ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 171 โปรดสังหารสองคนผู้นี้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

กระเรียนขาวยังมิทันได้ร่อนลง เฉินฉางเซิงก็พบถึงความผิดปกติในลานเล็กๆ นั้นแล้ว

เมื่อสัมผัสลมปราณเน่าเหม็นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เขาก็หนักใจทันที เนื่องจากเห็นได้ชัดว่านั่นคือร่องรอยของวิชาน้ำพุเหลือง ต่อมา เขายังพบว่ามีร่องรอยของเพลิงไหม้ อดไม่ได้ที่จะคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง แต่ไม่นานเขาก็ตัดความคิดนั้นทิ้งไปเสียง

ฉูซูเหตุใดจึงมาที่วัดนี้ได้เล่า การต่อสู้นี้เป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ใดกับผู้ใดกัน เฉินฉางเซิงมองไปยังเซวียนหยวนผ้อที่ยังคงไม่ได้สติ ในใจเขาเกิดความรู้สึกสงสัยมากมาย แต่ยามนี้สถานการณ์คับขันนัก ไม่มีเวลาให้เขามาพิจารณามาก

เขาไม่รู้เลยว่าบนชายคาของวัดเทียนซู่ที่อยู่ไม่ไกลนั้น นางกำลังมองตนอยู่

เมื่อเดินผ่านประตูที่ผุพังและพื้นที่เต็มไปด้วยเศษกระดาษสีคล้ำเข้าไปยังด้านในห้องแล้ว เฉินฉางเซิงจึงพบกับเปี๋ยยั่งหงและอู๋ปี้ฉยง

มู่ฮูหยินเอ่ยว่าเปี๋ยยั่งหงและอู้ฉยงปี้นั้นสิ้นชีวิตแล้ว เหตุใดพวกเขายังมีชีวิตอยู่กันเล่า แถมยังอยู่ในบ้านของเซวียนหยวนผ้ออีกด้วยหรือ

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เฉินฉางเซิงตกตะลึง แต่เขาไม่ทันได้คิดอะไรมาก ออกแรงโบกมือ กระบี่กว่าร้อยด้ามพลันพรั่งพรูออกมาจากฝักกระบี่ซ่อนคม เกิดเสียงเพรียกกระบี่ดังกึกก้อง กระบี่เหล่านั้นทะลุหน้าต่างออกไปรวมตัวกันเป็นค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซี ล้อมรอบลานบ้านเอาไว้เสีย

ตราบจนถึงเวลานี้ เขาถึงได้ผ่อนคลายลงมาหลายส่วน หลังจากนั้นจึงนำร่างของเซวียนหยวนผ้อวางไว้บนพื้น

เปี๋ยยั่งหงก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่เขากังวลในตัวเซวียนหยวนผ้อที่ยังไม่ได้สติมากกว่า เมื่อเห็นว่าเฉินฉางเซิงตรียมรักษาอาการบาดเจ็บตน จึงรีบยื่นมือยับยั้งไว้ พลางเอ่ย “ท่านรักษาเขาก่อนเถิด เหตุใดจึงได้บาดเจ็บสาหัสเยี่ยงนี้ อันตรายมากหรือไม่”

อู๋ฉยงปี้เมื่อได้ฟังอดไม่ไหวถามออกไปว่า “เจ้าลูกหมีคนนี้ ผิวหยาบเนื้อหนานัก ต่อให้ถูกฟันอีกสองสามทีก็ไม่เป็นอะไรหรอก”

เปี๋ยยั่งหงมองไปยังนางปราดหนึ่ง ในที่สุดในแววตาเขาก็เกิดความโกรธขึ้นมาแล้ว อู๋ฉยงปี้รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรม ใจคิดว่าตนนั้นก็มิใช่เพราะกังวลบาดแผลท่านเมื่อเวลานานไปจะรักษายากหรอกหรือ แต่เมื่อหันไปสบตาเขาแล้วก็ไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมาอีก

“เขาถูกแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์กระแทกจนบาดเจ็บสาหัส ที่ได้รับมาคือพลังของฟ้าดิน หากยังฟื้นขึ้นมาได้ก็ยังถือว่าฝืนต่อไปได้”

เฉินฉางเซิงเล่าการตัดสินบนหอทัศนะอีกครั้ง มิได้ห้ามปรามการหยุดยั้งของเปี๋ยยั่งหง เขาคุกเข่าลงตรงเบื้องหน้าเขา เริ่มจับชีพจรเขาทันที

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร สีหน้าเขาก็ดูจริงจังขึ้นเรื่อยๆ นิ้วมือของเขาตอนนี้ถูกเข็มสีทองเข้าแทนที่แล้ว

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เมื่อเขาถอนเข็มที่ฝังไว้ออกมา ก็มีท่าทีลังเล ราวกับอยากจะเอ่ยอันใดออกมา

