ทันทีที่ก้าวมาถึงทางออกของดินแดนต้องห้าม ฉินเฟิงและฉินอวี้โม่ก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างผู้อาวุโสทั้งสองอย่างชัดเจน
เดิมทีฉินเฟิงคิดว่าผู้อาวุโสของตระกูลเยี่ยมิใช่บุคคลที่จะให้ความสำคัญกับอำนาจมากนักและคงไม่ทำสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นการทรยศหักหลังผู้นำตระกูลเยี่ย ไม่คิดเลยว่าเขาจะคิดผิดไปอย่างมหันต์
การที่พวกเขากล้าทำสิ่งที่ชั่วร้ายอย่างเปิดเผยเช่นนี้เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจยิ่งนัก
โชคดีที่ฉินเฟิงไม่ได้ไว้วางใจและเชื่อมั่นในตัวผู้อาวุโสตระกูลเยี่ยอย่างเต็มที่ตั้งแต่ต้น มิเช่นนั้น เกรงว่าเขาคงต้องผิดหวังจนบอบช้ำใจ
“นายน้อย เสี่ยวอวี้โม่ ในที่สุดก็ออกมาจนได้ !”
เมื่อเห็นว่าผู้ที่ก้าวออกมาคือฉินอวี้โม่และเยี่ยเฟิง ดวงตาของผู้อาวุโสสามก็เป็นประกายทันทีและสีหน้าตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
เยี่ยเฟิงเข้าไปในดินแดนต้องห้ามเป็นเวลานานโดยไม่มีข่าวสารความคืบหน้าใด ทว่าตอนนี้ในที่สุดเขาก็กลับออกมาอีกครั้ง นั่นหมายความว่าเขาได้สืบทอดมรดกของบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยแล้ว เพราะเหตุนั้น สถานการณ์ของตระกูลเยี่ยในปัจจุบันจะดีขึ้นอย่างแน่นอน
“ลุงสาม ท่านคงจะเหนื่อยมาก…”
ฉินเฟิงพยักศีรษะให้กับผู้อาวุโสสามและกล่าวอย่างนอบน้อม อย่างไรก็ตาม แรงกดดันที่มองไม่เห็นจากร่างกายของเขาก็แผ่ตรงไปที่ผู้อาวุโสสามโดยไม่รู้ตัวจนอีกฝ่ายอดรู้สึกยำเกรงในใจไม่ได้
ในเวลานี้ เขาก็รับรู้ได้ว่ามรดกของบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยเป็นสิ่งที่เหนือธรรมดาอย่างแท้จริงและเต็มไปด้วยพลังที่น่าสะพรึงกลัว เพียงแต่เขาไม่แสดงออกทางสีหน้าแต่อย่างใด
“ฮ่า ๆ ๆ ยังกล้าโผล่หัวออกมาอีกรึ ? หากข้าเป็นเจ้า ข้าคงจะซ่อนตัวอยู่ในดินแดนต้องห้ามและไม่โผล่หน้าออกมาอีกเลย เพราะหากก้าวออกมา ชีวิตของข้าจะตกอยู่ในอันตรายแน่ !”
ผู้อาวุโสสี่ไม่รับรู้ถึงแรงกดดันจากฉินเฟิงและแสยะยิ้มอย่างเย้ยหยันเนื่องจากไม่คิดว่าบุรุษหนุ่มจะสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษได้สำเร็จ
ต้องยอมรับว่าความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยในอดีตนั้นน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง หากผู้ใดได้สืบทอดมันไป ความแข็งแกร่งของคนผู้นั้นจะพัฒนาขึ้นมากอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ใดสืบทอดพลังเหล่านั้นได้สำเร็จแม้แต่คนเดียว เพราะเหตุนั้น หลายคนในตระกูลเยี่ยจึงคิดไปว่ามรดกของบรรพบุรุษเป็นเพียงสิ่งเกินเอื้อมซึ่งไม่มีผู้ใดสืบทอดได้ มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่เชื่อว่าฉินเฟิงจะสามารถสืบทอดมรดกนั้นได้จริง
“สาเหตุที่ตระกูลเยี่ยของเราให้ความเคารพต่อท่านในฐานะผู้อาวุโสสูงสุด มิใช่เป็นเพราะความแข็งแกร่งของท่าน หากแต่เป็นเพราะคุณงามความดีมากมายที่ท่านทำเพื่อตระกูลของเรามาตลอดหลายปีที่ผ่านมาจึงทำให้เราเคารพนับถือท่านมาก อย่างไรก็ตาม ในเมื่อตอนนี้ท่านไม่ต้องการความเคารพเหล่านั้นอีกต่อไปและคิดร้ายรวมหัวกับคนพวกนั้นเพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลเยี่ยไปจากท่านปู่ นับจากวันนี้ไป…ท่านถูกเนรเทศออกจากตระกูลเยี่ยและไม่จำเป็นจะต้องอยู่คุ้มกันที่นี่อีกต่อไป !”
