ในวันที่สิบห้านับตั้งแต่ที่ฉินอวี้โม่เข้าไปในดินแดนต้องห้าม คนของฝั่งผู้อาวุโสใหญ่ก็เข้าปิดล้อมฝั่งทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ย ณ บริเวณที่พักของเยี่ยชางไห่
“เยี่ยหลิงซี เยี่ยหมิง อย่าขัดขืนไปโดยเปล่าประโยชน์เลย การที่ปราศจากเยี่ยชางไห่ พวกเจ้ามิใช่คู่มือของเราหรอก จงเชื่อฟังแต่โดยดีและข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป !”
เยี่ยไป๋เหมยมองตรงไปที่เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงผู้ซึ่งคุ้มกันหน้าประตูเรือนของผู้นำตระกูลเยี่ยพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเผด็จการและแผ่แรงกดดันออกไปกดข่มทั้งสอง
“เหอะ เยี่ยไป๋เหมย ไม่ต้องเสแสร้งพูดดีหรอก พวกข้าทราบดีว่าเจ้าคิดจะทำสิ่งใด หากมิใช่เพราะเกิดเรื่องกับท่านพ่อ เจ้าจะกล้าอวดดีเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ! หากคิดจะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลละก็…เจ้าต้องข้ามศพพวกข้าไปก่อน ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เจ้าไม่มีทางได้ปกครองตระกูลเยี่ยแน่ !”
เยี่ยหมิงแค่นเสียงเย็นชาและตอบโต้อย่างไม่เกรงกลัว ทว่าความแข็งแกร่งของเขาก็ด้อยกว่าเยี่ยไป๋เหมยมากและถูกแรงกดดันกดข่มจนไม่สามารถใช้พลังมายาได้อย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม ความฮึกเหิมในหัวใจของเขาก็ไม่ลดน้อยลงแม้แต่น้อย คนของตระกูลเยี่ยยอมตาย ทว่าไม่มีทางยอมเสียเกียรติอย่างแน่นอน !
“เหอะ เยี่ยหมิง เยี่ยหลิงซี เหตุใดพวกเจ้าจะต้องดันทุรังไปด้วยเล่า ? จุดจบของพวกเจ้าแทบจะชัดเจนแล้ว เพราะฉะนั้นจงยอมแพ้แต่โดยดีเถอะ ไม่ต้องกังวล ต่อให้ข้าได้เป็นผู้นำตระกูลเยี่ย ข้าก็จะไม่ฆ่าตาเฒ่าเยี่ยชางไห่และจะแต่งตั้งพวกเจ้าให้เป็นผู้อาวุโสของตระกูล ทุกอย่างจะไม่แตกต่างไปจากเดิมมากนักหรอก”
เยี่ยไป๋เหมยไม่รีบร้อนและกล่าวออกไปเนื่องจากต้องการให้เยี่ยหมิงและคนอื่น ๆ ยอมจำนนโดยที่ปราศจากการต่อสู้
“เยี่ยไป๋เหมย แน่ใจรึว่ามันจะไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก ? เราเป็นนายใหญ่และนายรองของตระกูลเยี่ย หลังจากเจ้าเป็นผู้นำตระกูล เจ้าจะยังแต่งตั้งให้เราเป็นนายใหญ่และนายรองเช่นเดิมได้อีกรึ ?”
เยี่ยหลิงซีกล่าวพร้อมรอยยิ้มและไม่รีบร้อนลงมือเช่นกัน เดิมทีพวกนางก็วางแผนที่จะถ่วงเวลาให้นานที่สุด ในเมื่อเยี่ยไป๋เหมยต้องการจะกล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้ นางก็ไม่รังเกียจที่จะให้ความร่วมมือ
“เยี่ยหลิงซี อย่าพยายามบีบบังคับให้ข้าทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หน่อยเลย”
เยี่ยไป๋เหมยขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย ตอนนี้คนของเขาล้อมรอบทั่วบริเวณไว้แล้ว ไม่ว่าอย่างไร เยี่ยหลิงซีและคนเหล่านี้ก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน
“เหอะ ข้าไม่ได้บีบบังคับสิ่งใด เจ้าลั่นวาจาเองมิใช่รึว่าจะไม่ทำให้สถานะของเราแตกต่างจากเดิมมากนัก สิ่งที่ข้ากล่าวมามิใช่ความจริงรึ ? เราเคยเป็นนายใหญ่และนายรองของตระกูลเยี่ย หากสิ่งต่าง ๆ จะไม่แตกต่างไปจากเดิม เราก็ต้องเป็นนายใหญ่และนายรองเช่นเดิมมิใช่รึ ?”
