านพลังห่อหุ้มหลายชั้น แต่ไม่มีจุดใดเลยที่จะสามารถหยุดยั้งหลินเป่ยเฉินกับอากวงได้ หนึ่งคนหนึ่งมุสิกยักษ์เดินตามเส้นทางที่ปรากฏในแอปไป่ตู้แมป เพียงไม่นานก็สามารถลัดเลาะผ่านบริเวณที่มีค่ายอาคมวางกับดักอยู่ได้หมดสิ้น

สุดท้าย พวกเขาก็มาถึงบริเวณที่มียอดฝีมือคอยรักษาการ

แต่แน่นอนว่านี่ย่อมไม่มีปัญหาสำหรับหลินเป่ยเฉินกับสัตว์เลี้ยงของเขา

นอกจากอากวงจะสามารถช่วยให้หลินเป่ยเฉินล่องหนได้แล้ว มันยังช่วยกำจัดร่องรอยของพลังลมปราณ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของพวกเขาอีกด้วย

หลินเป่ยเฉินและเจ้าหนูยักษ์เดินมาถึงบริเวณที่เป็นเสาหินขนาดใหญ่ตั้งเรียงรายหลายสิบต้น เสาหินแต่ละต้นล้วนมีกระบี่ปักทิ้งเอาไว้จำนวนมาก

เด็กหนุ่มลองเดินเข้าไปดึงกระบี่ออกมาดูเล่มหนึ่ง เขาก็พบว่ามันเป็นกระบี่ที่คมมากทีเดียว ลักษณะในการหลอมก็น่าจะพิเศษไม่ซ้ำใคร คาดเดาว่ามันคงต้องเคยเป็นกระบี่คู่กายของยอดฝีมือชื่อดังสักคน กระบี่เล่มนี้เคยดื่มเลือดศัตรูมาแล้วนับไม่ถ้วน น่าเสียดายที่บัดนี้กลับต้องถูกนำมาทิ้งอยู่ในสุสานกระบี่เป็นเวลาอันยาวนาน

“กระบี่ก็ยังใช้ได้อยู่แท้ ๆ จะเอามาทิ้งให้เสียของกันทำไมนะ”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความเศร้า “แค่หาเจ้าของใหม่ก็สิ้นเรื่องแล้ว”

“จี๊ด”

อากวงพยักหน้าแสดงว่ามันเห็นด้วยกับคำพูดของผู้เป็นเจ้านาย

“เจ้าก็คิดเหมือนกันสินะ?”

หลินเป่ยเฉินหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “กระบี่เล่มนี้มีวาสนาต่อข้า เก็บมันกลับไปด้วย”

เด็กหนุ่มโยนกระบี่ไปให้กับอากวง

เจ้าหนูยักษ์ยื่นขาหน้ารับกระบี่ด้วยความชำนาญและเก็บกระบี่เล่มนั้นไว้ในกระเป๋าที่สะพายอยู่บนแผ่นหลัง

กระเป๋าที่อากวงกำลังสะพายอยู่นี้ ภายนอกมีลักษณะเหมือนกระเป๋านักเรียนในโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน แต่พื้นที่ด้านในนั้นคือที่เก็บของวิเศษ นอกจากใช้บรรจุคัมภีร์และทรัพยากรสำหรับการฝึกวิชาได้เป็นจำนวนมาก มันยังสามารถใช้บรรจุอาหารและเก็บกระบี่ได้อีกหลายร้อยเล่ม เพราะฉะนั้นเพิ่มกระบี่เก่า ๆ เข้าไปอีกไม่กี่เล่มจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด

หนึ่งคนหนึ่งมุสิกยักษ์ยังคงเดินไปข้างหน้าต่อไป

“ให้ตายสิ กระบี่เล่มนี้มีวาสนาต่อข้าอีกแล้ว มันตั้งใจสะท้อนประกายให้ข้าเห็น”

“กระบี่เล่มนี้ผลิตขึ้นมาจากแร่เหล็กคุณภาพสูง แสงสะท้อนของมันเหมือนกำลังเรียกหาข้าอยู่”

