บทที่ 1115 บุคคลที่ถูกจองจำ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,115 บุคคลที่ถูกจองจำ

อิอิ

หลินเป่ยเฉินโบกไม้โบกมือให้กับคำพูดของอากวงด้วยความถูกใจ

เขาหันกลับไปจ้องมองหม้อต้มชาบูใต้สะพานหิน… เอ๊ย บ่อลาวาที่อยู่ด้านล่างสะพานหินอีกครั้งและถามว่า “อากวง เจ้าคิดว่าด้านล่างยังมีสิ่งใดอยู่อีกหรือไม่?”

ควับ!

เมื่ออากวงได้ยินคำถามนั้น มันก็กระโดดตีลังกาข้ามขอบสะพานหินลงไปสู่บ่อลาวาอีกครั้ง

ท่วงท่าของเจ้ามุสิกยักษ์ยังคงสวยงาม ควรค่าต่อการได้เหรียญทองโอลิมปิกในกีฬาประเภทกระโดดน้ำชาย

ผิวน้ำลาวาไม่สาดกระเซ็นขึ้นมาสักนิด

ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป เมื่อแน่ใจว่าก้นบ่อลาวาไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่อีก เจ้าหนูอากวงก็กระโดดกลับขึ้นมาอยู่บนสะพานหิน

“พวกเราไปกันต่อดีกว่า”

หลินเป่ยเฉินว่า “ข้ามีลางสังหรณ์ว่าข้างหน้ายังมีเรื่องให้เราได้ประหลาดใจอีกเยอะ”

อากวงเดินสะพายกระเป๋าติดตามหลินเป่ยเฉินไปด้วยความเชื่อฟังเป็นอย่างดี

หนึ่งคนหนึ่งมุสิกเดินข้ามสะพานหิน

เมื่อไปสุดเขตสะพานก็พบกับเฉลียงทางเดินที่มืดมิดอีกหนึ่งแห่ง

หลินเป่ยเฉินก้มตัวนอนราบกับพื้นสะพาน แนบหูลงไปบนพื้นหิน และใช้วิชาตี้ถิงในการตรวจจับความเคลื่อนไหว

ฟู่!

ปรากฏควันสีดำลอยขึ้นมาจากใบหูของเด็กหนุ่ม

หูของเขาถูกความร้อนจนไหม้ไฟ

วูบ!

หลินเป่ยเฉินรีบโคจรพลังลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บของตนเอง

เขาประมาทมากเกินไป

แต่เมื่อสักครู่ก็ได้ยินมากพอแล้ว

เฉลียงทางเดินด้านหน้าไม่มีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ

แอปไป่ตู้แมปก็ยังคงระบุเส้นทางให้เดินตรงไปข้างหน้า

ดังนั้น หลินเป่ยเฉินผู้สวมใส่ชุดพรางตัวสำหรับความมืดและอากวงที่เส้นขนบนศีรษะถูกเผาไหม้จนหงิกงอจึงเดินตรงไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ

เฉลียงทางเดินแห่งนี้มีขนาดไม่ยาวเท่าไหร่นัก

เมื่อนับดูก็มีระยะทางเพียงหนึ่งลี้เท่านั้น

อากาศในอุโมงค์ทวีความร้อนระอุมากยิ่งขึ้น

หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องสร้างม่านพลังธาตุน้ำขึ้นมาคุ้มครองร่างกายของตนเองและสัตว์เลี้ยงจนเดินไปสุดปลายอุโมงค์

บ่อลาวาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

หากบ่อลาวาบ่อที่แล้วมีขนาดเท่ากับสนามบาสเกตบอล บ่อลาวาแห่งนี้ก็มีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลสี่สนามรวมกัน

และสุดทางเดินก็ไม่มีสะพานหินอีกแล้ว

เส้นทางสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้

แต่ใจกลางบ่อลาวาที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่สิบวา ได้มีกระบี่ขนาดใหญ่ยักษ์เล่มหนึ่งถูกปักอยู่ กระบี่เล่มนี้แม้จะถูกปักลงไปในบ่อลาวา แต่ด้ามจับและตัวกระบี่ที่โผล่พ้นพื้นผิวลาวาขึ้นมานั้นก็ยังคงมีขนาดใหญ่ยักษ์จนต้องแหงนหน้ามอง พินิจพิจารณาดูแล้วกระบี่ยักษ์เล่มนี้คล้ายกับป้อมปราการที่น่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง

แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงมากกว่านั้นก็คือบนผนังหินรอบบ่อลาวาเรียงร้อยด้วยสายโซ่สิบหกเส้น สายโซ่ทุกเส้นจะมีด้านหนึ่งยึดติดอยู่กับผนังหิน ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นยึดโยงอยู่กับอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านบนด้ามจับกระบี่

นี่คือภาพที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

กระบี่ยักษ์เล่มนี้คืออาวุธรูปแบบไหนกัน?

แล้วสายโซ่พวกนั้นทำไมต้องพันธนาการกระบี่เล่มนี้เอาไว้ด้วย?

หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ

หรือว่าเขาจะทะลุมิติไปอยู่ในโลกอื่นอีกแล้ว?

เห็นได้ชัดว่าบ่อลาวาบ่อนี้มีอุณหภูมิสูงกว่าบ่อลาวาบ่อที่แล้ว

แต่มันก็ยังไม่ร้อนเท่ากับความรู้สึกในหัวใจของหลินเป่ยเฉิน ดังนั้นอากวงจึงยังทนทานได้ไม่มีปัญหา

ดวงตาของพวกเขากวาดมองรอบกายด้วยความระมัดระวัง

สัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดทำให้เจ้าหนูร่างยักษ์สัมผัสได้ถึงกลิ่นไออันตราย

หากไม่ใช่เพราะว่าหลินเป่ยเฉินต้องการมาที่นี่ อากวงก็คงหันหลังวิ่งหนีไปนานแล้ว

หัวใจของหลินเป่ยเฉินเต้นระทึกด้วยความวิตกกังวล

สถานที่แห่งนี้มีบางอย่างทำให้เขารู้สึกอึดอัด

แกร๊ง! แกร๊ง!

ทันใดนั้น ได้ยินเสียงสายโซ่สั่นไหว

หนึ่งคนหนึ่งมุสิกพลันเหยียดหลังตรงพร้อมกัน

แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!

ฉับพลันนั้น อยู่ดี ๆ สายโซ่ทั้งสิบหกเส้นก็สั่นสะเทือนขึ้นมาพร้อมกัน

บรรยากาศที่เป็นอยู่ขณะนี้แทบไม่ต่างจากเหตุการณ์ในภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องหนึ่ง

“จี๊ด”

อากวงส่งเสียงร้องออกมา ขนบนร่างกายของมันลุกชันแทบทุกเส้น

หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยงยิ่งกว่าแมวน้อยถูกเหยียบหาง

“จี๊ด”

อากวงชี้มือไปที่กระบี่ยักษ์ด้วยความหวาดกลัว

หลินเป่ยเฉินมองตามนิ้วมือของสัตว์เลี้ยงคู่ใจ

และเขาก็ได้เห็นว่าปลายสายโซ่ทั้งสิบหกเส้นที่ร้อยรัดอยู่บนด้ามจับกระบี่นั้น พวกมันกำลังพันธนาการปีศาจที่แปลกประหลาดตัวหนึ่ง

ปีศาจตัวนี้มีลักษณะคล้ายกับระฆังสีแดงใบใหญ่…

เอ๊ะ?

เดี๋ยวก่อนนะ

ดูเหมือนนั่น… จะเป็นคนใช่หรือไม่?

เนื่องจากถูกอุณหภูมิความร้อนบ่มเพาะร่างกายมาอย่างยาวนาน ผิวหนังของคนผู้นี้จึงกลายเป็นสีแดงก่ำ

แม้แต่เส้นผมของเขาก็กลายเป็นสีแดงเช่นกัน

ตัวประหลาดที่นั่งอยู่บนด้ามจับกระบี่มีใบหน้าเป็นมนุษย์

เส้นผมสีแดงโลหิตนั้นยาวสยายไปรอบบริเวณเป็นระยะหลายสิบวา

เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นใบหน้านั้น เขาก็นึกขึ้นมาได้ทันที

ชายชราผู้นี้คือฉู่ซิงเยี่ย

ท่านเจ้าเมืองคนเก่าที่หายตัวไป

ดูเหมือนว่าข้อมูลของพี่ใหญ่เว่ยจะไม่ผิดพลาดจริง ๆ

และเขาเองก็คาดเดาไม่ผิด

ท่านเจ้าเมืองคนเก่าถูกคุมขังอยู่ในสุสานกระบี่

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไป ในภาพยนตร์สยองขวัญแทบทุกเรื่อง ก่อนถึงฉากที่วิญญาณคนตายจะโผล่ออกมา ย่อมมีการบรรเลงดนตรีปลุกเร้าบรรยากาศให้น่าหวาดกลัว แต่เมื่อวิญญาณคนตายปรากฏตัวออกมาแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไป

อีกอย่าง ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ก็ไม่ใช่วิญญาณคนตายสักหน่อย

แต่เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง

ท่านเจ้าเมืองคนเก่าที่หายสาบสูญไปเป็นระยะเวลากว่าสามปี

ดูเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านจะถูกคุมขังอยู่ที่นี่

หลินเป่ยเฉินเพ่งสายตาสังเกตรายละเอียดอย่างระมัดระวัง

ปรากฏว่าสายโซ่ทั้งสิบหกเส้นนั้นมีขนาดความหนาเท่ากับท่อนแขนของเด็กทารก มันพันธนาการตามร่างกายท่อนบนของฉู่ซิงเยี่ยไม่ว่าจะเป็นช่วงหัวไหล่ แขนและมือ หน้าอก ช่วงท้อง ช่วงเอว ตลอดลงไปจนถึงช่วงล่าง อย่างสองขา หัวเข่าและสองเท้า

