ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 169 ข้านำวิชาทะเลเพลิงมาปะทะวิชาน้ำพุเหลือง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เสียงระฆังในวัดเทียนซู่เงียบเสียงลงแล้ว ในมุมลึกของตรอกเล็กๆ นั้นไร้เสียงใด

หญิงสาวผู้นั้นยืนอยู่เบื้องหน้าประตูไม้ ราวกับกำลังขบคิดเรื่องใด

ในลานบ้านเกิดเสียงคำรามต่ำขึ้นมาหนึ่งที เสียงนั้นเบาเสียจนเกือบจะไม่ได้ยิน แต่ราวกับชัดเจนเหมือนเอ่ยอยู่ข้างหู เต็มไปด้วยความรู้สึกสาปแช่งอันชั่วร้าย แถมยังมีความโกรธที่ยากจะปิดบังด้วย แปลกประหลาดอย่างที่สุด

หมอกสีดำกว่าสิบสายพุ่งออกมาจากรอยแตกของประตูไม้พร้อมกับเสียงคำรามต่ำ

แต่ในช่วงเวลาต่อมาเสียงคำรามต่ำในลานเล็กๆ นั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

บรรดาหมอกสีดำที่น่ากลัวและดูสกปรกไร้ที่เปรียบนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะล่วงเข้ามาใกล้ตัวหญิงสาว มันลอยห่างออกไปไกลทันที ดูราวกับกำลังหวาดกลัว มีบางคราที่หมอกสีดำนั้นถูกลมที่อยู่ในตรอกพัดมาตรงหน้าหญิงสาว ก็จะถูกเปลวไฟสีทองที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใดคลอกจนกลายเป็นควันสีเขียว

ในตอนนั้น ลานบ้านเล็กๆ นั้นก็จะเกิดเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดขึ้นมา ฟังแล้วคล้ายกับสุนัขกำลังครวญคราง

ประตูไม้ของวัดแทบจะไม่สามารถต้านทานการปะทะของลมปราณที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี้ได้เลย เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะเห็นได้ว่าความเร็วๆ ค่อยๆ ถูกลดทอนลง หลังจากนั้นไม่นานก็พังทลายลง

เดินเข้ามาในตัววัด หญิงสาวมองเห็นฟืนที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบ นางสะดุ้งเล็กน้อย

นี่ทำให้นางย้อนนึกไปถึงเมื่อครั้งแรกที่นางไปสำนักฝึกหลวง นางเห็นอาภรณ์ในตู้เสื้อผ้าในห้องของเฉินฉางเซิงที่เป็นระเบียบเรียบร้อย

สนต้นแคระที่อยู่ใต้กำแพงเตี้ยๆ นั้นเหี่ยวเฉาไปนานแล้ว เหลือเพียงเศษซากสีเขียวสีน้ำตาลเท่านั้น มองแล้วช่างไม่เข้าตา

บนพื้นศิลาขาวมีรอยเท้าสีดำสิบกว่ารอย เพียงแต่ว่ามันเล็กมาก ดูแล้วคล้ายกับรอยเท้าเด็ก

ประตูเรือนนั้นผุพังไปนานแล้ว ของเหลวสีเข้มค่อยๆ ไหลย้อยลงมาจากคานหลายสาย ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง

วัดที่เดิมทีสงบเงียบแห่งนี้ ยามนี้กลับเปลี่ยนเป็นน่ากลัวอย่างแปลกประหลาด

เบื้องหลังของประตูกระดาษที่มีอยู่เพียงครึ่งนั้น คือ สองสามีภรรยาเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้

พวกเขานั่งพิงกำแพงอยู่ สีหน้าซีดเผือด ราวกับใกล้จะเสียชีวิตแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังคงหายใจอยู่

เพียงช่วงก่อนหน้านี้เท่านั้น พวกเขานั้นเกือบจะถูกสังหารหรือแม้แต่เกือบจะถูกกลืนลงไปโดยฉูซูแล้ว แต่จู่ๆ ฉูซูกลับหายตัวไปเสีย

วัดที่เงียบสงบแห่งนี้ดูราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แต่เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องมองออกแน่ การต่อสู้ที่ไร้เสียงแต่อันตรายอย่างที่สุดกำลังดำเนินอยู่ด้านนอกวัดแห่งนี้

เมื่อเปลวไฟสีทองเผาหมอกสีดำให้กลายเป็นควันสีเขียวเสียสิ้นแล้ว เปี๋ยยั่งหงก็รู้ทันทีว่าผู้ใดคือเข้ามา

เขามองไปที่อู๋ปี้ฉยงหนึ่งที ในที่สุดก็วางใจได้แล้ว

ต่อให้ฉูซูน่ากลัวและยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่สามารถเอาชนะหญิงสาวผู้นั้นได้