“กระบี่เล่มนี้อันตรายยิ่งนัก ขนาดยืนอยู่ไกล ๆ ยังรู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิต อย่างนี้ต้องเอากลับบ้าน”

“กระบี่เล่มนี้ทิ้งเอาไว้ก็เสียดายของ เอากลับไปด้วยดีกว่า”

“กระบี่เล่มนี้เฉียนเหมยจะต้องชอบแน่”

หลินเป่ยเฉินเที่ยวดึงกระบี่ออกมาจากเสาหินระหว่างทางจำนวนนับไม่ถ้วน

เขาโยนกระบี่เหล่านั้นไปให้อากวง

เจ้าหนูยักษ์ก็รีบเก็บกระบี่อย่างรู้งาน

นี่ไม่ต่างจากพวกเขามาเดินเก็บสมบัติ

ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ลืมจุดประสงค์ของตนเองไปเสียแล้วว่าเขามาที่สุสานกระบี่ด้วยเหตุอันใด เด็กหนุ่มไม่เงยหน้าสนใจใคร เขาเอาแต่เดินหากระบี่คุณภาพดีที่เสียบทิ้งเอาไว้ตามเสาหินต้นต่าง ๆ เมื่อเจอกระบี่ที่ถูกใจ เขาก็จะดึงมันออกมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“ข้าเองก็มีสถานะเป็นศิษย์ของเมืองไป๋หยุน การกระทำของข้าในครั้งนี้ ก็ถือว่าทำเพื่อส่วนรวมของเมืองไป๋หยุน กระบี่เหล่านี้จะได้ไม่ต้องถูกทิ้งให้เสียของอยู่ในสุสานอีกต่อไป”

หลินเป่ยเฉินคิดดังนี้ก็รู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง

ครึ่งชั่วยามต่อมา หนึ่งคนหนึ่งมุสิกยักษ์ก็เดินวนรอบพื้นที่เขตชั้นนอกของสุสานกระบี่เป็นจำนวนถึงสามครั้ง… เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีกระบี่คุณภาพดีรอดหูรอดตาไปได้อีก หลินเป่ยเฉินจึงได้เดินตรงเข้าไปยังส่วนลึกของสุสานกระบี่ด้วยสีหน้าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

พวกเขาผ่านป่าหินไปถึงบริเวณที่เป็นพื้นดินร่วนซุย

บนพื้นดิน ยังคงมีกระบี่อีกจำนวนมากถูกปักทิ้งเอาไว้ไม่ต่างจากต้นหญ้าที่ขาดคนดูแล

กระบี่เหล่านี้ยังคงมีสภาพดีเยี่ยม

พวกมันปักอยู่บนพื้นดินสลับกันสะท้อนแสงวาววับ

เป็นประกายอำมหิต

ไม่ว่าจะเป็นวัตถุที่ถูกนำมาหลอมเป็นกระบี่ รูปลักษณ์ของกระบี่หรือขั้นตอนการหลอม เห็นได้ชัดว่ากระบี่ที่ถูกปักอยู่ในพื้นดินเหล่านี้ ต่างก็เป็นกระบี่คุณภาพดีมากกว่ากระบี่ที่ถูกปักอยู่บนเสาหินด้านนอกหลายเท่า

ในจำนวนนี้ มีหลายสิบเล่มที่ควรถูกยกย่องให้เป็น ‘ราชันย์แห่งกระบี่’ นอกจากพวกมันจะมีรูปลักษณ์สวยงามน่าเกรงขามแล้ว ตัวกระบี่ยังแผ่รังสีเย็นเฉียบออกมาอีกด้วย หลินเป่ยเฉินล่วงรู้ว่ากระบี่ระดับสูงจะมีวิญญาณเป็นของตนเอง วิญญาณของพวกมันจะมีพลังเทียบเท่ากับมนุษย์ผู้อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย และบางครั้ง วิญญาณของตัวกระบี่ก็มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเจ้าของของมันอีกด้วย…

“เอ่อ…”

หลินเป่ยเฉินหันมามองหน้ากวง

“จี๊ด?”

