บทที่ 1403 รู้ซึ้งด้วยตนเอง

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

เมื่อถูกจับได้ต่อหน้า…หวังเป่าเล่อก็รู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง ตนจึงรีบส่งรอยยิ้มจริงใจให้แก่อีกฝ่าย

“สุดท้ายแล้ว ไม่สู้ทำตัวหน้าด้านแบบเก่าดีกว่า” หวังเป่าเล่อแอบถอนใจ เขามองดูเกราะขาวที่บัดนี้เดือดดาลถึงขีดสุด

หลังจากเจ้าแห่งปรารถนาเสียงเอ่ยจบ และสายตาของผู้แข็งแกร่งทั้งแปดต่างประสานกับคู่ของตนแล้ว ในยามนี้แสงจากหอคอยของหวังเป่าเล่อและเกราะขาวก็เพิ่มความเร็วขึ้น แล้วหลอมรวมเข้าด้วยกันจนก่อเกิดฟองอากาศขนาดยักษ์

ฟองอากาศนี้ครั้งแรกยังเป็นกึ่งโปร่งแสง ดังนั้นแล้วหวังเป่าเล่อจึงทันเห็นเยว่หลิงจื่อที่ควรต่อสู้กับตัวเองผู้นั้นถูกลากเข้าไปอยู่ในฟองอากาศฟองหนึ่งกับศิษย์อาวุโสคนหนึ่ง

นี่ทำให้ในใจของหวังเป่าเล่อค่อนข้างไม่พอใจขึ้นมา โดยเฉพาะ…เมื่อเขาเห็นว่าในเมืองปรารถนาเสียงนี้ เยว่ หลิงจื่อคือผู้ฝึกตนที่งดงามที่สุดที่เคยเห็น

ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือรูปร่าง ระดับของนางคือชั้นเลิศ บทเพลงนางไพเราะเสนาะหู เคยคิดไว้ว่าหากได้สู้สักครั้ง ก็คงเหมือนฟังคอนเสิร์ต เป็นที่เจริญหูเจริญตาของผู้คน

เมื่อเทียบกันแล้ว เกราะขาวในฟองอากาศที่หวังเป่าเล่ออยู่ด้วยคนนี้ เห็นได้ชัดว่าเทียบไม่ได้

ด้านหวังเป่าเล่อเอาแต่เสียอกเสียใจ หากแต่ผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักเมื่อเห็นฉากนี้เข้ากลับพากันตื่นเต้น ยิ่งเป็นเรื่องทำนองบุญคุณความแค้นประเภทนี้แล้ว ในมุมมองของผู้ชมย่อมน่าสนใจกว่าการทดสอบมาก

อีกอย่างการต่อสู้ในฟองอากาศที่เหลืออีกสามฟองนั้น ก็ดูน่าชมแน่นอนอยู่แล้ว ในบรรดานั้นคือการต่อสู้ระหว่างสือหลิงจื่อและเยว่หลิงจื่อ ทั้งสองต่างต้องประลองกับศิษย์อาวุโสที่ทะลุรอบเข้ามาเหมือนหวังเป่าเล่อ ในส่วนของยิ่นสี่นั้นบัดนี้ได้สู้กับจงเหิงจื่อจากสำนักเดียวกัน

แต่เห็นได้ชัดว่า เมื่อเทียบความน่าสนใจของการต่อสู้แล้ว ในสายตาของศิษย์สามสำนักที่เป็นผู้ชมนั้น น้อยกว่าค่อนข้างมาก

ดังนั้น ในพริบตานี้เอง ศิษย์เกือบจะทั้งหมดจากสามสำนัก ก็พากันมองไปยังฟองอากาศทั้งสี่ ทำให้ด้านหวังเป่าเล่อและเกราะขาวตรงนี้ นำมาพาซึ่งเสียงวิจารณ์ซึ่งสะพัดไปทั้งสามสำนัก

“นักพรตเกราะขาวเจอคู่แค้นแล้ว!”

“การต่อสู้นี้น่าสนใจเสียจริง มาดูกันว่าม้ามืดจะจัดการสองนักพรตยิ่งใหญ่ได้ในคราวเดียวหรือไม่ หรือว่าเกราะขาวจะแก้แค้นสำเร็จ แล้วสังหารม้ามืดนี้เสีย!”