เปี๋ยยั่งหงมิได้เอ่ยอันใด เพียงแค่ยื่นมือออกไปตบไหล่เฉินฉางเซิงเสีย

เฉินฉางเซิงถึงได้รู้ว่า ที่แท้เขารู้ตั้งนานแล้ว

“รบกวนท่านดูบาดแผลของภรรยาข้าหน่อยเถิด”

วิทยายุทธของเปี๋ยยั่งหงนั้นสูงล้ำ เขาแน่ใจในอาการของภรรยาตนบ้างแล้ว แต่วิชาแพทย์ของเฉินฉางเซิงก็ถือว่าได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน เขาจึงอยากจะยืนยันให้มั่นใจเสียหน่อย

เฉินฉางเซิงผินหน้าไปทางอู๋ฉยงปี้ ส่งสัญญาณให้นางให้ความร่วมมือกับตน สีหน้าของอู๋ฉยงปี้ดูลำบากใจยิ่ง หรืออาจจะเอ่ยได้ว่านางแทบจะไม่เป็นตัวของตัวเองเลย

“ไม่ได้เป็นอันใดมาก เพียงพักฟื้นเสียหน่อยเป็นดี”

อู๋ฉยงปี้แขนด้านซ้ายขาดไป เมื่อเห็นบาดแผลนั้นสาหัสนัก แต่เฉินฉางเซิงวินิจฉัยได้ชัดเจนมาก บาดแผลของนางห่างไกลจากเปี๋ยยั่งหงมากนัก สามารถจินตนาการถึงภาพการต่อสู้ในวันนั้นได้เลย ว่าเปี๋ยยั่งหงนั้นรับอันตรายแทนนางไปเท่าใด

หากเขาไม่ได้ต้านรับการโจมตีเหล่านั้นแทนนาง ยามนี้ผลลัพธ์ต้องมิใช่เยี่ยงนี้เป็นแน่

ในเมื่อเป็นสามีภรรยา ในฐานะสามีทำเรื่องพรรค์นี้แทนภรรยาล้วนเป็นเรื่องที่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงยังคงอารมณ์ไม่ค่อยสำราญนัก หรืออาจจะบอกได้ว่าไม่ยินดีเลยด้วยซ้ำ ก็เหมือนกับคนส่วนมากที่นึกถึงสามีภรรยาคู่นี้นั่นแหละ

ยิ่งไปกว่านั้นอู๋ฉยงปี้เองจวบจนกระทั่งตอนนี้ก็เหมือนกับนางนั้นไม่รู้เรื่องอันใดเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเปี๋ยยั่งหงทำอะไรเพื่อนางบ้าง ต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง แล้วยังต้องแบกรับอะไรต่อไปอีก นางยังคงเอาแต่ก่นด่าไม่หยุดอยู่อย่างนั้น

ภายใต้การจับตามองของเปี๋ยยั่งหง อู๋ฉยงปี้ไม่กล้าเอ่ยวาจาอะไรเลื่อนเปื้อน แต่ยังคงทำให้ผู้คนต่างรู้สึกรำคาญใจ

ถือดีอย่างไรถึงให้อีกฝ่ายแบกรับทุกอย่างเอาไว้ แต่นางกลับมีชีวิตเยี่ยงนี้ได้

เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้น ใช้สายตาลึกล้ำมองไปยังเปี๋ยยั่งหงหนึ่งที

เปี๋ยยั่งหงส่ายหน้าเพียงเล็กน้อยจนแทบจะสังเกตไม่เห็น หากมิใช่เพราะจดจ้องอยู่ คงยากจะมองออก

อู๋ฉยงปี้ไม่ได้สังเกตเห็น แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศส่งผล ในที่สุดนางก็หยุดพูดเสียที

ในห้องนั้นเงียบลงสงัด

เฉินฉางเฉิงนึกถึงทะเลดอกบัว ดอกไม้สีแดง และพลังทำลายล้างของทั้งคู่ที่เขาเห็นในสุสานเทียนชูในตอนนั้น เขารู้สึกเศร้าทันทีเมื่อมองไปยังพวกเขาที่นั่งพิงกำแพงอย่างไร้เรี่ยวแรงในยามนี้ ไหนจะใบหน้าซีดเซียวของพวกเขาอีก

“เป็นผู้ใด”

หากไป๋ตี้เก็บตัวบำเพ็ญพรต ไม่ยุ่งเรื่องภายนอกจริง ต่อให้มู่ฮูหยินร่วมมือกับเหล่าผู้เแข็งแกร่งของเผ่าปีศาจจริง ก็ยากจะบีบให้เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ตกต่ำมาอยู่ในจุดนี้ได้ อีกอย่างมู่ฮูหยินเองก็เอ่ยออกมาด้วยตัวเองยามอยู่ในเขตพระราชฐานแล้วว่า ยามนั้นนางไม่ได้ลงมือ อย่างนั้นเป็นผู้ใดกันเล่าที่ทำให้เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ เป็นคนชุดดำหรือผู้คุมกฎเผ่ามารอย่างที่เขาคิดไว้หรือ หรือว่าจะเป็นคนของบรรพตปาต้า