สายโซ่เหล่านั้นยึดติดกับผิวหนังอย่างแนบแน่น

ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายชายชราไปเสียแล้ว

ออกจะดูน่ากลัวอยู่ไม่น้อย

บนเฉลียงทางเดิน หลินเป่ยเฉินมองไม่ออกว่าท่านเจ้าเมืองคนเก่ายังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายแล้วกันแน่

แต่มีรังสีอันตรายแผ่ออกมาจากร่างกายของชายชรา

นั่นทำให้หลินเป่ยเฉินล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไปสำรวจดูใกล้ ๆ ทันที

แต่ท่านเจ้าเมืองคนเก่าผู้มีร่างกายแดงก่ำยังคงนั่งหลับตาอยู่ตลอดเวลา แล้วหลินเป่ยเฉินจะรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เขาควรจะทำอย่างไรดี?

เด็กหนุ่มหันกลับมามองหน้าอากวงอีกครั้ง

อากวงกะพริบตาปริบ ๆ

แต่ไม่นานหลังจากนั้น มุสิกยักษ์ก็นำขวดน้ำเต้าสุราดาวแดงออกมาเปิดจุก และเงยหน้าขึ้น กรอกสุราทั้งหมดใส่ปากรวดเดียวหมดเกลี้ยง

“ข้าไม่ได้จะให้เจ้ากระโดดลงไปสักหน่อย”

หลินเป่ยเฉินรีบห้ามอย่างเร็วไว

บ่อลาวาบ่อนี้แตกต่างจากบ่อที่แล้ว

หากอากวงตกลงไปตายเขาจะทำอย่างไร?

กว่าจะเลี้ยงหนูอสูรสักตัวได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

หลินเป่ยเฉินไม่มีทางปล่อยให้สัตว์เลี้ยงของตนเองมาตายง่าย ๆ เช่นนี้เด็ดขาด

หลินเป่ยเฉินยืนขมวดคิ้วขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินไปหยิบเศษหินมาหนึ่งก้อนและขว้างปาออกไป

เขายั้งมือของตนเองเอาไว้ จึงไม่ได้ปาออกไปแรงมากนัก

ด้วยเด็กหนุ่มเกรงว่าหากชายชรามีร่างกายอ่อนแอมากเกินไป อาจจะถูกก้อนหินนี้กระแทกใส่ศีรษะจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

แต่กลายเป็นว่าหลินเป่ยเฉินวิตกมากเกินไปเอง

เพราะยังไม่ทันที่หินก้อนนั้นจะเข้าถึงตัวฉู่ซิงเยี่ย หินก้อนนั้นก็แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงหายวับไปในอากาศ

ลมหายใจต่อมา ปรากฏม่านพลังวูบไหวอยู่เบื้องหน้ากระบี่ยักษ์

เป็นม่านพลังสีแดงเข้ม

นี่คือม่านพลังที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกำบังกระบี่ยักษ์เล่มนี้

และการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ก็ไม่ได้ทำให้ฉู่ซิงเยี่ยรู้สึกตัวแต่อย่างใด

ชายชรายังคงนั่งหลับตานิ่งเฉย ไม่รู้เลยว่าเป็นหรือตาย

จะเอาไงต่อดีนะ?

ให้หันหลังกลับตอนนี้ ก็ถือว่าทำภารกิจล้มเหลว

หลินเป่ยเฉินยืนใช้ความคิดอยู่อีกเล็กน้อย ก็ตัดสินใจใช้พลังปราณธาตุทองคำของตนเอง ควบคุมกระบี่เล่มหนึ่งที่เก็บมาได้จากป่าหินด้านนอก บังคับให้มันลอยออกไปข้างหน้า…

วูบ!

ตัวกระบี่พุ่งผ่านอากาศ

พรึ่บ!

เมื่อกระบี่ของหลินเป่ยเฉินพุ่งเข้าไปอยู่ในระยะสิบวาของกระบี่ยักษ์ ม่านพลังสีแดงก็ถูกกระตุ้นให้เกิดการทำงานขึ้นอีกครั้ง

คลื่นพลังที่มองไม่เห็นไหลเวียนออกมา

กระบี่ของหลินเป่ยเฉินถูกหลอมเหลวไปในพริบตาเดียว

ม่านพลังสีแดงเข้มนี้ครอบคลุมรัศมีหนึ่งร้อยวารอบตัวกระบี่ยักษ์ และนั่นหมายความว่ามันครอบคลุมร่างกายของท่านเจ้าเมืองคนเก่าด้วยเช่นกัน

นี่คือการป้องกัน?

หรือการกักขัง?

จังหวะที่หลินเป่ยเฉินกำลังมึนงงสงสัยอยู่นั้น ชายชราที่นั่งอยู่บนด้ามจับกระบี่ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างแช่มช้า

พลังแห่งความหวาดกลัวที่หลินเป่ยเฉินไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนแผ่ปกคลุมบรรยากาศ

เสมือนว่าจอมมารได้ตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา

ทำเอาหลินเป่ยเฉินขนลุกขนชันไปทั้งกาย