เพราะว่าหญิงสาวผู้นั้นคือ สวีโหย่วหรง

……

……

ใช่แล้ว หญิงสาวผู้ที่ยืนอยู่ในวัดก็คือ สวีโหย่วหรงนั่นเอง

ครานั้นที่อยู่ริมแม่น้ำถงเจียง หลังจากที่นางได้รับสารจากเฉินฉางเซิง ก็มอบกระเรียนขาวให้แก่เขา แล้วนางก็กลับไปยังเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์

ตอนนั้นไม่มีผู้ใดรู้ว่าต่อไปนางจะทำการใด เยี่ยเสี่ยวเหลียนไม่รู้ เฉินฉางเซิงเองก็ไม่รู้ ตัวนางเองก็ไม่รู้

นางไม่รู้ว่าเหตุใดเมื่อตนกลับไปถึงยังเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะต้อง เรียกรวมศิษย์ร่วมสำนัก และเริ่มจัดการธุระในสถานศึกษา

ระหว่างที่จัดการธุระในสถานศึกษานั้น นางรู้ว่าตนนั้นต้องทำอะไร หรือว่าตนนั้นอยากทำอะไร

หลังจากนั้นการจัดการก็เปลี่ยนเป็นมอบหมาย เมื่อมอบหมายธุระในสถานศึกษาเสร็จสิ้น นางจึงจากเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มา

ความเร็วในการบินของกระเรียนขาวนั้นยอดเยี่ยมมาก นอกเสียจากผู้แข็งแกร่งในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ผู้ใดติดตามมาได้ทันแน่

นางออกเดินทางช้ากว่าเฉินฉางเซิงหนึ่งวัน แต่กลับมาถึงเมืองไป๋ตี้ในเวลาใกล้เคียงกับเขา

เพราะนางเองก็บินได้

ตอนที่นางกำลังเตรียมตัวเดินทางไปยังเขตพระราชฐาน จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง บางอย่างที่ทำให้นางรู้สึกอยากอาเจียน

มันเหมือนกับการได้เห็นศพที่เน่าเปื่อยและส่งกลิ่นเหม็นบนทุ่งหญ้าขาวสะอาด

มันเหมือนกับว่าทานจนอิ่มท้องไปแล้ว แต่เห็นจานหัวหมูที่เย็นมากจนส่วนมันกลายเป็นสีขาว

นั่นเป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ไม่น่าพึงประสงค์เป็นอย่างยิ่ง

นางผู้มีเส้นทางแห่งจิตในใจแจ่มแจ้ง รู้สึกได้ถึงความแจ้งชัด ยิ่งกว่านั้นคือความยากจะอดทนต่อสิ่งนั้น

ดังนั้น นางจึงเดินตามความรู้สึกนั้นไปจนสุดตรอกเส้นนี้ และได้กลิ่นนั้นเข้า

แต่ที่นางคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อนางผลักประตูเข้ามาแล้ว จะพบเข้ากับอู๋ฉยงปี้และเปี๋ยยั่งหง

การต่อสู้ของเทพศักดิ์สิทธิ์ในวันก่อนรวมถึงเรื่องที่เกิดในเมืองไป๋ตี้ เฉินฉางเซิงไม่รู้ นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน

ขณะนั้นพวกเขาล้วนแล้วแต่อยู่บนสวรรค์

เมื่อพบเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้เข้า สวีโหย่วหรงใช้เวลาไม่นานก็เข้าใจได้ทันที นางแทบจะคาดเดาได้ถึงเรื่องจริงที่เกิดขึ้นทันที

หรือจะใช้คำว่าอนุมานสองคำนี้น่าจะเหมาะกว่า

แต่นางยังคงหาไม่พบคนที่ทำให้นางรู้สึกอยากอาเจียน หรือแม้แต่รู้สึกถึงความหวาดระแวง

นึกไม่ถึงว่าจะปิดบังจากสายตานางไปได้ เชี่ยวชาญในการหลบซ่อนตัวถึงเพียงนี้เชียวหรือ

สวีโหย่วหรงมิได้เอ่ยความใดกับเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ และก็ไม่ได้ก้าวเข้าไปในห้องด้วย

นางยืนอยู่ในลานบ้านอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดการใดอยู่

ลมเย็นอ่อนพัดโชยเข้ามาจากในตรอก เข้ามาในลานบ้าน

สนต้นเตี้ยที่ยืนต้นตายนั้นถูกลมพัดจนใบสนร่วงโรย

ขนตานางกะพริบเบาๆ

ทันใดนั้นสะเก็ดเพลิงดาราก็ตกกระทบลงบนใบสนพวกนั้น

เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ใบต้นสนเหล่านั้นลุกไหม้อย่างรุนแรง และกลายเป็นกำแพงอัคคีทันที

กำแพงอัคคีลุกลามไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว จนล้อมรอบลานเล็กๆ ไว้ได้ทั้งหมด

อีกทั้งยังเกิดเปลวอัคคีจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน ผ่านรอยแตกระหว่างศิลาขาว พวกมันลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง

สวีโหย่วหรงยืนอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงนั้น

ราวกับมีเสียงกรีดร้องหวาดกลัวดังขึ้นมาจากส่วนลึกใต้พิภพอันห่างไกล

พรึ่บพรั่บ! พรึ่บพรั่บ!

