การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วและไม่มีผู้ใดที่คิดจะยั้งมือ
ผลลัพธ์ของการประจันหน้าในครานี้เป็นตัวกำหนดความเป็นความตายของตระกูลเยี่ย เพราะเหตุนั้น ทั้งเยี่ยหมิง เยี่ยหลิงซีและทุกคนจึงต่อสู้อย่างสุดฝีมือ
ในฝั่งของผู้อาวุโสใหญ่ก็ทุ่มเทอย่างเต็มที่เช่นกันและการต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด
แม้เยี่ยไป๋เหมยจะเตรียมความพร้อมมาอย่างดีเยี่ยมแล้ว ทว่าการแทรกแซงของตระกูลไป๋ก็ถือว่าอยู่เหนือความคาดหมายและทำให้แผนการของเขาติดขัดขึ้นมาทันที นอกจากนี้ การเอาชนะทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ยที่มีภูมิหลังมั่นคงก็มิใช่เรื่องง่ายนัก…
การต่อสู้อย่างดุเดือดในโลกภายนอกดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การทะลวงพลังของฉินเฟิงในดินแดนต้องห้ามก็มาถึงรอยต่อสำคัญ
แม้เขาจะได้รับมรดกจากบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยมาแล้ว ทว่าก็ยังไม่สามารถผสมผสานพลังเดิมของตนเข้าให้กับพลังใหม่ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อดำเนินมาถึงช่วงสำคัญในตอนนี้ ตราบใดที่ประสานพลังทั้งสองฝั่งให้เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ การทะลวงพลังของฉินเฟิงก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นและความแข็งแกร่งจะพุ่งทะยานขึ้นไปอย่างกะทันหัน
อย่างไรก็ตาม มันก็มิใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะผสมผสานเข้ากับพลังที่มิใช่ของตนตั้งแต่แรก
ข่ายอาคมมายาก่อนหน้านี้ก็เป็นอุปสรรคใหญ่ในการหลอมรวมพลังของเขา หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่เข้ามาที่นี่และปลุกเขาให้ได้สติ เกรงว่าฉินเฟิงคงติดอยู่ในนั้นไปตลอดกาลและไม่มีทางกลับฟื้นสติคืนมาได้อีก
แม้จะทำลายข่ายอาคมมายาดังกล่าวได้แล้ว เขาก็ยังต้องใช้เวลาในการผสานพลังอีกพอสมควร
ฉินอวี้โม่ก็ยังคงอยู่ข้างนอกม่านพลังและเฝ้ารอการทะลวงพลังของศิษย์พี่อย่างเงียบ ๆ
สภาวะพลังภายในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ยอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่งและมันหนาแน่นยิ่งกว่าคฤหาสน์เฟิงหัวเสียอีก ไม่เพียงแต่ฉินเฟิงเท่านั้น ทว่าแม้แต่ฉินอวี้โม่ที่เข้ามาที่นี่ก็สัมผัสได้ว่าพลังของตนเกิดการผันผวนเล็กน้อย แม้จะไม่ชัดเจนนัก นางก็สามารถรับรู้ได้
“ดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ยเป็นสถานที่ที่ดีทีเดียว”
ซิวปรากฏตัวข้างกายฉินอวี้โม่อีกครั้งและสัมผัสถึงสภาวะพลังรอบตัวก่อนกล่าวออกมา
มันมีโอกาสได้เดินทางเข้าไปในสถานที่ต่าง ๆ มาแล้วมากมายและสภาวะพลังในดินแดนต้องห้ามแห่งนี้จัดอยู่ในสามอันดับแรกเลยก็ว่าได้ การบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่จะช่วยให้เกิดการพัฒนาในอัตราที่รวดเร็วอย่างที่สุด
เกรงว่าบรรพบุรุษของตระกูลเยี่ยคงจะเป็นยอดฝีมือที่แกร่งกล้าและน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง ตระกูลเยี่ยจึงได้มีมรดกตกทอดที่ทรงพลังเช่นนี้
“ข้าเพียงไม่ทราบว่าบรรพบุรุษของตระกูลเยี่ยมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร ไม่เช่นนั้นข้าคงจะลองนึกดูได้ว่าเคยรู้จักพวกเขารึไม่”
ความทรงจำของซิวฟื้นฟูกลับคืนมาจนใกล้จะครบสมบูรณ์แล้ว หากบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยเป็นผู้แกร่งกล้าในยุคโบราณ มันก็คงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับคนผู้นั้นอย่างแน่นอน
“ข้าจะลองถามในภายหลัง”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มและสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับบรรพบุรุษของตระกูลเยี่ยเช่นกัน