ฉินเฟิงไม่รีบร้อนลงมือขณะมองผู้อาวุโสสี่ด้วยแววตาเย็นชาและตัดสินใจอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขาม
“เหอะ เจ้าเด็กสามหาว ตระกูลเยี่ยไม่ได้พาตัวเจ้ากลับมาเพื่อให้เจ้าอวดเบ่งอำนาจเช่นนี้ คิดจะขับไล่ข้าออกจากตระกูลงั้นรึ ? เจ้าไม่มีสิทธิ์นั้นหรอก !”
ผู้อาวุโสสี่แสยะยิ้มอย่างเย้ยหยันและแผ่แรงกดดันตรงไปที่ฉินเฟิงโดยหมายที่จะทำให้อีกฝ่ายคุกเข่าลงตรงหน้า
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเยี่ยทั้งสองล้วนมีพลังในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวและแข็งแกร่งอย่างมาก หากเป็นฉินเฟิงในอดีตที่ต้องประจันหน้ากับผู้อาวุโสสี่ เขาไม่มีทางต้านทานได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับมรดกจากบรรพบุรุษตระกูลเยี่ย ฉินเฟิงในวันนี้ก็แตกต่างไปจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาข้ามผ่านขอบเขตเทพยุทธ์ไปแล้วและบรรลุถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
เขาโบกมือเพียงเล็กน้อยและแรงกดดันจากผู้อาวุโสสี่ก็สลายหายไปทันที ในทางตรงกันข้าม แรงกดดันจากร่างของเขาก็ทำให้ทุกคนนอกเหนือจากฉินอวี้โม่และผู้อาวุโสสามถึงกับทรุดล้มลงบนพื้นอย่างมิอาจควบคุม
“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร ?!”
สีหน้าของผู้อาวุโสสี่เปลี่ยนไปทันที แรงกดดันของฉินเฟิงทรงพลังมากกว่าแรงกดดันของขอบเขตเทพยุทธ์เสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น แรงกดดันนี้ก็เหมือนจะมิใช่เป็นของผู้ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทพสวรรค์ได้เพียงไม่นาน ทว่าเป็นเหมือนกับจอมยุทธ์ผู้ที่บรรลุขอบเขตเทพสวรรค์มานานหลายปีแล้ว
“ตาเฒ่า ข้าจะสะสางเรื่องนี้กับเจ้าในภายหลัง !”
ฉินเฟิงไม่เสียเวลาอธิบายยืดยาวขณะโบกมือเบา ๆ และพลังมายาก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของผู้อาวุโสสี่ส่งผลให้พลังในร่างของเขาถูกปิดผนึกไว้ในจุดตันเถียนและไม่สามารถใช้มันได้อีก ในเวลานี้ผู้อาวุโสสี่ได้กลายเป็นคนธรรมดาที่ปราศจากพลังอย่างสิ้นเชิง
“อ๊ากกก !”
เขาแผดเสียงดังด้วยความหวาดกลัวทันที ด้วยระดับความแข็งแกร่งของตน ผู้อาวุโสสี่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าสักวันพลังของเขาจะถูกปิดผนึกไปและกลายเป็นเศษสวะไร้ค่าภายในชั่วพริบตา ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้เป็นสิ่งที่เกินจะรับไหว
สำหรับคนอื่น ๆจากฝั่งของผู้อาวุโสใหญ่ จุดตันเถียนของพวกเขาก็ถูกฉินเฟิงทำลายไปโดยตรง พวกเขาต่างก็กระอักเลือดกันออกมาและใบหน้าถอดสีก่อนล้มลงไปบนพื้นทีละคน ๆ
“ท่านลุงสาม ข้าขอฝากท่านคุมตัวคนพวกนี้ไว้ก่อนขอรับ ข้าจะรีบกลับมาจัดการกับพวกเขาหลังจากสะสางวิกฤตของตระกูลเสร็จสิ้น”
ฉินเฟิงกล่าวกับผู้อาวุโสสามก่อนมุ่งหน้าออกจากห้องหนังสือไปพร้อมกับฉินอวี้โม่
ณ บริเวณรอบเรือนที่พักของเยี่ยชางไห่ การต่อสู้ค่อย ๆ ดำเนินมาถึงจุดจบ
เยี่ยหมิงและเยี่ยหลิงซีรับการโจมตีของเยี่ยไป๋เหมยเข้าไปอย่างจังจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปมาก อวิ๋นซื่อเทียนและคนอื่น ๆ ก็ประจันหน้ากับผู้ที่อ่อนแอกว่าผู้อาวุโสใหญ่ทว่าพวกนางก็ได้รับบาดเจ็บจากพลังของเยี่ยไป๋เหมยจนต้องหลบออกไป ไป๋เสี่ยวหลงก็ยังคงมีพลังในการต่อสู้หลงเหลืออยู่ ทว่าภายใต้แรงกดดันของขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าว มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นที่เขาจะเพลี่ยงพล้ำไป
“ยอมจำนนแต่โดยดีเถอะ…และชายชราผู้นี้จะไว้ชีวิตพวกเจ้า !”