“ข้ายังแปลกใจอยู่เลย บทเพลงของม้ามืดท่านนี้คือสิ่งใดกันแน่ เสียดายไม่อาจได้ยิน…”

ในเวลาเดียวกันกับที่ศิษย์จากทั้งสามสำนักทยอยให้ความสนใจ ในฟองอากาศที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้น จิตสังหารในแววตาของเกราะขาวยิ่งดุดัน ทั้งร่างยังดูเย็นชาอย่างยิ่ง ราวกับน้ำแข็งที่ไม่สลายนับหมื่นปี ก่อนจะเข้าใกล้หวังเป่าเล่อในพริบตา

เมื่อมองจากด้านนอก ฟองอากาศที่ทั้งแปดผู้แข็งแกร่งอยู่นี้ไม่ได้ใหญ่มาก แต่จริงๆ แล้วในมิติแห่งฟองอากาศนี้ใหญ่กว่าสนามประลองก่อนหน้านี้เสียอีก ดังนั้นต่อให้ความเร็วของเกราะขาวจะมีมากก็ไม่อาจจะถึงระดับที่หวังเป่าเล่อตั้งตัวไม่ทัน

ดังนั้นแล้วหวังเป่าเล่อจึงยังพอได้ยิน รอบทิศที่เกราะขาวอยู่นั้น ยามนี้มีเสียงฉินโบราณลอยมาเป็นระลอกๆ เมื่อเสียงแห่งดนตรีฉินนี้ประสานกัน ในพริบตาไอสังหารก็พลันผลักดันรุนแรง กระทั่งว่ากระทบต่อพลังปราณในสนามประลองนี้ ทำให้ทั้งมิติพลันหนาวเย็นทันที และที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือยังมีเกล็ดหิมะร่วงลงมาจากฟ้าด้วย

ในส่วนของเกล็ดหิมะเหล่านั้น ทุกๆ แผ่นราวกับก่อขึ้นมาจากตัวโน้ตจำนวนหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ในสนามประลองแห่งนี้ก็พลันถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ซึ่งก็คือตัวโน้ตดนตรี!

เมื่อลงมือ เกราะขาวก็ใช้เคล็ดวิชาลับของตนโดยตรง

ด้านหนึ่งนั้นเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขาและปีศาจแดง ยิ่งทำให้เขาโมโหที่คู่บำเพ็ญของตนพ่ายแพ้ การที่ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายถูกทำลาย เขายิ่งอยากสังหารหวังเป่าเล่อตรงนี้ให้ย่อยยับหมดจดเข้าไปอีก

โดยเฉพาะ…เมื่อเทียบกับการได้ที่หนึ่งแต่ทำให้ปีศาจแดงดีใจได้เล็กน้อย สำหรับเขาแล้ว นี่สำคัญกว่า

ส่วนอีกด้านหนึ่งผู้ที่กำจัดปีศาจแดงไปได้นี้ย่อมหมายความว่าคนเบื้องหน้าต้องมีฝีมือบางอย่าง ดังนั้นแล้วเกราะขาวจึงไม่ได้ดูเบาคู่ต่อสู้ เขาต้องการจัดการให้เร็วที่สุด และกวาดล้างทุกสิ่ง

ดังนั้นในชั่วพริบตา เกล็ดหิมะเต็มฟ้าก็พากันโจมตีวุ่นวายไปหมด ก่อร่างกลายเป็นตัวโน้ตจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วทั้งมิตินี้ ฉากนี้…แม้ศิษย์จากทั้งสามสำนักภายนอกทั่วไปแล้วจะไม่ได้ยิน แต่ก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน

“แดนพิสุทธิ์หมื่นหิมะ!”

“นี่คือหนึ่งในมหาสามบทเพลงโบราณของสำนักเหิงฉิน ตำนานว่ามีอานุภาพสยบฟ้า!”

“เกราะขาวผู้นี้…ฝึกบทเพลงโบราณสำเร็จแล้ว!!”

เสียงฮือฮาพลันกระจายไปทั่วทุกทิศ กระทั่งผู้ฝึกตนที่เชียร์หวังเป่าเล่อบางคนเองก็ยังอดสั่นสะท้านไม่ได้ ทว่านอกจากนี้…ผู้ที่พ่ายแพ้หวังเป่าเล่อเป็นคนแรก ยามนี้ดวงตายังคงแน่วนิ่ง จนกระทั่งเวลานี้แล้วเขายังคงมั่นใจมากว่าหวังเป่าเล่อจะชนะ

ส่วนในโลกแห่งฟองอากาศนั้น ท่ามกลางบทเพลงแห่งหิมะบ้าคลั่ง หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่แตกต่าง กล่าวได้ว่า เกราะขาวเบื้องหน้าตน เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งที่เขาเคยพบในวิชาปรารถนาเสียง

เมื่อเทียบกับปีศาจแดง ยังแข็งแกร่งกว่าประมาณหนึ่ง

ไม่ว่าจะเป็นระดับใดๆ ล้วนเป็นระดับสูงของวิชากฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง

“เช่นนั้น…ข้าจะไม่ใช่ท่วงทำนองเพลงอิสระของข้าแล้วกัน” หวังเป่าเล่อเมื่อดูสถานการณ์ออกอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกว่าบทเพลงของตนเองนั้นไม่ได้เฉียบคมอะไรนัก อีกทั้งยังแฝงด้วยความรู้สึก จึงไม่เหมาะจะใช้ในลมพายุน้ำแข็งหนาวเหน็บนี้

เมื่อคิดได้ หวังเป่าเล่อจึงถอนหายใจเบาๆ แบบไม่ยินยอมพร้อมใจ เขาค่อยๆ ผสานตัวโน้ตซ้อนทับกันในกายให้ชนกันเบาๆ

“งั้นใช้พลังเสียงเพียงครึ่งหนึ่งก่อนแล้วกัน” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ หลังจากที่ผสานตัวโน้ตแล้ว พริบตานั้นเองภายในร่างของเขาก็มีตัวโน้ตซ้อนทับกันนับแสนตัว แล้วสั่นสะเทือนพลัง

พรวด!