สถานการณ์ของฉินเฟิงใกล้ที่จะคงที่แล้วและตอนนี้เพียงต้องรอเวลาเท่านั้น ฉินอวี้โม่ตั้งตารอเป็นอย่างยิ่งว่าหลังจากที่ทะลวงพลังได้สำเร็จ ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงจะบรรลุถึงระดับใด
“นายหญิง ดูเจ้าตัวเล็กนั่นสิ คราก่อนมันดูดซับพลังจากเศษซากของต้นไม้โลกไปและตอนนี้มันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เพียงแต่เราไม่ทราบเลยว่ามันจะเติบโตขึ้นเมื่อใด”
ซิวกล่าวพลางชี้ไปที่เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกที่ดูเหมือนผลมันฝรั่งซึ่งกำลังนอนหลับอยู่บนหลังคาภายในคฤหาสน์เฟิงหัว
เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกเข้าสู่ช่วงจำศีลหลับใหลไปตั้งแต่คราก่อนและยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้นมา ตอนนี้ขนาดของมันขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิมและมีลายเส้นบางอย่างปรากฏบนพื้นผิว อย่างไรก็ตาม ลายเส้นเหล่านั้นยังคงไม่ชัดเจนนักและไม่มีทางระบุได้ว่ามันเป็นลวดลายรูปแบบใด
อย่างไรก็ตาม ภายในร่างที่ดูเหมือนมันฝรั่งนั้นก็เต็มไปด้วยพลังชีวิตอย่างมหาศาลไม่รู้จบ แม้แต่สมุนไพรวิญญาณภายในคฤหาสน์เฟิงหัวก็เริ่มที่จะเติบโตเร็วกว่าโลกภายนอกหลายเท่าตัว
ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของเมล็ดพันธุ์ต้นไม้โลกแล้ว เมื่อคาดเดาได้ว่าต้นไม้โลกกำลังจะหยั่งรากในไม่ช้า หัวใจของนางก็มีความหวังขึ้นมา
กล่าวกันว่าต้นไม้โลกเป็นต้นกำเนิดของดินแดนมากมาย หากเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้โลกเติบโตขึ้น ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าคฤหาสน์เฟิงหัวของนางจะเปลี่ยนกลายเป็นโลกที่แท้จริงหรือไม่…
หลายวันผ่านไปและพลังของฉินเฟิงก็ค่อย ๆ เสถียรคงที่มากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าการทะลวงของเขาใกล้ที่จะเสร็จสมบูรณ์เต็มที
เวลานี้ จู่ ๆ เสียงของมารยาก็ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่
“นายหญิง ผู้อาวุโสใหญ่ลงมือแล้ว !”
แม้อยู่ในดินแดนต้องห้าม ฉินอวี้โม่ก็ยังสามารถสื่อสารผ่านทางกระแสจิตกับมารยาได้ อสูรสาวไม่ปิดบังสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกและส่งข่าวบอกฉินอวี้โม่ทันทีที่เยี่ยไป๋เหมยเคลื่อนไหว
“เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงกำลังถ่วงเวลาเอาไว้ ตอนนี้สถานการณ์ของเราและฝ่ายตรงข้ามก็ยังอยู่ในสภาวะชะงักงัน อย่างไรก็ตาม เราคงจะตั้งรับได้อีกไม่นานนัก ท่านต้องรีบแล้ว”
หลังจากได้ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ฉินอวี้โม่ก็เกิดความกังวลขึ้นในใจ
“ตกลง เราจะรีบกลับออกไปโดยเร็วที่สุด”
ฉินอวี้โม่มองสำรวจไปที่ฉินเฟิง หากไม่เกิดอุบัติเหตุใด ๆ ขึ้น ฉินเฟิงจะทะลวงพลังได้สำเร็จภายในระยะเวลาหนึ่งวันนี้ และหากนางคาดเดาไม่ผิด หลังจากนี้ พลังของฉินเฟิงจะเพิ่มขึ้นจนบรรลุถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น วิกฤตที่เกิดขึ้นกับตระกูลเยี่ยก็จะได้รับการคลี่คลาย
ทันใดนั้น สภาวะพลังทั้งหมดโดยรอบก็พุ่งตรงเข้าไปที่ฉินเฟิงเป็นจุดเดียวและฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าพลังมายาในร่างกายของตนถูกดูดออกไปเช่นกัน
นางตอบสนองอย่างรวดเร็วและควบแน่นม่านป้องกันขึ้นมารอบตัวซึ่งสามารถต้านทานแรงดึงดูดอันทรงพลังดังกล่าวก่อนปรับสภาวะพลังในร่างกายให้คงที่
รอบตัวของฉินเฟิงในตอนนี้เต็มไปด้วยพลังมายาที่ก่อตัวเป็นพายุหมุนห่อหุ้มร่างของเขาไว้ภายใน ส่งผลให้ยากที่จะมองเห็นร่างของเขาได้อีก