อากวงก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินเช่นกัน

หนึ่งคนหนึ่งมุสิกต่างก็รู้สึกว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของพวกตนเองช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี

หากรู้ว่าที่นี่มีกระบี่คุณภาพสูงจำนวนมากถูกทิ้งเอาไว้ พวกเขาก็คงไม่เสียเวลานับครึ่งชั่วยามเก็บกระบี่ที่ถูกทิ้งอยู่ด้านนอกเหล่านั้นหรอก

บัดนี้ พื้นที่เก็บของในกระเป๋านักเรียนบนแผ่นหลังของอากวงเต็มแล้ว

“ทิ้งกระบี่ที่พวกเราเก็บมาก่อนหน้านี้ไปให้หมด”

หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง

น่าเสียดายที่พื้นที่เก็บของในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ก็เต็มแล้วเช่นกัน

มิฉะนั้น เรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาเลย

“จี๊ด”

ทันใดนั้น อากวงหยิบกระเป๋าอีกใบหนึ่งออกมาจากด้านในกระเป๋านักเรียนบนแผ่นหลัง

นี่คือพื้นที่เก็บของสำรองของมันเอง

ประเสริฐมาก

หลินเป่ยเฉินลูบหัวสัตว์เลี้ยงของตนด้วยความชื่นชม

อากวงส่งเสียงครางด้วยความชอบใจ

แล้วเด็กหนุ่มกับสัตว์เลี้ยงของเขาก็เริ่มต้นเก็บกระบี่ที่ถูกปักทิ้งอยู่บนพื้นดินร่วนซุย

หลังจากนั้นไม่นาน

กระบี่เกือบหนึ่งพันเล่มก็ถูกเก็บหมดเกลี้ยง

หลินเป่ยเฉินกับอากวงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

“ไป พวกเราไปกันต่อ”

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินรู้สึกสนใจกับพื้นที่ด้านในสุสานกระบี่มากขึ้นเรื่อย ๆ

หากรู้ว่าในสุสานกระบี่มีแต่ของดีถูกเก็บซ่อนอยู่เช่นนี้ เขาคงมาที่นี่ตั้งนานแล้ว

หรือว่าที่อาจารย์ติงไหว้วานให้เขาช่วยสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับสุสานกระบี่นั้น เป็นเพราะว่าอาจารย์ติงรู้ดีว่ามีกระบี่คุณภาพสูงจำนวนมากถูกทิ้งอยู่ที่นี่อย่างเปล่าประโยชน์?

หุหุ

สมแล้วที่เป็นอาจารย์ของเขา

นับว่าติงซานฉือช่างรู้ใจหลินเป่ยเฉินไม่มีใครเทียบเคียงได้

เด็กหนุ่มนึกชื่นชมชายชราจากใจจริง

เมื่อเก็บกวาดกระบี่จนหมดสิ้น หลินเป่ยเฉินกับอากวงก็เดินต่อไป

ทันใดนั้น เนินเขาเล็ก ๆ ลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

หรือถ้าจะอธิบายให้ถูกต้องก็สมควรเรียกว่าเป็นสุสานเก็บศพแห่งหนึ่งต่างหาก

หน้าทางเข้าสุสานมีป้ายหินสูงใหญ่ปักเอาไว้เขียนข้อความเพียงสี่พยางค์ว่า

‘สุสานกระบี่’

ข้อความเหล่านี้ถูกสลักด้วยคมกระบี่ รังสีกระบี่ยังทิ้งพลังกดดันของมันเอาไว้ในตัวอักษร เมื่อจ้องมองไปที่ตัวอักษรเหล่านี้ ก็จะเกิดเป็นความรู้สึกเหมือนถูกคมกระบี่ทิ่มแทงร่างกายอย่างไรอย่างนั้น

