เปี๋ยเทียนซินสังเวยชีวิตให้แก่กลอุบายของดินแดนต้าซี
ไม่ว่าจะเป็นเสด็จลุงจากดินแดนต้าซีท่านนั้นหรือว่ามู่จิ่วซือ การกระทำของพวกเขาเห็นได้ชัดเลยว่าได้รับความยินยอมจากมู่ฮูหยิน ไม่อย่างนั้นก็คือการยอมรับโดยนัยๆ เสีย
เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ล้วนมายังเมืองไป๋ตี้ก็เพื่อจะแก้แค้นให้ลูกชายตน นับเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ที่เฉินฉางเซิงคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้จากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ทั้งสองกลับไม่ได้สนใจในบาดแผลที่ไม่ได้รับการรักษาของตนเลย กลับตรงแน่วไปสู่หนทางแห่งการล้างแค้นนั้น
เมฆาดำทมึนและค่ายกลกักกันนั้นทำให้ฟ้าและดินบริเวณรอบนอกแม่น้ำแดงกว่าร้อยลี้ตัดขาดจากโลกภายนอก การต่อสู้ของเทพศักดิ์สิทธิ์ในครานั้นทำให้เมืองไป๋ตี้สั่นสะเทือนเลือนลั่น ทำให้แม่น้ำแดงลุกไหม้โหมอยู่ทั้งคืน เฉินฉางเซิงที่อาบแสงดาวอยู่บนหลังของนกกระเรียนขาวกำลังขบคิดว่าจะทำอย่างไรให้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีนั้นมาเป็นอุบายของตนได้ ดังนั้นตราบจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทราบเรื่องนี้ แต่กลับเป็นทางเมืองหลวงที่ทราบข่าวตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว
ลั่วลั่วอธิบายเหตุการณ์ก่อนและหลังพิธีคัดเลือกสวรรค์อย่างรวดเร็ว อย่างเรื่อง เพลิงโลหิตศักดิ์สิทธิ์ที่ตกลงมาจากท้องนภาในวันนั้น และในที่สุดก็พูดถึงเซวียนหยวนผ้อที่ยามนี้ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะขัดขวางชัยชนะของราชามารในพิธีคัดเลือกสวรรค์เอาไว้ได้ แล้วยังตกอยู่ในสภาพที่สลบไสลไม่ได้สติ
เฉินฉางเซิงถึงได้ทราบว่าเกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ หลังจากที่ตนนั้นออกมาจากจวนอ๋องหลูหลิง
เขากังวลใจในความปลอดภัยของเซวียนหยวนผ้อยิ่งนัก แต่เป็นห่วงเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ยิ่งกว่า เนื่องจากฟังจากน้ำเสียงของมู่ฮูหยินแล้ว เปี๋ยยั่งหงยามนี้น่าจะสิ้นเสียแล้ว
ในปีที่จากหานซานมานั้น เขายังเห็นเส้นสีแดงนั้นจากป่ารกร้างที่อยู่ไกลๆ อยู่บ้างจากรถลากของสถานศึกษาหนานซีที่เขาโดยสารมา ต่อมาก็เคยเจอเปี๋ยยั่งหงที่สุสานเทียนซู แต่ล้วนไม่ได้เอ่ยความอะไรกันจริงจัง จวบจนไม่กี่วันก่อนหน้าเมื่อพบเจอกันที่สถานศึกษาหนานซี ก็กลับกลายเป็นดั่งศัตรูกันเสียแล้ว
เฉินฉางเซิงและเปี๋ยยั่งหงล้วนไม่ได้สนิทชิดเชื้อ ยิ่งกับฮูหยินของเขาอู๋ฉยงปี้แล้วยิ่งไม่ถูกชะตาเลยก็ว่าได้ แต่เขายังชอบในตัวของเปี๋ยยั่งหงมากนัก
ก็เหมือนกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ หวังจือเช่อ หวังผ้อและคนที่เคยสัมผัสกับเปี๋ยยั่งหงในตอนนั้น