เยี่ยไป๋เหมยกล่าวอย่างวางท่าขณะข่มขู่เยี่ยหมิงและทุกคน
“นี่เจ้าฝันกลางวันอยู่รึ ?! ตระกูลไป๋ของข้าไม่มีทางยอมจำนนต่อคนต่ำช้าและน่ารังเกียจอย่างเจ้า !”
ไป๋เสี่ยวหลงไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยและสาดวาจาตอบโต้อย่างไม่ไว้หน้าขณะโจมตีเยี่ยไป๋เหมยต่อไป
พลั่ก !
เยี่ยไป๋เหมยฟาดฝ่ามือเข้าที่ร่างของไป๋เสี่ยวหลงอย่างแรงจนเขากระเด็นออกไปชนกับเข้ากับกำแพงและร่วงลงบนพื้น เขากระอักเลือดคำโตออกมาและลมหายใจอ่อนแอลงอย่างชัดเจน
“ไป๋เสี่ยวหลง อย่าคิดว่าข้าจะไม่กล้าจัดการกับตระกูลไป๋ของเจ้า พาคนของเจ้ากลับตระกูลไป๋ไปเสีย !”
เยี่ยไป๋เหมยกล่าวอย่างชัดเจน
ขุมกำลังที่อยู่เบื้องหลังตระกูลไป๋มิใช่ขุมกำลังที่เยี่ยไป๋เหมยต้องการท้าทาย ความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นไม่ต่างไปจากตระกูลเยี่ยมากนัก หากเขาทำลายตระกูลไป๋จริง มันจะนำพาปัญหาใหญ่โตมาสู่ตัวเขาอย่างแน่นอนและนั่นมิใช่สิ่งที่เยี่ยไป๋เหมยต้องการให้เกิดขึ้น
“เหอะ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน การที่ไล่ให้ข้ากลับไป ข้าก็ต้องกลับไปตามคำสั่งเจ้ารึ ? เยี่ยไป๋เหมย คนชั่วช้าอย่างเจ้าที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อยึดตำแหน่งผู้นำตระกูลไว้เองจะต้องพบกับบทลงโทษอย่างสาสมในสักวัน !”
ไป๋เสี่ยวหลงพยายามลุกขึ้นยืนและจับแขนข้างหนึ่งของตนไว้ การตั้งรับการโจมตีของเยี่ยไป๋เหมยเมื่อครู่นี้ทำให้แขนของเขาหักไปข้างหนึ่งและขยับเขยื้อนไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งในระดับของไป๋เสี่ยวหลง ตราบใดที่พักฟื้นในช่วงหนึ่ง แขนของเขาก็จะหายดีและกลับเป็นปกติโดยที่ไม่มีผลกระทบใดมากนัก
เยี่ยไป๋เหมยจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างโกรธแค้นและแทบที่จะระงับอารมณ์ของตนเองไม่ได้อีก
“อย่าคิดว่าข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้าจริง ๆ !”
จิตสังหารแรงกล้าฉายชัดในแววตาของเยี่ยไป๋เหมยและเขากล่าววาจาเย็นชาขณะแผ่แรงกดดันตรงไปกดข่มไป๋เสี่ยวหลงอย่างรุนแรง
เขาเพียงไม่ต้องการจุดชนวนความวุ่นวายเพิ่มเติมในตอนนี้ ทว่าแท้ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เกรงกลัวตระกูลไป๋แม้แต่น้อย หากอีกฝ่ายยืนกรานที่จะไม่ถอยไป เขาก็ไม่รังเกียจที่จะทำลายตระกูลไป๋เสีย ถึงอย่างไรสิ่งที่สำคัญคือการชดเชยความเสียหายให้กับขุมกำลังใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาและเยี่ยไป๋เหมยเชื่อว่าตระกูลดังกล่าวคงไม่กล้าหักหน้าเขาไปอย่างสิ้นเชิง…
“เหอะ หากต้องการจะลงมือหรือฆ่าข้าก็ลงมือเสียที ไม่จำเป็นต้องกล่าววาจาไร้สาระให้เสียเวลาเช่นนี้ !”
ไป๋เสี่ยวหลงพร้อมที่จะแลกด้วยชีวิตของตนเองเช่นกัน ต่อให้ต้องตายในวันนี้ เขาก็ไม่มีทางถอยกลับไป
“ผู้นำไป๋…”
เยี่ยหมิงและเยี่ยหลิงซีเดินเข้ามาหาไป๋เสี่ยวหลงและพยายามโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจทว่าถูกขัดจังหวะไว้เสียก่อน
“ไม่จำเป็นต้องกล่าวสิ่งใด ชายชาตรีย่อมมีหลักปฏิบัติที่ชัดเจนของตนเอง ต่อให้ต้องตาย ข้าไป๋เสี่ยวหลงผู้นี้ก็ไม่มีทางก้มหัวให้คนต่ำช้าผู้นี้แน่ !”
จุดยืนของผู้นำตระกูลไป๋หนักแน่นและชัดเจนอย่างยิ่งและวาจาของเขาก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงไปตาม ๆ กัน