แม้ความแข็งแกร่งของเยี่ยไป๋เหมยจะอยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าว มันก็ถือว่าก้าวผ่านขอบเขตเทพยุทธ์ไปแล้วและเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก ก้อนพลังมายาที่เขาปล่อยออกไปจึงอัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาลซึ่งทำให้ทุกคนหวาดหวั่นได้ง่าย ๆ และไม่กล้าเข้าไปใกล้
ปฏิกิริยาตอบสนองของอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ก็ถือว่ารวดเร็วอย่างยิ่งและหลบหลีกการโจมตีของเยี่ยไป๋เหมยได้ภายในชั่วพริบตา
อย่างไรก็ตาม ราวกับว่าก้อนพลังมายาดังกล่าวมีระบบติดตามเป้าหมายอยู่ แม้ว่าอวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ จะหลบหลีกออกไปได้แล้ว มันก็ยังเคลื่อนตามไปในทิศทางของพวกนางและพยายามที่จะโจมตีพวกนางให้ได้
ตูมมม !
เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นมาเมื่อก้อนพลังมายาของผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเยี่ยปะทะเข้ากับระเบิดพลังมายาของอวิ๋นซื่อเทียนอย่างจัง
ก้อนพลังมายาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยในขณะที่มีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปากของอวิ๋นซื่อเทียนและสหาย เห็นได้ชัดว่าพวกนางได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีเมื่อครู่
“ช่างเป็นพลังที่น่าหวาดหวั่นยิ่งนัก !”
ใบหน้าของเยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงถอดสีเล็กน้อย ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยากเกินไปที่ทั้งสองจะรับมือกับคู่ต่อสู้ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวได้
โชคดีที่ความแข็งแกร่งของเยี่ยไป๋เหมยยังไม่บรรลุถึงขอบเขตเทพสวรรค์เต็มตัว เพราะหากบรรลุถึงระดับนั้น เกรงว่าสถานการณ์ของพวกนางจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้มาก
“สู้ต่อไป !”
ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตระหนักดีว่าหนทางเดียวที่มีในตอนนี้คือการขัดขวางเยี่ยไป๋เหมยให้ได้และไม่มีทางเลือกอื่นใด
พลังของเยี่ยไป๋เหมยนับว่าแกร่งกล้าเกินไปและทำให้ทุกคนรับรู้ถึงภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ หากไม่สามารถถ่วงเวลาเพื่อรอจนกระทั่งฉินอวี้โม่และฉินเฟิงออกมาจากดินแดนต้องห้าม พวกเขาก็ไม่มีโอกาสที่จะพลิกผันสถานการณ์ได้อีกแล้ว…
ในขณะที่เวลาผ่านไป ผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะชะงักงันกับผู้อาวุโสใหญ่ในตอนแรกก็ค่อย ๆ ตกกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบหลังจากที่เขาแสดงพลังการต่อสู้ที่แท้จริงออกมา
ด้วยความแข็งแกร่งในระดับของเขา เป็นธรรมดาที่จะต้องมีคนบาดเจ็บทันทีที่รับการโจมตีของเขาไป
เยี่ยหมิง เยี่ยหลิงซีและไป๋เสี่ยวหลงก็ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้ในขณะที่มีข่ายอาคมครอบงำอีกฝ่าย อวิ๋นซื่อเทียนเองก็โยนระเบิดมายาออกไปเป็นครั้งคราวเช่นกันเพื่อช่วยให้ทุกคนรักษาสถานการณ์ของตนเองได้และไม่พ่ายแพ้อีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็วจนเกินไป
อย่างไรก็ตาม พลังมายาของทุกคนก็ถูกใช้ไปอย่างมหาศาล หากไม่สามารถพลิกผันสถานการณ์ได้โดยเร็ว จุดจบเพียงอย่างเดียวก็คือความพ่ายแพ้เท่านั้น
“เหอะ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้ากำลังถ่วงเวลาเพื่อรอให้เยี่ยเฟิงออกมา ! น่าเสียดายที่มรดกของบรรพบุรุษมิใช่สิ่งที่จะได้มาง่าย ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาจะออกมาจริง คิดว่าข้าจะปล่อยให้เขาออกมาจากที่นั่นและเข้าร่วมการต่อสู้งั้นรึ ?”