เปี๋ยยั่งหงนับเป็นสุภาพบุรุษโดยแท้ และเป็นคนดีคนหนึ่ง แตกต่างจากซูหลีโดยสิ้นเชิง เขามีความเมตตาที่ยากจะลบเลือนต่อโลกใบนี้เสมอ แม้ว่าหนทางที่เขาบำเพ็ญเพียรนั้นจะยาวไกล และคู่บำเพ็ญเพียรที่อยู่ข้างกายจะยากลำบากเพียงใดก็ตาม อย่างนั้นล้วนแล้วแต่จะทำให้ผู้คนโศกเศร้าเอาง่ายๆ
ณ เทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ เฉินฉางเซิงรับรู้ได้ถึงความหวังดีที่เปี๋ยยั่งหงมีให้กับเขา เนื่องจากไม่ว่าหลักฐานทุกอย่างจะมุ่งชี้มาที่เขาเพียงใด เปี๋ยยั่งหงยังคงยินดีที่จะให้โอกาสเขาอธิบาย ความเชื่อใจอันนี้หนักแน่นเหลือคณา ทำให้เขาเลื่อมใสยิ่งนัก
ผู้อาวุโสที่เขาเคารพท่านนี้เพิ่งจะสูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไป สุดท้ายยังต้องมาเสียชีวิตห่างไกลบ้านเกิดเมืองนอนหรือ
มือของเฉินฉางเซิงที่กำกระบี่ไว้สั่นเล็กน้อย
กระบี่กว่าร้อยด้ามที่ลอยเคว้งกลางอากาศก็สั่นเล็กน้อย พร้อมกันส่งเสียงวึ่งๆ ไปทั่ว ราวกับหยาดพิรุณที่พร้อมจะหลั่งรินสู่พิภพ
เจตจำนงกระบี่อันอึมครึมนั้นปกคลุมไปทั่วทั้งหอทัศนะ ดูช่างเฉียบคมและเจตนาแน่วแน่มาก
ก็คือขณะนี้ที่เฉินฉางเซิงกำลังมองมู่ฮูหยินนี่เอง
“ที่แท้เผ่าปีศาจก็เตรียมตัวที่จะทำสงครามแล้วนี่เอง”
เมื่อได้ฟังคำที่ดูราวกับสงบนิ่ง แต่กับมีเจตนาต่อการรบที่แข็งแกร่งมาก บนหอทัศนะก็พลันเกิดเสียงดังเกรียวกราวทันที
แต่ผู้ใดก็มิอาจหาญไปไกล่เกลี่ยเฉินฉางเซิง ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าเผ่าสยงและเผ่าชื่อ หรือแม้แต่ใต้เท้าอัครเสนาบดีก็ตาม
เนื่องจากสายใยของเหตุการณ์นี้ชัดเจนเกินไป หากประสงค์จะอธิบายก็คงอธิบายให้ชัดเจนไม่ได้
เสด็จลุงมู่จากดินแดนต้าซีและมู่จิ่วซือเป็นผู้สังหารเปี๋ยเทียนซิน เพื่อที่จะยัดเยียดความผิดให้เฉินฉางเซิง หลังจากปราชัยไป มู่จิ่วซือก็หลบหนีไปที่เมืองไป๋ตี้ เพื่อที่จะปกป้องนาง มู่ฮูหยินออกอุบายสังหารเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ที่เมืองไป๋ตี้เสีย แล้วตัดขาดจากเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างเหี้ยมโหด และไปร่วมพันธมิตรกับเผ่ามาร
นี่ก็คือเรื่องจริง แม้ว่าในรายละเอียดปลีกย่อยจะตกหล่นไปบ้าง แต่ใจความสำคัญก็คือเท่านี้
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “เป็นท่านที่เชิญผู้แข็งแกร่งจากเผ่ามารมาหรือ เป็นคนชุดดำหรือผู้คุมกฎเผ่ามารหรือ”
มู่ฮูหยินมิได้ตอบคำถามของเขา นางเอ่ยด้วยความสงบนิ่งว่า “ข้ามิได้ลงมือ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “แต่ท่านเปิดใช้ค่ายกลกักกัน ขัดขวางไม่ให้พวกเขาขอความช่วยเหลือ”
“เดิมทีข้าไม่อยากตอบคำถามนี้ของเจ้า เนื่องจากรู้สึกว่ากำลังทำสงครามน้ำลายน่าขันกับเด็กก็มิปาน แต่ข้าจู่ๆ ก็รู้สึกว่าเจ้าควรจะเข้าใจให้มากหน่อยก็ดี”