เยี่ยหลิงซีกล่าวพร้อมรอยยิ้มอีกครั้งและวาจาของนางก็สมเหตุสมผลจนเยี่ยไป๋เหมยมิอาจปฏิเสธได้
“เหอะ ข้าคงไม่เสียเวลาโต้เถียงกับเจ้าหรอก ข้าจะให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งก้านธูปเพื่อตัดสินใจ หากยอมจำนนแต่โดยดีก็จะไม่มีใครต้องเจ็บตัว แต่หากไม่ต้องการเช่นนั้นก็มาสู้กันได้เลย !”
เยี่ยไป๋เหมยรับรู้ถึงน้ำเสียงเสียดสีถากถางในวาจาของเยี่ยหลิงซีได้อย่างชัดเจน ทว่าเขาก็ไม่โกรธเคืองใดๆ ในทางกลับกัน เขาเพียงเผยรอยยิ้มออกมาโดยที่ยังคงสงบนิ่งใจเย็นเช่นเดิม
คนของฝั่งผู้อาวุโสใหญ่ยังคงยืนล้อมรอบอยู่ทั่วบริเวณและไม่ลงมือทำสิ่งใดขณะรอคำสั่งโจมตีของเยี่ยไป๋เหมย
ในขณะที่เวลาผ่านไป เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงก็มองหน้ากันเล็กน้อย เนื่องจากทราบดีว่าไม่อาจถ่วงเวลาได้อีกต่อไป ทั้งสองจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเตรียมความพร้อมสำหรับการต่อสู้เท่านั้น
“หมดเวลา ! ทีนี้พวกเจ้าก็ให้คำตอบข้ามาได้แล้ว !”
เยี่ยไป๋เหมยกล่าวอย่างเย็นชาขณะที่คนของเขาก้าวออกไปข้างหน้าเล็กน้อยและพร้อมลงมือได้ทุกเมื่อ
“เหอะ เหตุใดจะต้องเสียเวลาพูดพล่ามไร้สาระด้วยเล่า ? หากมีความคิดที่จะยอมจำนน พวกข้าคงยอมจำนนไปนานแล้ว จะต้องลังเลนานเช่นนี้ไปเพื่ออะไรกัน ? ถ้าอยากจะสู้ก็เชิญได้เลย พวกข้าไม่กลัวพวกเจ้าหรอก ต่อให้ท่านพ่อจะยังไม่ฟื้นขึ้นมา การที่เจ้าคิดจะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลเยี่ยไป…มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีฝีมือมากพอรึไม่ !”
เยี่ยหลิงซีแค่นเสียงและโบกมือส่งสัญญาณก่อนที่คนอื่น ๆ ในฝ่ายของตนปรากฏตัว รวมถึงไป๋เสี่ยวหลงและคนตระกูลไป๋ด้วยเช่นกัน
“ไป๋เสี่ยวหลง เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่ได้ ?!”
เยี่ยไป๋เหมยขมวดคิ้วเล็กน้อยทันทีที่เห็นคนจากตระกูลไป๋ปรากฏตัว
แม้พลังอำนาจโดยรวมของตระกูลไป๋จะไม่แกร่งกล้ามากนัก ทว่าพวกเขาก็เป็นพันธมิตรกับตระกูลระดับหนึ่งอีกแห่งหนึ่ง หากพวกเขาร่วมด้วย นั่นก็หมายความว่าตระกูลระดับหนึ่งแห่งนั้นก็เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้และทำให้สถานการณ์ของเยี่ยไป๋เหมยเลวร้ายลงไม่น้อย…
“แน่นอนว่าข้ามาที่นี่เพื่อช่วยพวกเขา”
แม้เยี่ยไป๋เหมยจะแข็งแกร่งอย่างมาก ทว่าไป๋เสี่ยวหลงก็ไม่มีท่าทีหวาดกลัวหรือเป็นกังวลแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้เยี่ยหลิงซีติดต่อไปหาเขาและบ่งบอกว่าต้องการขอความช่วยเหลือจากตระกูลไป๋ ในตอนนั้นไป๋เสี่ยวหลงก็ตอบตกลงอย่างไม่ลังเล
ฉินอวี้โม่เคยเล่าเรื่องราวของตระกูลเยี่ยให้เขาได้ทราบและตัวเขาเองก็ทราบถึงสถานการณ์ของตระกูลเยี่ยอยู่บ้างแล้ว ในฐานะสหายที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉินอวี้โม่ เขาไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน
ถึงแม้ตระกูลไป๋จะเป็นตระกูลระดับสอง พวกเขาก็เพียงเกรงใจตระกูลเยี่ยในระดับหนึ่งเท่านั้นและไม่ถึงขั้นหวาดกลัว ตระกูลใหญ่ที่หนุนหลังพวกเขาก็ต้องการช่วยเหลือเช่นกันและหวังว่าไป๋เสี่ยวหลงจะนำคนมาที่นี่เพื่อช่วยเยี่ยหมิงและเยี่ยหลิงซีผู้เป็นทายาทของตระกูลเยี่ยได้
“แน่ใจรึว่าพวกเจ้าตระกูลไป๋คิดจะสู้กับพวกข้าจริง ๆ ?!”