เยี่ยไป๋เหมยแค่นเสียงเย็นชาและเวลานี้เขาไม่จำเป็นต้องปิดบังซ่อนเร้นอีกต่อไป ด้วยการเตรียมความพร้อมรอบด้านก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเขาก็จับตาดูสถานการณ์ในฝั่งของฉินเฟิงไว้เช่นกัน
ต่อให้สืบทอดมรดกจากบรรพบุรุษได้สำเร็จ เขาก็มั่นใจว่าฉินเฟิงจะไม่มีทางมาที่นี่ได้ ก่อนหน้านี้เขาได้จัดเตรียมคนไปปิดกั้นทางเข้าออกของดินแดนต้องห้ามไว้แล้ว และเมื่อฉินเฟิงต้องการออกมา คนของเขาจะขัดขวางไว้อย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยไป๋เหมยก็ยังมีการเตรียมการอื่นซึ่งรับประกันได้ว่าต่อให้ฉินเฟิงจะออกมาได้สำเร็จ เขาก็ไม่มีทางเข้าร่วมการต่อสู้ได้ทันเวลา
“หรือว่า…”
เยี่ยหมิงและเยี่ยหลิงซีมองหน้ากันและเกิดข้อสันนิษฐานในใจทันที หากเยี่ยไป๋เหมยมั่นอกมั่นใจมากเช่นนี้ มันก็คงจะมีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น
ทางเข้าของดินแดนต้องห้ามอยู่ภายใต้การคุ้มกันของผู้อาวุโสสูงสุดสองคนและคนทั่วไปไม่กล้าไปก่อความวุ่นวายที่นั่น ในเมื่อเยี่ยไป๋เหมยส่งคนไปจับตาดูสถานการณ์ที่นั่นไว้ มันก็หมายความว่าผู้อาวุโสสองคนอาจทรยศพวกนางไปแล้ว มิเช่นนั้น ต่อให้ผู้อาวุโสทั้งสองไม่เข้าร่วมในการต่อสู้ พวกเขาก็ไม่มีทางยอมให้ผู้ใดเข้าไปยุ่งวุ่นวายหรือก่อเรื่องในอาณาเขตที่พวกตนคุ้มกันอย่างแน่นอน
“ท่านทั้งสองไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ ในเมื่อมีอวี้โม่อยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นั่น นางจะจัดการได้อย่างแน่นอน”
อวิ๋นซื่อเทียนกล่าวด้วยสีหน้าแววตามั่นใจเพื่อมิให้เยี่ยหมิงและเยี่ยหลิงซีเป็นกังวล ต่อให้ผู้อาวุโสทั้งสองแปรพักตร์ไปจริงและเยี่ยไป๋เหมยส่งคนไปดักรอที่นั่น พวกเขาก็ไม่มีทางหยุดฉินอวี้โม่ไว้ได้
ด้วยความสามารถของฉินอวี้โม่ การรับมือกับคนเหล่านั้นมิใช่ปัญหาสำหรับนางอย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่ทุกคนต้องทำในตอนนี้ก็คือการถ่วงเวลาจนกระทั่งฉินอวี้โม่และฉินเฟิงมุ่งหน้ามาถึงที่นี่…
ณ โลกภายนอก เยี่ยหมิงและทุกคนตกกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบและสัญญาณของความพ่ายแพ้ก็เริ่มปรากฏชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม ภายในดินแดนต้องห้ามของตระกูลเยี่ย ในที่สุดฉินเฟิงก็ดูดซับมรดกสืบทอดจากบรรพบุรุษเข้ามาในร่างกายได้สำเร็จ
ในเวลานี้ พลังความแข็งแกร่งของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่หยุดลงจนกระทั่งฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันหนักหน่วง
เมื่อฉินเฟิงลืมตาและโบกมือเล็กน้อย ม่านพลังตรงหน้าเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าคงจะทำให้เจ้ากังวลมาก”
ฉินเฟิงก้าวออกมาข้างหน้าและยิ้มให้กับฉินอวี้โม่อย่างอบอุ่นเช่นเดียวกับที่เคยเป็นก่อนหน้านี้
“ศิษย์พี่ อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องราวเหล่านั้นเลยเจ้าค่ะ ตอนนี้สถานการณ์ข้างนอกไม่สู้ดีนักและเราก็ยังไม่ทราบว่าพี่สะใภ้เป็นอย่างไรบ้าง เราออกไปข้างนอกกันก่อนเถอะ เรื่องอื่น ๆ สามารถหารือกันในภายหลังได้”
ฉินอวี้โม่ทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกจากมารยาและตอนนี้เวลาคือสิ่งสำคัญที่สุดซึ่งมิอาจปล่อยให้สูญเปล่าไปได้ นางและฉินเฟิงจะต้องออกไปที่นั่นโดยเร็วที่สุดและสะสางความวุ่นวายทั้งหมดให้จงได้
“ไปกันเถอะ !”