มู่ฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะว่า “ต่อให้ข้าไม่เปิดใช้ค่ายกลกักกัน เจ้าคิดว่าจะมีผู้ใดมาหรือ อย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ เรื่องที่ข้าตัดสินใจผูกมิตรกับเมืองเสวี่ยเหล่าได้กระจายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เหตุใดจนถึงตอนนี้ยังไม่มีผู้ใดปรากฏตัวเล่า”
เฉินฮางเซิงเงียบไม่พูดจา
“ได้ยินมาว่าหวังผ้อได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เขาไม่มาก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่เซี่ยงอ๋องเล่า ประมุขพรรคกระบี่เขาหลีซานเล่า การที่เจ้ามาปรากฏตัวที่นี่ได้ข้าประหลาดใจนัก ตลอดทางที่มานี่ไม่มีผู้ใดขัดขวางเจ้าเลยหรือ ที่สำคัญมากไปกว่านั้น เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ อาจารย์ของเจ้าเหตุใดจึงยังไม่ปรากฏตัวเล่า”
มู่ฮูหยินเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงสารและเยาะเย้ย “ใต้เท้าสังฆราช ที่สุดแล้วเจ้าก็ยังเด็กมาก”
เนื่องด้วยยังเด็กนัก จึงเลือดร้อน จึงวู่วาม จึงยืนอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวในยามนี้
หมายความว่าเยี่ยงนี้หรือ
เฉินฉางเซิงนึกถึงจดหมายที่ได้รับยามอยู่จวนลู่หลิงอ๋อง จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมา
เมื่อคราที่ได้รับจดหมายฉบับนั้น เขาไม่ทันได้ไตร่ตรองอันใด ขี่กระเรียนเร่งรุดมาทางตะวันตกทันที
ขี่กระเรียนเร่งรุดมาทางตะวันตก คงทำให้คนฟังดูแล้วน่าเศร้าเสียจริง
เพียงแต่ว่าผู้ใดใช้ให้เขาเป็นสังฆราชของเผ่ามนุษย์เล่า ผู้ใดใช้ให้เขาเลือกเส้นทางเยี่ยงวันนี้กัน
ในเมื่อเป็นเยี่ยงนี้แล้ว เขาไหนเลยจะมีสิทธิ์เหนื่อยล้า ไหนเลยจะมีเวลามาอาดูร
เกิดเสียงกึกขึ้นมาแผ่วเบา กระบี่ไร้ราคีและฝักกระบี่ซ่อนคมแยกตัวออกจากกัน กระบี่กว่าร้อยเล่มที่ลอยเคว้งในอากาศส่งเสียงร้องยาวก่อนจะร่วงลงมา กระบี่ทั้งหมดกลับเข้าไปอยู่ในฝักอย่างครบถ้วน
ผู้อาวุโสเผ่าปีศาจหลายคนนั้นเป็นหนแรกที่ได้พบเจอภาพเยี่ยงนี้ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจคอไม่ดี
เฉินฉางเซิงมิได้สนใจมู่ฮูหยิน เขาถามออกไปตรงๆ ว่า “ผู้ใดมีเบาะแส”
ลั่วลั่วและหัวหน้าเผ่าสยงรวมถึงคนอื่นๆ ต่างก็ส่ายหน้า
หอจิงลั่วจู่ๆ ก็เกิดเสียงโต้เถียงขึ้นมาพักใหญ่ ไม่นานก็มีเพียงคนเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าเร่งรีบ
มุขนายกของอารามเต๋าซีหวงและบรรดาอาจารย์กว่าหลายสิบท่าน ทั้งยังมีเหล่าขุนนางของต้าโจว ผู้ดูแลตระกูลถัง ผู้บำเพ็ญเพียรจากเทียนหนานทยอยเดินขึ้นบันไดศิลามา
เหล่าองครักษ์ปีศาจแม่น้ำแดงที่มีหน้าที่รักษาเขตพระราชฐานนั้นมีพลังมากพอจะต้านทานพวกเขาเอาไว้ แต่วันนี้สถานการณ์ในเขตพระราชฐานวุ่นวายยิ่งนัก ผู้คุมปีศาจก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ใด ไหนจะบรรดาคนที่มาจากเผ่าหมี เผ่าชื่อหรือแม้แต่ผู้คุมกฎปีศาจต่างก็จงใจปล่อยปละละเลย ให้พวกเขาบุกเข้ามา