หลังจากเสียงนี้ดังขึ้น พลังเสียงที่ใช้แรงอัดอากาศโจมตีพลันกระจายออกจากรอบตัวหวังเป่าเล่ออย่างรุนแรง ไม่ว่าจะไปที่ใดหิมะเหล่านั้นพลันสลายทันที เมื่อมองจากระยะไกลนั้น หวังเป่าเล่อที่อยู่ภายในฟองอากาศนี้คล้ายกับอยู่ท่ามกลางพายุคลั่งซึ่งกวาดทำลายทั้งสี่ทิศ ทำให้หิมะที่หล่นมานี้สลายเป็นชิ้นๆ

การเปลี่ยนแปลงที่มาโดยฉับพลันนี้เอง ทำให้ผู้ฝึกตนจากสามสำนักที่อยู่ภายนอกล้วนตกตะลึงและในเวลาเดียวกัน เกราะขาวที่อยู่ภายในฟองอากาศเองก็สีหน้าแปรผันยกใหญ่ เขารู้สึกว่าตนเองถูกขุมพลังปราณหนึ่งพุ่งเข้ามา ราวกับถูกสิ่งใดปะทะเข้าให้…พริบตานั้น หลังจากที่หิมะสิ้นสลาย ร่างของเขาเองก็ถอยหลังล้มไปอย่างควบคุมตัวไม่ได้ กระอักเลือกออกมาครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเขาแข็งแกร่งกว่าปีศาจแดงอยู่บ้าง ยามนี้เส้นเลือดฝอยในดวงตาจึงกลบแน่น เขาตะโกนเสียงดัง

“ฉินเหมันต์!”

สิ้นเสียงนี้ หิมะที่พังทลายรอบด้านก็กอปรรวมตัวกันใหม่ แล้วพัดม้วนเข้าด้วยความรวดเร็วไปยังเบื้องหน้าเกราะขาวกลายเป็นฉินโบราณขนาดยักษ์ โดยใช้หิมะเป็นตัวฉินและน้ำแข็งเป็นตัวเส้นเสียง เมื่อแผ่นคริสตัลใสกวาดผ่านก็ส่งพลังปราณอันน่าสะเทือนออกมา

เกราะขาวเส้นผมหลุดสยาย เขายกมือทั้งสองขึ้น บนมือประคองฉินเหมันต์ ดวงตาฉายแววสังหารก่อนจะดีดฉินอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นมิติในฟองอากาศก็พลันบิดเบี้ยว เสียงฉินกลายเป็นแท่งน้ำแข็งทีละแท่งๆ แล้วพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว

“เอ๋?” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว จากนั้นก็ผสานตัวโน้ตในกายอีกครั้ง ในคราวนี้เขาเพิ่มมันขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง

หกส่วนประสานเป็นเสียงนี้ จากนั้นระเบิดออก

พรวด

ลำดับถัดมา แท่งน้ำแข็งนั้นพังราบ ตัวฉินเหมันต์หักท่อน ส่วนตัวของเกราะขาวเองก็กระอักเลือดอีกครั้ง สีหน้าของเขาบ้างครั้งดูทุกข์ทน ร่างกายเหมือนถูกบางอย่างชนเข้า กระเด็นลอยออกไป

ฉากนี้ทำให้บรรดาผู้ฝึกตนสามสำนักฮือฮาไม่หยุด อีกทั้งบางทีอาจเพราะลางสังหรณ์ หรือไม่ก็เพราะความบังเอิญ…โดยสรุปแล้ว สือหลิงจื่อที่กำลังต่อสู้กับศิษย์อาวุโสอยู่นั้นพลันหันหน้ามองไปยังฟองอากาศของหวังเป่าเล่อและเกราะขาว อีกฝ่ายทันเห็นสีหน้าทุกข์ทรมานและร่างที่กระเด็นไปของเกราะขาวพอดี

สีหน้าที่คุ้นเคย การล่าถอยที่คุ้นเคย นี่สอดคล้องกับภาพในความทรงจำของตนทันที…เขาจับจ้องหวังเป่าเล่อไม่กะพริบ ทั้งร่างพลันหอบหายใจกระชั้นขึ้นมา ดวงตาบังเกิดจิตสังหารแดงก่ำ

“เจ้า เจ้า เจ้า…เป็นเจ้าแน่นอน!!!”

……