เปี๋ยยั่งหงแจ้งแก่ใจว่าตนยังพอมีเวลา และก็รู้ดีกว่าการพูดคุยต่อไปนี้สำคัญมากต่อการตัดสินใจของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในภายภาคหน้า ดังนั้นจึงมิได้รีบร้อนเอ่ยนามของอีกฝ่ายออกมา แต่เริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างจริงจังและมีตรรกะ

“พวกเราตามลมหายใจมังกรเยือกแข็งไป ข้าพบเจอแม่นางจูซาที่ใต้ต้นเทียนซู่ต้นที่สามจากทางซ้าย”

ในที่สุดเฉินฉางเซิงก็ได้ทราบตำแหน่งที่ชัดเจนของมังกรดำน้อยเสียที ในใจคิดว่าเพลิงสวรรค์ต้นไม้เถื่อนในตำนานนั้นคงปิดกั้นการตอบโต้ทางจิตวิญญาณระหว่างนางกับตนกระมัง

เปี๋ยยั่งหงเอ่ยต่อไปอีกว่า “พวกเราเห็นมู่ฮูหยินและมู่จิ่วซือ แล้วยังมี…คนชุดดำ”

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยคิดเอาไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินชื่อนี้เข้าจริงๆ เฉินฉางเซิงก็ยังคงตกตะลึง

“เผ่ามารยังมีผู้ใดอีก”

“ไม่มีแล้ว มีเพียงคนชุดดำเท่านั้น”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ หากมู่ฮูหยินเป็นผู้เปิดอาณาเขตกักกัน ขัดขวางการส่งข้อมูล มิได้ลงมือกับเปี๋ยยั่งหงและภรรยาจริงๆ หากเพียงคนชุดดำเพียงคนเดียว ว่ากันตามหลักการแล้ว คงไม่สามารถทำให้เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้บาดเจ็บได้ถึงเพียงนี้กระมัง

กุนซือเผ่ามารที่ลึกลับผู้นี้เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างไม่ต้องสงสัย ความสามารถที่แท้จริงพูดได้เลยว่าเกินหยั่งรู้

หากแต่เปี๋ยยั่งหงเองก็มิใช่ผู้แข็งแกร่งแห่งดินแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาหลายปีของการเปลี่ยนแปลงสุสานเทียนซู วิทยายุทธที่แท้จริงของเขายกระดับขึ้นอีก ค่อยๆ ขึ้นมาเป็นผู้นำของมรสุมได้เลย หากให้เวลาเขาอีกสองร้อยปีละก็ เขาคงสามารถบรรลุขึ้นไปอยู่บนขั้นอำพรางเทพได้เป็นแน่

“เผ่ามารไม่มีผู้ใดมาอีก แต่ว่ามีคนมาจากดินแดนเซิ่งกวง”

เปี๋ยยั่งหงเอ่ยต่ออย่างช้าๆ “ผู้ที่มาสองท่านคือทูตสวรรค์ ท่านแรกคือผู้ตัดสิน ข้ายินทีที่จะเรียกนามว่าหยิ่นเหล่ย อีกท่านทูตสงคราม ข้ายินดีที่จะเรียกนามว่านู่หั่ว ทั้งสอนท่านไม่รู้วิชา แต่สามารถเปลี่ยนพลังฟ้าดินมาใช้ได้ พลังเทพศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิด บริสุทธิ์เมื่อว่ากันตามพลังการรบ คล้ายกับข้านัก”

เฉินฉางเซิงตกใจเข้าจริงๆ แล้ว เขาเงียบไปอยู่นานไม่ได้เอ่ยคำใด

ไม่ได้รอให้เขาถามต่อ เปี๋ยยั่งหงพูดขึ้นมาอีกประโยค

สีหน้าเขาจริงจังอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าอยากให้เฉินฉางเซิงจดจำคำพูดทุกคำของตน

“หากได้พานพบ โปรดสังหารพวกเขาเสีย”

ติดตามมาด้วยประโยคนี้ พลันเกิดจิตสังหารที่รุนแรงสายหนึ่ง ดุจธงฉานดั่งง้าวขอ ทะลุผ่านลานบ้านออกไป ตรงดิ่งขึ้นบนท้องฟ้า

ในขณะเดียวกัน นิ้วมือของเปี๋ยยั่งหงก็กดลงที่หัวคิ้วของเฉินฉางเซิง