แท้จริงแล้ว…สือหลิงจื่อนับเป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้เก่าก่อนคนสุดท้ายของหวังเป่าเล่อที่จดจำหวังเป่าเล่อได้
ในการทดสอบก่อนหน้านี้ของเขา เหล่าผู้ฝึกตนจากสามสำนักที่เคยต่อสู้กับหวังเป่าเล่อมานั้น แต่ละคนล้วนรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว ว่าตนเองนั้นได้พบกับท่วงทำนองเช่นใด
เพียงแต่ว่า…บางทีอาจจะเพราะถูกรังแกมากไปหรือว่ายากที่จะเอ่ยปากออกมาได้ หรือว่าบางที…ตนเองพ่ายแพ้ให้แก่ตัวโน้ตที่ค่อนข้างจะเกินไปหน่อย จึงอยากจะเห็นผู้อื่นถูกอัดเช่นเดียวกันบ้าง ความรู้สึกที่ว่าในเมื่อตายก็ต้องตายด้วยกันเช่นนี้ ทำให้จนบัดนี้ เหล่าผู้ฝึกตนที่เคยต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ ได้แต่อัดอั้นอยู่ในใจ ขี้เกียจจะอธิบายความสงสัยนี้…
“สีหน้านี่แหละ! ที่แท้สือหลิงจื่อก็เป็นพวกเดียวกับเรานี่เอง!”
“ข้าก็เดาไว้ตั้งแต่แรกแบบนี้อยู่แล้ว ฮ่าๆ เห็นคนอื่นเป็นแบบนี้เหมือนกัน พลันสบายใจขึ้นมาทันที”
“เจ้าคนสมควรตาย ข้ารู้สึกว่าไม่เกลียดเขาแล้ว ข้าล่ะอยากจะดูว่าผู้อื่นกับข้าเหมือนกันหรือไม่!” ในสำนักทั้งสามนั้น เหล่าผู้ฝึกตนที่เคยสู้กับหวังเป่าเล่อมา แต่ละคนมีสีหน้าสุขใจ ความทุกข์ตรมในใจนั้นยามนี้เมื่อเห็นคนอื่นอัดอั้นด้วยก็ลดทอนลงไปบ้าง
อีกทั้งระดับที่ลดลงนี้ก็เหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้ดู พูดง่ายๆ คือผู้ฝึกตนที่พ่ายแพ้ให้หวังเป่าเล่อแต่เนิ่นๆ บัดนี้ในใจชื่นมื่นอย่างมาก ส่วนผู้ที่พ่ายแพ้ให้หวังเป่าเล่อหลังๆ มานั้น จนบัดนี้ถึงในใจจะไม่สู้เหล่าผู้ผ่านมาก่อนเ แต่เมื่อมองเห็นผู้ฝึกตนคนอื่นได้เจอสิ่งที่เหมือนตนเองเข้า ในใจก็พลันเบิกบานขึ้นไม่น้อย กระทั่งว่าเฝ้ารอด้วยใจอันเข้มข้นขึ้นมา
คาดหวัง…ว่าผู้ฝึกตนเต๋าคนอื่น ก็จะพบความป่าเถื่อนเช่นนี้เหมือนกัน
“น่าเสียดายจริง ข้าอยากเห็นเยว่หลิงจื่อถูกอัดบ้าง…”
“ข้าเองก็อยากเห็น”
“เห็นด้วยอย่างมาก ถัดจากนี้ไปเยว่หลิงจื่อก็จะสู้กับเจ้าคนสมควรตายผู้นี้”
หลังเบิกบานใจแล้ว ผู้ฝึกตนที่เคยต่อสู้กับหวังเป่าเล่อเหล่านี้ต่างทยอยกันคาดหวังเรื่องอื่นๆ และในเวลาเดียวกัน ภายในฟองอากาศที่หวังเป่าเล่อต่อสู้กับเกราะขาวนั้น ยามนี้มีเสียงดังก้องฟ้า ตัวโน้ตที่ซ้อนทับกันของหวังเป่าเล่อพลันระเบิดพลังหกส่วนที่ไม่เคยใช้มาก่อนออกมา ทำลายสายฉิน ทำลายฉินเหมันต์ จากนั้นกลายเป็นพลังปราณอันยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดิน ระเบิดขึ้นเบื้องหน้าเกราะขาว ผู้ซึ่งบัดนี้สีหน้าแปรผันเผยให้เห็นความไม่อยากเชื่อและตื่นตกใจ รวมถึงแอบซ่อนความขมขื่นเอาไว้ด้วย
พรวด!