ศิลาขาวนับไม่ถ้วนถูกกระแทกจนลอยเคว้งในอากาศ เงาร่างสายหนึ่งถูกบีบให้พุ่งตัวขึ้นมาด้วยไฟอัคคีจากใต้พิภพ

นั่นคือผู้ชายร่างเตี้ยหลังค่อม เขาคลุมกายด้วยเสื้อคลุมสีดำ ทั้งตัวส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง

เขาห่อศีรษะและใบหน้าไว้แน่นในชุดคลุมสีดำ ราวกับว่าเขากลัวเปลวไฟนั่นเป็นอย่างยิ่ง มีเพียงมือสองข้างของเขาที่โผล่ออกมาด้านนอก ทั้งกายเขาถูกปกคลุมด้วยเกล็ดน่าเกลียด มีขนสีดำ และปลายกรงเล็บที่แหลมคมถูกปกคลุมไปด้วยสิ่งสกปรก และแทบจะมองเห็นได้ถึงกล้ามเนื้อที่คงจะเน่าเปื่อยมานาน

ร่างในชุดคลุมสีดำนั้นส่งเสียงกรีดร้องแสบหูไม่หยุด ราวกับโกรธเคืองเป็นอย่างมาก

เขาเอาแต่กรีดกรายกรงเล็บคู่นั้น ราวกับต้องการจะโถมเข้ามาฉีกสวีโหย่วหรงให้เป็นชิ้นๆ แต่กลับไม่กล้าก้าวมาเบื้องหน้าแม้แต่ก้าวเดียว

สวีโหย่วหรงมองไปที่เขานิ่งก่อนเอ่ย “เจ้าก็คือฉูซูรึ”

เสียงร้องอย่างโกรธแค้นในชุดดำเงียบลงแล้ว กลายเป็นเสียงสูดลมหายใจที่ไม่แน่ใจว่าร้องไห้หรือหัวเราะอยู่กันแน่

ฉูซูกำลังฝืนยิ้มขมขื่น แต่ดูเหมือนอยากร้องไห้มากกว่า

เขาไม่คิดเลยว่า ตนจะได้พบท่านผู้นี้ที่เมืองไป๋ตี้

คราที่ยังอยู่ที่เวิ่นสุ่ย เฉินฉางเซิงนำผู้นำทั้งสามท่านของสำนักฝึกหลวง รวมถึงผู้แข็งแกร่งกวนเฟยไป๋มา เขายังไม่หวั่นเกรงเลย เนื่องจากวิชาน้ำพุเหลืองที่เขาพร่ำบำเพ็ญมานั้นลึกลับและโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก ความสามารถในการซ่อนและหลบหนีนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า ต่อให้เจ๋อซิ่วผู้มีพลังสังหารเพียงพอ หรือแม้แต่หนานเค่อผู้มีความว่องไวไปไม่น้อยกว่าเขา หรือแม้กระทั่งคนประเภทอย่างชิวซานจวินนี้ปรากฏตัวออกมา เขาก็ยังคงเชื่อมั่นว่าตนนั้นจะไม่มีทางถูกจับตัวได้

ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ต่อให้การนั้นไม่สำเร็จ เขาก็ยังสามารถจะหลบหนีออกไปได้อย่างง่ายดาย

ในเมืองฮั่นชิวเป็นเยี่ยงนี้ ที่เวิ่นสุ่ยก็เช่นกัน เมื่อเผชิญหน้ากับเซียวจางก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน

แต่เขาก็รู้ดีว่าตนนั้นมีดาวมฤตยู

นั่นก็คือหญิงสาวผู้อยู่ในทะเลเพลิงผู้นี้นี่เอง

สวีโหย่วหรงมีความว่องไวมากกว่าเขา เส้นทางแห่งจิตในใจปลอดโปร่ง ไม่มีผู้ใดโจมตีได้โดยง่าย

ที่สำคัญกว่าก็คือ กระบี่จำศีลของนางควบคุมวิชาน้ำพุเหลืองของเขาได้พอดี

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ ต่อให้เขาเห็นแก่ตัวและเย็นชาอย่างไร วันนี้ก็คงต้องฟาดฟันอย่างร้อนแรงเป็นแน่

มีเพียงหนทางนี้ จึงจะสามารถได้รับหนทางมีชีวิตรอด

เกิดเสียงดังแควก ด้านหลังของชุดคลุมสีดำถูกฉีกขาดเป็นรอยแยก

ที่มาพร้อมๆ กับกลิ่นเหม็นเน่า แผ่นหลังของฉูซูเกิดปีกสีเทาอัปลักษณ์ขึ้นมา

ศิลาขาวบนพื้นเกิดเสียงขึ้นมา พุ่งเข้าโจมตีสวีโหย่วหรงทันที