เนื่องจากไม่คาดคิดว่าตระกูลไป๋จะเข้ามามีส่วนร่วม สีหน้าของเยี่ยไป๋เหมยจึงเหยเกไปเล็กน้อย
เดิมทีเขามั่นใจว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามแผนการของตนเอง ทว่าตระกูลไป๋กลับเข้ามาขัดขวางแผนการของพวกเขาเช่นนี้และทำให้เกิดตัวแปรที่ไม่แน่นอนขึ้นมา
“แม้ว่าเราจะมิใช่ศัตรูกันตั้งแต่ต้น ทว่าข้าก็ชิงชังพวกเสแสร้งตีสองหน้าเป็นที่สุด เจ้าทำเป็นวางตัวนิ่งเฉยและไม่มีพิษมีภัยมาตลอด ทว่าที่แท้จริงแล้วสิ่งที่เจ้าต้องการเหนือสิ่งอื่นใดคือตำแหน่งผู้นำตระกูลเยี่ย ยอมรับมาเสียเถอะ ! เจ้ายังกล้าวางตัวเป็นฝ่ายที่ถูกต้องอีกรึ น่ารังเกียจชะมัด !”
ไป๋เสี่ยวหลงสาดวาจาตอบโต้ซึ่งแทบไม่แตกต่างไปจากการตบหน้าเยี่ยไป๋เหมยโดยตรงและไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย
“รนหาที่ตายเสียแล้ว !”
เยี่ยไป๋เหมยเดือดดาลในทันทีและสีหน้ามิอาจปิดบังความรู้สึกได้อีกต่อไป จากนั้นเขาก็โบกมือปล่อยฝ่ามือวายุตรงเข้าที่ไป๋เสี่ยวหลงอย่างรวดเร็ว
“เหอะ !”
ไป๋เสี่ยวหลงแค่นเสียงเล็กน้อยและปล่อยพลังออกไปขัดขวางฝ่ามือวายุของอีกฝ่ายได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม ร่างของเขาก็ยังต้องถอยหลังออกไปหลายก้าวซึ่งแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งของเขายังด้อยกว่าเยี่ยไป๋เหมยมากนัก
“ไป๋เสี่ยวหลง หากตระกูลไป๋คิดจะร่วมมือกับขยะไร้ค่าเหล่านี้ ข้าก็จะขุดหลุมฝังพวกเจ้าทั้งหมดไปด้วยกัน !”
น้ำเสียงของเยี่ยไป๋เหมยเต็มไปด้วยคำข่มขู่อย่างชัดเจนและไม่คิดปิดบังธาตุแท้ของตนเองอีกต่อไป
“เหอะ ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเยี่ยช่างวางมาดใหญ่โตเสียจริง แม้ตระกูลไป๋ของเราจะเป็นเพียงขุมกำลังระดับสองก็ใช่ว่าเราจะต้องกลัวพวกเจ้า หากคิดจะต่อสู้ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาข่มขู่ไร้สาระพวกนี้หรอก ไม่เคยได้ยินสำนวนที่ว่าปลาหมอตายเพราะปากรึ ?”
ไป๋เสี่ยวหลงยิ้มเย้ยหยัน ตระกูลไป๋ของเขาไม่เคยแสดงความกลัวต่อผู้ใดและในเวลานี้แววตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า
“ถ้าเช่นนั้นก็มาสู้กันเถอะ !”
เยี่ยไป๋เหมยโบกมือส่งสัญญาณและคนของเขาเริ่มโจมตีเยี่ยหลิงซีและคนอื่น ๆ ทันที
“ลุย ! แสดงฝีมือให้พวกเขาเห็น !”
เยี่ยซีพยักศีรษะให้กับอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ขณะวางแผนที่จะเปิดฉากโจมตีอย่างเต็มกำลัง
ตูมมม !
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นเมื่อระเบิดพลังมายาของอวิ๋นซื่อเทียนระเบิดเข้าที่ร่างของเยี่ยซีจนตัวเขากระเด็นออกไป
การต่อสู้เพิ่งเริ่มต้นเพียงครู่เดียวเท่านั้น ทว่าเยี่ยซีกลับบาดเจ็บสาหัสและอยู่ในสภาพที่น่าเวทนานัก
“นี่เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไรกัน ?!”
เขาพยายามลุกขึ้นและเช็ดเลือดจากมุมปากของตน หากมิใช่เพราะเกราะแข็งกล้าที่สวมอยู่ เกรงว่าร่างของเยี่ยซีคงจะระเบิดกลายเป็นชิ้น ๆ ไปแล้ว
“โง่ชะมัด ! แน่นอนว่าข้ากำลังคิดที่จะจัดการกับเจ้าไง !”
อวิ๋นซื่อเทียนกลอกตาเล็กน้อยก่อนสบตากับเซิ่งเซียวและตรงเข้าโจมตีเยี่ยซีทันที