สีหน้าของเยี่ยซีเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อหน้าการประสานกันระหว่างอวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียว เขาไม่มีพลังที่จะตอบโต้แม้แต่น้อย
การโจมตีของทั้งสองมีการประสานงานกันอย่างสมบูรณ์แบบและมีความเข้าใจตรงกันโดยที่ไม่ต้องใช้คำพูด กอปรกับระเบิดพลังมายาที่ถูกโยนออกมาอย่างต่อเนื่อง มันจึงยากที่เยี่ยซีจะป้องกันตนเองได้
ต่อให้เขาและอีกสามคนจะร่วมมือกันเพื่อห้อมล้อมโจมตีเซิ่งเซียวและอวิ๋นซื่อเทียน มันก็ยังคงยากที่จะพลิกผันสถานการณ์เพื่อให้พวกตนกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“เจ้าโง่เอ๋ย คิดว่าเรายอมจำนนต่อเจ้าจริง ๆ งั้นรึ ? คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรเลยสักนิด ! แค่มีโอสถพิษนั่นอยู่กับตัว เจ้าก็มั่นอกมั่นใจราวกับกุมพวกเราไว้ในกำมือ ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าสภาวะร่างกายพิเศษรึ ?!”
แม้ในขณะต่อสู้กัน อวิ๋นซื่อเทียนก็กล่าววาจาเยาะเย้ยเยี่ยซีและไม่คิดไว้หน้าแม้แต่น้อย
เยี่ยซีเดือดดาลขึ้นมาอย่างสุดขีด ทว่าเขาไม่สามารถบีบไล่ต้อนอวิ๋นซื่อเทียนได้เลย
พวกนางสามารถหลบหลีกและป้องกันจากการโจมตีทั้งหมดของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่เขาแทบจะป้องกันตัวเองจากระเบิดพลังมายาของอวิ๋นซื่อเทียนไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ไปปลิดชีวิตสองคนนั้นซะ !”
เยี่ยไป๋เหมยสังเกตเห็นสถานการณ์ในจุดนั้นเช่นกันและถ่ายทอดคำสั่งให้กับผู้อาวุโสคนหนึ่งซึ่งเป็นจอมยุทธ์ผู้มีพลังในขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าจู่โจมอวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียว
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังในขอบเขตเทพยุทธ์แปดดารา อวิ๋นซื่อเทียนและเซิ่งเซียวก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อย ต่อให้มีระเบิดพลังมายาอยู่ในมือ พวกนางก็ยังตกเป็นรองคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังเช่นนี้
“พวกเจ้าถอยไปก่อนเถอะ”
เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงสั่งให้ทั้งสองถอยออกไปก่อนในขณะที่จอมยุทธ์ขอบเขตเทพยุทธ์แปดดาราอีกคนของตระกูลสาขาหลักออกมาต่อสู้กับผู้อาวุโสคนนั้น
การต่อสู้ก็ดำเนินไปอย่างดุเดือดอีกครั้งและไม่มีผู้ใดเอาชนะคู่ต่อสู้ของตนได้โดยสมบูรณ์ แม้แต่เยี่ยไป๋เหมยเองก็บีบไล่ต้อนเยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงได้เท่านั้น ทว่ายังไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้
ในขณะเดียวกัน เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงก็ทำได้เพียงต่อกรกับผู้อาวุโสใหญ่ในสภาพที่ใกล้จะเพลี่ยงพล้ำเต็มทีและไม่สามารถแยกตัวออกไปเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ๆ ได้เลย
คนอื่น ๆ ก็จดจ่อกับคู่ต่อสู้ตรงหน้าโดยที่ไม่มีผู้ใดเอาชนะได้ในเวลาสั้น ๆ เช่นกัน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและภายในชั่วพริบตา เวลาหนึ่งชั่วยามก็ผ่านไป ในเวลานี้ ท้องฟ้าก็เริ่มมืดสลัวลงอย่างช้า ๆ
“เหอะ ถึงเวลาจบการต่อสู้นี้เสียที !”
จู่ ๆ เยี่ยไป๋เหมยก็แค่นเสียงเย็นชาออกไป เขาทราบดีว่าเยี่ยหลิงซีและคนเหล่านี้เพียงถ่วงเวลาเพื่อรอให้ ‘เยี่ยเฟิง’ ออกมาเท่านั้น และในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาก็วางแผนที่จะตัดสินผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้โดยเร็วที่สุด
“ฝันไปเถอะ !”
เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงมองหน้ากันโดยทราบดีว่าอีกฝ่ายจะไม่ยั้งมืออีกต่อไป จากนั้นคลื่นพลังรอบตัวของทั้งสองก็พุ่งพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วและตรงเข้าโจมตีเยี่ยไป๋เหมยพร้อมกัน
การต่อสู้ของคู่อื่น ๆ ก็ดุเดือดขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน ทุกคนต่างก็ต้องการเอาชนะคู่ต่อสู้ตรงหน้าเพื่อให้ฝ่ายของตนถือไพ่เหนือกว่าและกำราบอีกฝ่ายได้ในที่สุด
ตูมมมม !
ทันใดนั้น คลื่นพลังรุนแรงบางอย่างก็พุ่งตรงเข้าใส่เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงจนกระเด็นออกไป ทั้งสองร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรงและลมหายใจเริ่มติดขัด เห็นได้ชัดว่าพวกนางบาดเจ็บหนักด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้
“ช่างเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เยี่ยไป๋เหมย…นี่เจ้าทะลวงพลังผ่านขอบเขตเทพยุทธ์ไปแล้วรึ ?!”
ไป๋เสี่ยวหลงรับรู้ได้ถึงพลังที่ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเยี่ยแสดงออกมาเมื่อครู่นี้และขมวดคิ้วมุ่นทันที
หากความแข็งแกร่งของเยี่ยไป๋เหมยก้าวผ่านขอบเขตเทพยุทธ์ไป วันนี้พวกเขาก็จะตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างแท้จริง
ช่องว่างความแตกต่างระหว่างพลังในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราและขอบเขตเทพสวรรค์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเติมเต็มได้ด้วยวัตถุภายนอก จอมยุทธ์ผู้ที่อยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์สามารถบดขยี้ผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าตนได้อย่างไร้อุปสรรค
คลื่นพลังที่แผ่มาจากร่างของเยี่ยไป๋เหมยเมื่อครู่นี้ก็แกร่งกล้ายิ่งกว่าคลื่นพลังในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราอย่างแท้จริง
“ไม่ คงจะเป็นเพียงเทพสวรรค์ครึ่งก้าวเท่านั้น”
เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังมายาในร่างกายครู่หนึ่งในขณะที่เยี่ยหลิงซีขมวดคิ้วพลางกล่าวออกไป
เมื่อครู่นางสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวจากร่างของเยี่ยไป๋เหมยซึ่งมิใช่พลังในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดารา หากแต่เป็นระดับที่ทรงพลังมากกว่านั้น
แม้ว่าขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวจะเหนือกว่าขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดารา ทว่ามันก็ยังห่างจากพลังของขอบเขตเทพสวรรค์เต็มตัวอยู่มากพอสมควร
เยี่ยหลิงซียังจำได้ดีถึงพลังของบิดาก่อนหน้านี้ พลังของเขาอยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์โดยสมบูรณ์แล้วและเหนือชั้นกว่าเยี่ยไป๋เหมยมากนัก จากสิ่งนี้ นางจึงคาดเดาได้ไม่ยากว่าความแข็งแกร่งของเยี่ยไป๋เหมยคงจะอยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าว มิใช่เทพสวรรค์เต็มตัว
“เหอะ ต่อให้เป็นเพียงครึ่งก้าว มันก็มากพอที่จะกำจัดพวกเจ้าได้ !”
เยี่ยไปเหมยไม่ปฏิเสธว่าพลังของตนอยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวจริง และความแข็งแกร่งในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวนี้ก็คือหนึ่งในไพ่ตายของเขา
ก่อนหน้านี้เขามีพลังอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราจึงไม่มีความมั่นใจมากนักและไม่กล้าลงมือโจมตีเสียที อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เมื่อพลังของเขาบรรลุถึงขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวแล้ว เขาจึงมั่นใจว่าจะโค่นล้มอำนาจของตระกูลเยี่ยได้อย่างแน่นอน
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนแปลงไปทันทีและวาจาของเยี่ยไป๋เหมยถูกต้องทุกประการ พลังในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวมิใช่สิ่งที่เยี่ยหลิงซีและคนอื่น ๆ เอาชนะได้ในตอนนี้
ในฝั่งของตระกูลสาขาหลัก ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดารา อย่างไรก็ตาม ต่อให้กล้าประจันหน้ากับพลังในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวของเยี่ยไป๋เหมยจริง ผู้อาวุโสในขอบเขตเทพยุทธ์เก้าดาราผู้นั้นก็แทบจะไม่สามารถต่อกรกับเยี่ยไป๋เหมยได้เกินสามกระบวนท่า
“ฮ่า ๆ ๆ เทพสวรรค์ครึ่งก้าวมันทรงพลังมากนักรึ !”