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้คือกระบวนการทะลวงพลังของศิษย์พี่ของตนและไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด นางเพียงเฝ้ามองดูจากระยะไกลและไม่ส่งเสียงใดรบกวน
ภายในร่างกายของฉินเฟิง พลังหลากหลายชนิดกำลังดึงดูดกันอย่างต่อเนื่องจนเขาแทบอยู่ไม่ติด ราวกับร่างของเขาอาจระเบิดได้ทุกเมื่อและพลังรุนแรงแทบฉีกร่างของเขาออกจากกัน
อย่างไรก็ตาม เพียงนึกถึงสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวก่อนหน้านี้ เขาก็ฮึดสู้ขึ้นมาและพยายามระงับความแปรปรวนในร่างกายให้ได้มากที่สุดและหลอมรวมพลังเหล่านั้นมาเป็นของตนเอง
จากนั้นความเจ็บปวดก็ค่อย ๆ บรรเทาลงและพลังเหล่านั้นก็หลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขาอย่างช้า ๆ โดยที่คลื่นพลังรอบตัวเขาก็กลับมาคงที่เช่นเดิม…
ณ โลกภายนอก การต่อสู้ตกอยู่ในสภาวะชะงักงันเป็นเวลานานและตลอดเวลาครึ่งวันที่ผ่านไปนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดที่ได้เปรียบเหนือกว่าอีกฝ่าย
แม้อาศัยภูมิหลังที่มั่นคงของตระกูลเยี่ยและความช่วยเหลือจากตระกูลไป๋ เยี่ยหลิงซีก็ทำได้เพียงขัดขวางเยี่ยไป๋เหมยและพวกที่หน้าเรือนเพื่อมิให้พวกเขาบุกเข้าไปในเรือนของเยี่ยชางไห่ได้
เจตนาของเยี่ยไป๋เหมยก็ถือว่าประจักษ์ชัดเจนแล้วและนั่นคือเขาต้องการกวาดล้างสมาชิกที่เป็นทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ยทั้งหมดเพื่อที่ตำแหน่งของเขาจะได้มั่นคง
ด้วยสถานการณ์ของเยี่ยชางไห่ในปัจจุบัน เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงไม่มีทางยอมให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใกล้เรือนอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นบิดาของพวกตนอาจต้องตายอย่างไม่หวนคืน
ทั้งสองร่วมมือกันเพื่อประจันหน้ากับเยี่ยไป๋เหมย แม้พวกนางจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่เยี่ยไป๋เหมยก็ไม่สามารถฝ่าผ่านการป้องกันของพวกนางได้ในเวลาสั้น ๆ
สำหรับการต่อสู้ในจุดอื่น ๆ เซิ่งเซียวและอวิ๋นซื่อเทียนก็ร่วมมือกันจนทำให้เยี่ยซีไร้พลังที่จะตอบโต้ได้
แม้เยี่ยซีจะมีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าทั้งสอง ทว่าความสามารถในการต่อสู้ของเซิ่งเซียวและอวิ๋นซื่อเทียนก็เหนือชั้นเกินกว่าที่เห็นภายนอก กอปรกับระเบิดพลังมายาในมือของอวิ๋นซื่อเทียน เยี่ยซีจึงต้องรู้สึกปวดหัวยิ่งกว่าเดิม
เกราะป้องกันระดับสูงบนร่างของเยี่ยซีก็เกือบจะถูกระเบิดพลังมายาของอวิ๋นซื่อเทียนระเบิดกลายเป็นเสี่ยง ๆ ไปแล้วและพลังมายาในร่างของเขาก็ถูกใช้ไปถึงแปดในสิบส่วน หากมิใช่เพราะมีคนอื่นอีกสองคนโจมตีอวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวเช่นกัน เกรงว่าเยี่ยซีคงเพลี่ยงพล้ำไปนานแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น แม้ทั้งสามคนจะร่วมมือกันเพื่อประจันหน้ากับเซิ่งเซียวและอวิ๋นซื่อเทียน พวกเขาก็ยังตกกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
“เหตุใดการรับมือกับทั้งสองถึงได้ยากเย็นเช่นนี้ ?!”
ทั้งสามมองตรงไปที่คนทั้งคู่ด้วยสีหน้าประหลาดใจอย่างไม่อาจปกปิด
เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งภายนอกของทั้งสองด้อยกว่าพวกเขา ทว่าทักษะในการต่อสู้ที่ทั้งสองแสดงออกมากลับเหนือชั้นกว่าพวกเขาเสียอีก
ในฐานะศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่ พวกเขาย่อมเป็นคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นพอสมควร ทว่าฝีมือการต่อสู้ของพวกเขากลับด้อยกว่าฝ่ายตรงข้ามที่เป็นเพียงคนธรรมดาไร้ชื่อซึ่งเพิ่งเดินทางมาที่ตระกูลเยี่ยเพียงไม่นาน…
.
.