บุคคลที่สลักข้อความนี้ลงบนป้ายศิลาแผ่นนี้ ย่อมต้องเป็นสุดยอดผู้มีฝีมือท่านหนึ่ง

ด้านหลังป้ายศิลา เป็นอุโมงค์มืดมิดที่ทอดนำไปสู่เส้นทางใต้ดิน

อุโมงค์นี้ไม่เหมือนเป็นสิ่งก่อสร้างจากฝีมือมนุษย์ แต่เป็นการสร้างสรรค์โดยธรรมชาติ

สัมผัสได้ถึงสายลมร้อนอุ่นที่แผ่ออกมาจากอุโมงค์ด้านใน

หลินเป่ยเฉินก้มมองเส้นทางในแอปไป่ตู้แมปบนหน้าจอโทรศัพท์

เส้นทางที่พวกเขาต้องไปต่อจากนี้มีความแปลกประหลาดมาก

หลินเป่ยเฉินรีบก้มตัวแนบติดพื้นดิน เขาเพิ่งฝึกวิชาตี้ถิงในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น แต่ก็สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวรอบบริเวณผ่านพื้นดินได้แล้ว และเด็กหนุ่มก็ไม่พบอันตรายแต่อย่างใด

“พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นโบกมือและเดินเข้าไปในอุโมงค์พร้อมกับอากวง

เส้นทางในอุโมงค์ทอดนำลงไปสู่โลกใต้ดินอย่างคดเคี้ยว

เมื่อเดินลงมาได้ระยะหนึ่ง จมูกของเด็กหนุ่มก็ได้กลิ่นกำมะถันในอากาศ

เช่นเดียวกับไอความร้อนที่แผ่มากระทบผิวกาย

อุณหภูมิพุ่งสูงมากขึ้น

อากวงเหงื่อออกจนทำให้ขนสีเงินของมันเปียกลู่แนบติดลำตัว

หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็โคจรพลังปราณธาตุน้ำในความมืด สร้างม่านพลังขึ้นมาเป็นเกราะกำบังป้องกันตนเองและสัตว์เลี้ยงคู่ใจไม่ให้ได้รับผลกระทบจากความร้อน

เมื่อเดินต่อไปได้เพียงไม่นาน เส้นทางข้างหน้าก็ขาดหาย

พื้นที่ด้านล่างมีขนาดเท่ากับสนามบาสเกตบอลหนึ่งสนาม

เหนือสนามบาสเกตบอลนั้นมีสะพานหินพาดผ่าน

ได้ยินเหมือนเสียงน้ำเดือดดังขึ้นตลอดเวลา

สนามบาสเกตบอลใต้สะพานหินนั้น แท้จริงแล้วเป็นบ่อลาวาแห่งหนึ่ง

หลินเป่ยเฉินก้าวเท้าขึ้นไปบนสะพานและชะโงกมองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

ที่นี่คือปล่องภูเขาไฟใต้ดินหรือไง?

ปรากฏว่ามีภูเขาไฟใต้ดินซ่อนตัวอยู่ในเขตสุสานกระบี่ของเมืองไป๋หยุน

สุดทางเดินของสะพานหิน ยังคงมีเฉลียงทางเดินที่มืดมิดอีกหนึ่งแห่ง

หลินเป่ยเฉินไม่ได้รีบร้อนเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

แต่เขาชะโงกมองบ่อลาวาเบื้องล่างด้วยความสนใจ

สิ่งที่ตาเห็นบ่อลาวาก็มีเพียงแต่ลาวาร้อน ๆ หาได้มีสิ่งอื่นใดไม่

ทว่า สัญชาตญาณกำลังบอกเด็กหนุ่มว่าภายใต้ลาวาร้อนเหลวเหล่านี้ มีอะไรบางอย่างกำลังส่งพลังออกมาเพื่อสื่อสารกับตัวเขา

หรือว่าจะกระโดดลงไปในบ่อลาวาดีนะ?

หลินเป่ยเฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองหน้าอากวงที่ยืนอยู่ข้างกาย