จู่ ๆ มารยาในคราบของฉินอวี้โม่ก็หัวเราะเย้ยหยันและโบกมือเล็กน้อยก่อนที่ข่ายอาคมจะปรากฏขึ้นมาและกักขังเยี่ยไป๋เหมยไว้ข้างใน ซึ่งข่ายอาคมชนิดก็คือข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพนั่นเอง
มารยาชำนาญในด้านการวางข่ายอาคมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แม้ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพของมันจะไม่ทรงพลังเท่ากับของฉินอวี้โม่ ทว่ามันก็ถือว่าทรงพลังพอสมควร อย่างน้อยที่สุด เมื่อเยี่ยไป๋เหมยติดอยู่ในวงล้อมของมันก็ยากที่เขาจะฝ่าออกมาได้ในเวลาสั้น ๆ
โร่ววว !
เสียงคำรามดังขึ้นและมังกรเก้าตัวซึ่งอัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลก็ตรงเข้าโจมตีเยี่ยไป๋เหมยทันที
เยี่ยไป๋เหมยขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนโบกมือเพื่อปล่อยพลังออกไปโดยที่ทำให้มังกรสามตัวสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากมังกรสามตัวนั้นกลายเป็นเถ้าถ่าน พวกมันก็ก่อตัวขึ้นใหม่อย่างรวดเร็วและข่ายอาคมไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย
“ช่างเป็นข่ายอาคมนี่ลึกลับยิ่งนัก ! เจ้าหนู ยอมจำนนต่อข้าเสียดี ๆ เถอะ และข้าจะแต่งตั้งให้เจ้ากลายเป็นศิษย์เอกของข้า !”
เยี่ยไป๋เหมยมองไปที่มารยาด้วยความสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย หากเปรียบเทียบกัน พรสวรรค์ของเยี่ยซีผู้เป็นศิษย์เอกของเขาถือว่าด้อยกว่ามาก หากได้ผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้เป็นศิษย์ อิทธิพลของเขาจะพัฒนาขึ้นมากอย่างแน่นอน
“เหอะ !”
มารยาเพียงแค่นเสียงเย็นชาและเมินเฉยต่อเยี่ยไป๋เหมย ‘เพียงตำแหน่งศิษย์เอกของผู้อาวุโสใหญ่ คิดว่าข้าจะสนใจงั้นรึ ?’
ต่อให้อีกฝ่ายเสนอตำแหน่งผู้นำตระกูลเยี่ย มารยาก็ไม่แยแสแม้แต่น้อย ตอนนี้มันได้รับมรดกสืบทอดจากราชินีเหมันต์แล้วและในไม่ช้าความแข็งแกร่งของมันจะพัฒนากลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ทรงพลังที่สุดในใต้หล้า เมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลเยี่ยในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นได้เพียงมดตัวเล็ก ๆ ที่ไร้ค่าในสายตาของมัน
“เหอะ ไม่ซาบซึ้งในความเมตตาของข้ารึ ?”
เยี่ยไป๋เหมยแสยะยิ้มแทนที่จะเดือดดาลและไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแต่อย่างใด อึดใจต่อมา พลังของเขาก็พุ่งพรวดขึ้นและแรงกดดันทรงพลังก็แผ่ไปทั่วอากาศซึ่งส่งผลกระทบต่อทุกคน
“ทำลายข่ายอาคมนี้ให้ข้าเสีย !”
เขากล่าวขึ้นเบา ๆ และคลื่นพลังรุนแรงก็พุ่งเข้าปะทะกับข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพของมารยา มังกรทั้งเก้าซึ่งคำรามและปล่อยการโจมตีอย่างต่อเนื่องสลายกลายเป็นเถ้าถ่านภายในคราวเดียวและท้ายที่สุดข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพก็ถูกเยี่ยไป๋เหมยทำลายไปอย่างง่ายดาย
ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพของมารยามีความแข็งแกร่งเพียงครึ่งหนึ่งของข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพที่ถูกจัดวางโดยฉินอวี้โม่ หากนางเป็นคนวางข่ายอาคมในครานี้ ผู้อาวุโสใหญ่ไม่มีทางฝ่าทะลวงออกมาได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน
“แน่ใจรึว่าอยากจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าผู้นี้ ?”
สายตาของเยี่ยไป๋เหมยกวาดมองไปที่อวิ๋นซื่อเทียน เซิ่งเซียว มารยาและฟู่อวิ๋นซิวอีกครั้งขณะกล่าววาจาที่เจือด้วยคำข่มขู่
“นี่เจ้าไม่เข้าใจภาษาคนรึไง ?!”
อวิ๋นซื่อเทียนไม่มีท่าทีหวาดหวั่นแม้แต่น้อยและกลอกตาไปมาขณะกล่าวอย่างหยาบคาย
“รนหาที่ตาย !”
เยี่ยไป๋เหมยเดือดดาลอย่างที่สุดและก้อนพลังมายาขนาดใหญ่ก็ปรากฏในมือของเขาก่อนที่จะปล่อยมันตรงไปในทิศทางของอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ…
.
.