เมื่อเห็นเงาร่างของเฉินฉางเซิง เหล่ามุขนายกต่างก็คุกเข่าลงทำความเคารพ หลังจากนั้นจึงนำตัวเซวียนหยวนผ้อที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาวางไว้เบื้องหน้า
เมื่อเลิกอาภรณ์ของเซวียนหยวนผ้อออก จึงได้มองเห็นรอยแผลฉกาจฉกรรจ์อันน่าสมเพชเหล่านั้น สีหน้าของเฉินฉางเซิงไม่เปลี่ยนแปลง เขาใช้ง่ามนิ้วคีบเอาเข็มกระตุ้นโลหิตออกมารักษาเขา
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เขายังคงไม่เงยศีรษะขึ้น จิตใจจดจ่ออยู่กับการรักษา
ลั่วลั่วคุกเข่าอยู่ข้างกายเขาตลอด พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าในมือเช็ดเหงื่อเม็ดโตบนหน้าเขาตลอด
บนหอทัศนะเงียบยิ่งนัก ไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่านใด ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็เงยหน้าขึ้นมา
ลั่วลั่วถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
เมื่อครูนางเห็นชัดเจนเลยว่าเฉินฉางเซิงใช้พลังปราณแท้ผลักดันเอายาลูกกลอนเข้าไปในปากของเซวียนหยวนผ้อสองเม็ด
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขาแล้ว เดาว่ายาลูกกลอนสองเม็ดนั้นคงเป็นยาจูซาในตำนานเป็นแน่
แต่ต่อให้เป็นอย่างนี้แล้ว เซวียนหยวนผ้อก็ยังคงไม่ตื่นขึ้นมา
ลั่วลั่วเริ่มร้อนรนแล้ว
“หากเขาฟื้นขึ้นมาได้ก็จะไม่เป็นอะไร หากไม่ฟื้น…”
เฉินฉางเซิงไม่ได้เอ่ยจนจบ เขาเงยหน้ามองไปยังตรอกและถนนในเมืองไป๋ตี้ นิ่งเงียบไม่พูดจา
เซวียนหยวนผ้อก็อยู่ข้างกายเขานี่เอง
เปี๋ยยั่งหงยามนี้คงกำลังหลบซ่อนตัวอยู่บางแห่งในเมืองนี้
ล้วนไม่ทราบเลยว่าจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้หรือไม่
นี่เขามาช้าไปแล้วจริงๆ น่ะหรือ
……
……
แมวป่าตัวหนึ่งเดินทะลุผ่านกลางตรอกไป มองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง มันค่อนข้างงุนงง
เหตุใดวันนี้งานประชุมซงถิงจึงได้เงียบสงัดเพียงนี้นะ
มันไม่รู้ว่าเจ้าของร้านซาลาเปาหูจี้และเพื่อน และบรรดาชายฉกรรจ์ที่เป็นกุลีต่างก็ไปออกันหน้าเขตพระราชฐาน พวกเขาอยากดูความครึกครื้นของพิธีคัดเลือก ทั้งอยากเห็นคนที่เป็นความภาคภูมิใจของชาวเซี่ยเฉิง…เซวียนหยวนผ้อได้รับชัยชนะ
พระอาทิตย์ขึ้นนานเพียงนี้แล้วเหตุใดบนถนนหนทางจึงมีหมอกขึ้นมาอีกเล่า
มันไม่รู้เลยว่ายามนี้ราชามารเองกำลังรบอยู่ ดูเหมือนว่าเหวลึกน่าสะพรึงนั่นจะเคลื่อนย้ายจากพื้นที่ราบหิมะมาที่นี่แล้ว
จู่ๆ แมวป่าตัวนั้นก็หางตก แล้ววิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางหมอกหนาบนถนนมีหญิงผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น
ภาพนั้นราวกับความฝัน
ก็เหมือนใบหน้าของนาง
งดงามเกินไป ราวกับไม่ใช่ความจริง
แม่นางผู้นั้นเดินเข้ามาในตรอกที่ชื่อว่าซานเหอหลี่ ดำเนินมาตามเสียงระฆังกังวานของวัดเทียนซู่ เมื่อมาถึงเขตลานบ้านด้านใน
มองเห็นประตูไว้ที่ปิดสนิท นางเชิดจมูกขึ้น ดูระแวดระวัง น่ารักยิ่งนัก
ไม่นานนางก็ได้กลิ่นระลอกหนึ่ง
“เหม็นมาก”