เกราะขาวไร้หนทางจะหลบ ดังนั้นจึงทำได้แค่ต่อต้านสุดกำลัง แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานอะไรได้ ทั้งร่างกระอักเลือดออกมา กระทั่งว่ารูขุมขนทั่วตัวยังเต็มไปด้วยเลือดสด และทำให้เสื้อผ้าสีขาวของเขาเป็นสีเลือด ทั้งร่างนั้นคล้ายว่าวสิ้นไร้สายป่าน เขาล้มตัวกลิ้งกระแทกเข้ากับกำแพงภายในฟองอากาศ
นัยน์ตาหวังเป่าเล่อทอประกายเย็นเยียบ เขาทะยานร่างเข้าไปทันที มองออกว่าอีกฝ่ายหมายจะสังหารเขาก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่คิดปล่อยผ่าน ระหว่างที่พุ่งตัวไป เขายกมือขวาขึ้นและกำลังจะคว้าไปทางเกราะขาวแรงๆ ครั้งหนึ่ง
แต่ว่าในตอนนี้เอง พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ขุมหนึ่งก็มาถึงในฟองอากาศประลองนี้ ก่อเกิดกำแพงกั้นขวางเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ ทำให้มือขวาของหวังเป่าเล่อปะทะเข้ากับกำแพงนี้เสียเอง
ในชั่วพริบตานั้น ฟองอากาศพลันสั่นสะเทือนและพร่าเลือนลงโดยเร็ว เหล่าผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักต่างพากันตกตะลึง สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นก็คือภาพในฟองอากาศของเกราะขาวและหวังเป่าเล่อถูกปิดคลุมแล้ว เรื่องทั้งหมดภายในนั้นถูกปิดเอาไว้ มองไม่เห็นอีก
ภายในฟองอากาศ หลังจากที่มือขวาของหวังเป่าเล่อปะทะเข้ากับกำแพงแล้ว ร่างกายก็สะเทือน ทันใดนั้นมันล่าถอยรุนแรง จนกระทั่งถอยหลังไปหลายสิบจั้ง เขาก็กระอักเลือดออกมาทางมุมปาก ส่วนตัวโน้ตภายในร่างเหมือนไม่ยินยอม ยังคงระเบิดเพิ่มขึ้นสิบเท่า แต่ถูกหวังเป่าเล่อสะกดข่มเอาไว้ เขาแหงนหน้าขึ้นมองไปยังด้านข้างของร่างเกราะขาวด้านหลังกำแพง บัดนี้ปรากฏเงาร่างเลือนรางร่างหนึ่ง!
“เจ้าแห่งปรารถนาเสียง ศิษย์นี้ไม่ใคร่ยินยอม!” หวังเป่าเล่อใช้หัวแม่โป้งเช็ดเลือดตรงมุมปาก ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเผยแววเคารพแต่แสดงออกถึงความไม่พร้อมใจ เอ่ยปากราวกับเด็กน้อยอารมณ์เสียอย่างไรอย่างนั้น
เงาร่างเลือนรางนี้แสดงความมีอำนาจออกมา เท่าที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ในพริบตาก็รู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้…คือเจ้าแห่งปรารถนาเสียง!
แต่สุดท้ายแล้วเป็นร่างแยกใด หวังเป่าเล่อยังไม่ทราบ ยามนี้แม้เขาแสดงท่าทีไม่ยินยอมแต่ในใจกลับตื่นตระหนก เขามองเงาร่างอันเลือนรางนี้ค่อยๆ วางมือลงไปตรงหว่างคิ้วของเกราะขาว แล้วด้วยความรวดเร็ว เงาร่างของเกราะขาวก็ถูกเวทเคลื่อนย้ายออกไป หลังจากนั้น เงาร่างเลือนรางนี้ก็หันกายมาทะลุผ่านกำแพง จับจ้องหวังเป่าเล่อก่อนจะเอ่ยออกมาเรียบนิ่ง
“เจ้า ไม่ยินยอม?”