สีหน้าของฉินเฟิงกลายเป็นความเคร่งขรึมเล็กน้อย จากนั้นเขาก็โบกมือเบา ๆ และพลังบางอย่างห่อหุ้มรอบตัวฉินอวี้โม่ก่อนที่ทั้งสองจะเหาะออกจากดินแดนต้องห้ามไปด้วยกัน
ภายในเวลาเพียงไม่นาน ทั้งสองก็ปรากฏตัวที่ทางเข้าของดินแดนต้องห้าม
ณ ทางเข้าของดินแดนต้องห้ามซึ่งอยู่ในห้องหนังสือของเยี่ยชางไห่ ผู้อาวุโสทั้งสองคนกำลังยืนประจันหน้ากัน
หนึ่งในนั้นแปรพักตร์ไปหาเยี่ยไป๋เหมยแล้วจริง ๆ และวางแผนที่จะโจมตีฉินเฟิงทันทีที่เขาปรากฏตัวออกมา
“พี่สาม ตอนนี้เยี่ยเฟิงอาจจะตายไปในดินแดนต้องห้ามแล้วและผู้นำตระกูลของเราก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน ตระกูลเยี่ยในอนาคตจะต้องอยู่ในการปกครองของเยี่ยไป๋เหมยอย่างแน่นอน ท่านยอมจำนนต่อเยี่ยไป๋เหมยเหมือนข้าจะดีกว่า ในภายภาคหน้า เราจะได้รับประโยชน์ตอบแทนมากมายมหาศาล ท่านเต็มใจที่จะทำหน้าที่คุ้มกันอยู่ที่นี่ไปตลอดจริง ๆ หรือ ?”
ผู้อาวุโสสี่ที่อายุน้อยกว่าเล็กน้อยกล่าวโน้มน้าวใจผู้อาวุโสสาม
ผู้อาวุโสสามส่ายศีรษะทันทีและกล่าวอย่างเย็นชา “น้องสี่ แม้เจ้าจะทรยศท่านผู้นำอย่างไม่น่าให้อภัย แต่ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก ในตอนที่เราได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อาวุโสของตระกูลเยี่ย เราปฏิญาณตนว่าจะปกป้องตระกูลเยี่ยอย่างสุดความสามารถ แม้เรารับปากว่าจะไม่เข้าร่วมความขัดแย้งภายในของตระกูล เราก็ไม่มีทางทำสิ่งที่ชั่วช้าได้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้นำเยี่ยชางไห่ดีกับเรามาตลอด เยี่ยหลิงซีและเยี่ยหมิงก็เป็นคนดีมากเช่นกัน เจ้าควรจะทราบดีว่าเยี่ยไป๋เหมยเป็นคนอย่างไร การตกลงเข้าร่วมฝ่ายเดียวกับเขาก็ไม่ต่างจากการเจรจากับเสือเพื่อขอหนังเสือ แม้ข้าจะมิใช่บุคคลที่ยึดมั่นในคุณธรรมอะไรนัก ข้าก็ไม่มีทางทำสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนั้นแน่ !”
* 与虎谋皮 เจรจากับเสือเพื่อขอหนังเสือ เปรียบเทียบเจรจากับคนร้าย เพื่อให้สละผลประโยชน์ของตัวเอง เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้
ในบรรดาผู้อาวุโสสองคนที่ทำหน้าที่คุ้มกันหน้าทางเข้า ผู้อาวุโสสี่แปรพักตร์ไปแล้ว ทว่าผู้อาวุโสสามยังคงหนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะไม่เข้าร่วมการต่อสู้ภายในของตระกูลเยี่ย เขาก็ยังยึดมั่นในหลักปฏิบัติที่สำคัญของตน
สถานการณ์ของทายาทสายตรงของตระกูลเยี่ยย่ำแย่ลงจริง ทว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาควรทำในสิ่งที่ชั่วร้ายและน่ารังเกียจ
“เหอะ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเลย ! อย่างไรก็ตาม หากเยี่ยเฟิงออกมา ข้าไม่มีทางปล่อยให้เขามีโอกาสไปช่วยคนพวกนั้นแน่ หากต้องการจะขัดขวางข้า เราก็คงต้องสู้กัน อยากเห็นนักว่าในหลายปีที่ผ่านมานี้ ความแข็งแกร่งของเจ้าจะพัฒนาขึ้นเพียงใด !”
ผู้อาวุโสสี่แค่นเสียงเย็นชาและแสดงจิตสังหารที่ชัดเจนอย่างไม่ปิดบัง ในเวลานี้ก็มีจอมยุทธ์หลายคนที่ปรากฏอยู่ข้างหลังเขาซึ่งทุกคนล้วนอยู่ฝ่ายเดียวกับเยี่ยไป๋เหมยและต้องการร่วมมือกันเพื่อจัดการกับฝ่ายทายาทสายตรง
คนเหล่านี้ถูกผู้อาวุโสใหญ่ส่งมาเพื่อขัดขวางฉินเฟิงไว้ และคำสั่งที่พวกเขาได้รับก็คือเมื่อใดที่ฉินเฟิงปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาจะต้องสังหารอีกฝ่ายทันทีโดยที่ไม่ปล่อยให้มีโอกาสรอดชีวิตไปได้
“ตาเฒ่า นี่คือการที่เจ้านำพาความตายไปสู่ตนเอง !”
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นในหูของทุกคนเมื่อฉินเฟิงและฉินอวี้โม่ก้าวออกมาจากดินแดนต้องห้าม