เป็นเพียงแค่สี่คำ แต่ในพริบตาที่หวังเป่าเล่อได้ยินนั้น ร่างของเขาพลันสั่นสะท้านรุนแรง ราวกับว่าความลับทุกอย่างนั้นภายใต้เสียงนี้ถูกบังคับให้เปิดเผย
และในคำพูดทั้งสี่คำนี้ ล้วนส่งผ่านซึ่งกระแสพลังสยบ ราวกับว่าหากหวังเป่าเล่อขัดขืนเมื่อใด เช่นนั้นในพริบตาถัดไปพลังอันรวดเร็วดุจสายฟ้าก็จะทำลายเขาให้ราบคาบ
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าผู้ที่รู้จักกาลเทศะนั้นยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นหลังจากเงียบเสียงแล้ว เขาก็ไม่เลือกที่จะแสดงจุดโดดเด่นของตัวเอง แต่กลับเอ่ยเสียงเบา
“ศิษย์…ยอมแล้วขอรับ”
ความยินยอมของเขาทำให้กระแสพลังสะกดข่มที่มาจากเงาร่างเลือนรางนี้ลดลงไปมาก แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ ในเมืองปรารถนาเสียงนั้น เจ้าแห่งปรารถนาเสียงคือตัวตนสูงสุด ผู้ฝึกตนที่ถูกอบรมสั่งสอนมาย่อมไม่ทำสิ่งใดอันเป็นการต่อต้านเจ้าแห่งปรารถนาเสียง
ดังนั้นแล้ว หากว่าหวังเป่าเล่อเลือกแสดงความพิเศษ และคิดว่าสามารถใช้ความพิเศษของตนนี้เข้าตาเจ้าแห่งปรารถนาเสียงได้ เช่นนั้นสิ่งที่รอเขาอยู่คือการที่เจ้าแห่งปรารถนาเสียงจะจัดการเขา
กลับกัน ในยามนี้เขาเลือกที่จะก้มหัว ในสายตาของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงแล้ว นี่คือเรื่องปกติ
ดังนั้นหลังจากที่กระแสพลังนั้นหายไป และเงาร่างเลือนรางนี้เบนสายตาที่มองหวังเป่าเล่อออกไปแล้ว เงาร่างจึงค่อยๆ หายไป ส่วนในฟองอากาศนั้นก็เริ่มโปร่งแสงขึ้นอีกครั้ง ทว่าชั่วเวลาที่ร่างกำลังจะหายไปทั้งหมด ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้น แผ่นหยกหนึ่งลอยมายังเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ ทะลุผ่านกำแพงตกสู่เบื้องหน้าของเขา
“นี่คือรางวัลให้เจ้า”
หลังจากที่เสียงนี้ดังออกมา เงาร่างของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงก็หายไป หวังเป่าเล่อคว้าแผ่นหยกนั้นในคราวเดียว เขาหอบหายใจกระชั้น ก่อนใช้สัมผัสกวาดผ่าน ในนี้มีตัวโน้ตเพียงตัวเดียว
ตัวโน้ตนี้เรืองรองสุดแสน ราวกับว่าด้านในคือตัวโน้ตที่บรรจุเสียงแห่งสรรพชีวิตนับหมื่น
“เมล็ดพันธุ์เต๋า!”
เกือบจะในพริบตานั้น หวังเป่าเล่อก็รู้ที่มาของตัวโน้ตนี้ทันที ตัวโน้ตนี้ ก็คือเมล็ดพันธุ์เต๋าของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง และคือรากฐานที่สำคัญดั่งชีวิตของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง
“หากว่าเป็นไปตามที่เจ็ดอารมณ์พูด การทดสอบครั้งนี้ ข้าเพียงแค่อยู่ในลำดับที่สูงหน่อย เช่นนี้ก็มีโอกาสเป็นผู้ถูกชิงชีวิตได้ อีกอย่างหากข้าไม่มีเมล็ดพันธุ์เต๋า เขาก็ต้องมอบเมล็ดพันธุ์มาให้ข้า”
“ตอนนี้…เมล็ดพันธุ์เตรียมพร้อมแล้ว ต่อมาก็เพียงแค่ทุ่มเทกำลังทุกอย่างเพื่อชิงที่หนึ่ง!” หวังเป่าเล่อเงียบไปหลายอึดใจ จากนั้นก็หนีบแผ่นหยกขึ้น พริบตานั้นตัวโน้ตเมล็ดพันธุ์เต๋าภายในแผ่นหยกก็พลันหลอมเข้ากับร่างของหวังเป่าเล่อ ทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน และในเวลาเดียวกัน บทเพลงที่เขาประพันธ์ก็พลันขยายขึ้นหลายเท่ายิ่งกว่าสมบูรณ์แบบ
ในเวลาเดียวกัน ตัวโน้ตที่เขาประสาน ยามนี้เหมือนถูกกระตุ้นอย่างไรอย่างนั้น พวกมันสั่นสะท้าน และในพริบตาถัดมา…ก็ขยายเหยียดราวกับต้องการกลืนกินเมล็ดพันธุ์เต๋า
ตัวโน้ตที่แต่เดิมเรืองแสงอยู่ บัดนี้สั่นสะท้านราวกับเด็กหญิงตัวน้อยพบปีศาจร้ายกาจ ท่าทางไม่กล้าต่อต้าน
หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงอย่างยิ่ง เขารีบเข้าไปหยุดแต่เหมือนจะช้าไป แม้สุดท้ายแล้วพอจะหยุดไม่ให้ตัวโน้ตพวกนั้นขยายได้ แต่ว่าเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งเสียงยังคงถูกตัวโน้ตที่ขยายกินไปคำหนึ่ง เผยให้เห็นรอยแหว่งหนึ่งคำเล็กๆ
“ตัวโน้ตอะไรของข้านี่…” หวังเป่าเล่อปวดหัวอยู่บ้าง