ร่างกายเปี๋ยยั่งหงได้รับบาดเจ็บสาหัส การเคลื่อนไหวจึงช้าไปมาก เฉินฉางเซิงสามารถหลบหลีกได้โดยง่าย แต่เขาก็ไม่ได้หลบ เนื่องจากว่าเชื่อใจอีกฝ่าย
อู๋ฉยงปี้ที่เห็นฉากนี้เข้า ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่ตกใจมาก นางอยากจะไปหยุดยั้งไว้แต่กลับนึกถึงคำกล่าวของเปี๋ยยั่งหงก่อนหน้า สุดท้ายก็ไม่กล้าทำอะไร
ลมปราณอันอบอุ่นและนุ่มนวลหาใดเปรียบ หอมหวานราวกับสุราเลิศรส หลั่งไหลเข้าสู่หว่างคิ้วของเฉินฉางเซิงตามปลายนิ้วของเปี๋ยยั่งหง สุดท้ายก็หลั่งไหลเข้าไปจนหมด
ห้วงแห่งจิตอยู่ใต้หว่างคิ้วนั้นเอง ไม่อย่างนั้นดวงตาทั้งสองข้างของหนานเค่อคงไม่สามารถยิ่งมองยิ่งไกลได้หรอก
แสงสว่างมากมายสาดส่องไปยังห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง ไม่นานก็กลายเป็นภาพฉากต่างๆ มากมาย
สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นภาพฉากที่เปี๋ยยั่งหงกำลังต่อกรกับทูตสวรรค์แสงศักดิ์สิทธิ์สองตนอยู่ตรงหน้าผาและบนฟากฟ้า
ภาพเหล่านั้นชัดเจนยิ่งนัก เหมือนจริงที่สุด ราวกับทุกอย่างปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา เหมือนจริงเสียจนยากจะหาใดเทียบ
ในบรรดาภาพมุมมองหลัก นอกจากนี้ยังช่วยให้เขามองเห็นทุกอย่างผ่านมุมมองของเปี๋ยยั่งหง ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นด้วยตัวของเขาเอง
เขาเห็นมู่จิ่วซือที่กำลังหลบหนีด้วยสีหน้าหวาดกลัว มองเห็นมู่ฮูหยินที่สีหน้าสงบและสง่างาม
มีต้นไม้อยู่ข้างหน้าผา สายลมโชยพัดเงาไม้พลิ้วไหว และกลายเป็นมุมเสื้อคลุมสีดำ
บนนภามีเมฆา รอยแยกของเมฆามีลำแสงสาดส่องมายังโลก ในนั้นมีสองสิ่งมีชีวิตผู้แข็งแกร่งซึ่งมาจากต่างแดน
พวกเขามีปีกขาวสะอาด ไม่ได้มีการแบ่งแยกเพศแต่อย่างใด เปล่งประกายแสงอันศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ รวมไปถึงลมปราณอันแก่กล้าหาที่เปรียบไม่ได้ ทำให้คนจดจ้องมิได้เลย ราวกับหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก
แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่ได้มีอารมณ์ด้านดีหรือด้านลบของมนุษย์ หว่างคิ้วปรากฏออกมาซึ่งความเฉยเมยที่อยู่เหนือทุกสรรพสิ่งบนโลก
เมื่อมองจากในบางมุม พวกเขาก็ช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก
พวกเขามิใช่ทูตสวรรค์จากดินแดนเชิ่งกวงหรือ
เฉินฉางเซิงยังคงได้ยินเสียงของพวกเขา
ภาษาที่พวกเขาใช้นั้นน่าจะเป็นภาษาของดินแดนเชิ่งกวง เสียงสูงเสียงต่ำแปลกประหลาดและซับซ้อนยิ่งนัก
เพราะบรรดาฉากเหล่านี้เกิดขึ้นจากดวงจิตของเปี๋ยยั่งหง ดังนั้นเสียงของพวกเขานั้นมิได้เหมือนเหตุการณ์จริงในวันนั้น ต่อมาจึงกลายเป็นภาษาของดินแดนนี้ เพียงแค่ถูกสายลมอ่อนพัดผ่าน
เฉินฉางเซิงยังคงฟังเข้าใจอยู่บ้าง
ภาษาของดินแดนเชิ่งกวงใกล้เคียงกับภาษาของเผ่ามังกรอยู่บ้าง
ในปีนั้นยามท่องจำคัมภีร์สามพันมหามรรคเก่าเก็บม้วนสุดท้ายที่วัดเก่าเมืองซีหนิง เขาจึงพอคุ้นเคยกับภาษามังกรอยู่บ้าง ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเขาเคยเรียนกับจี๊ดจี๊ดที่สะพานอุดีใหม่มาแล้วช่วงหนึ่ง
…ผู้ที่ลักเอาเพลิงต้นกำเนิดไปหรือ นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน
ตอนที่เขากำลังขบคิดปัญหานี้ ทูตสวรรค์สองท่านจากดินแดนเซิ่งกวงก็เปิดการโจมตีทันที
ลำแสงตรงแน่วเส้นนั้นปรากฏออกมาตรงหน้าเขาพอดี มันผ่าท้องนภาออกเป็นสองฝั่ง
แสงนั้นหักเหจากองศาของฟ้าดิน ตกลงไปยังมุมของอีกด้านหนึ่ง
การโจมตีของทูตสวรรค์ทั้งสองตนยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลำแสงก็เร็วขึ้นทุกที ท้องฟ้าค่อยๆ ถูกฟาดฟันจนกลายเป็นแผ่นเล็กแผ่นน้อย
กลวิชาการโจมตีอันแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนเผยออกมาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ยากจะคาดเดาถึงมุมมองการโจมตี มันปรากฏออกมาไม่หยุดเลย
มองตามระดับขั้นของเฉินฉางเซิงแล้ว เขาแทบจะมองรายละเอียดไม่ชัดเจนเลย แต่เขายังคงรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างข้างในนั้น
นั่นก็คือประสบการณ์และความชาญฉลาดที่แท้จริงในการต่อสู้ของทูตสวรรค์ทั้งสองตนนั้น สีแดงชาดสาดส่องไปทั่วท้องนภา ร่องรอยของแสงที่ตัดผ่าน นั่นคือร่องรอยหลงเหลือจากหมัดที่พุ่งทะลุก้อนเมฆและไม่เหลียวแลซึ่งหลักการของฟ้าดินเลย มันเข้าไปอยู่ในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิงตามปลายนิ้วของเปี๋ยยั่งหง
เมื่อเวลาผ่านพ้นไป แสงเหล่านั้นก็เพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น สาดส่องพาดพันกันไปมา ถักทอเป็นเปลวสีขาวโพลนผืนหนึ่ง
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง
เกิดคลื่นยักษ์นับไม่ถ้วน พวกมันต่างก็ถาโถมเข้าหาฝั่งที่มีขอบเขตแต่ไร้รูปร่างเหล่านั้นไม่หยุดหย่อน
เฉินฉางเซิงได้สติกลับมา เขาไม่มีความรู้สึกไม่สบายอื่นใดนอกจากความรู้สึกเจ็บจางๆ ในห้วงแห่งจิตเท่านั้น
ภายหลังเขารู้สึกถึงความร้อนนิดหน่อย หรือหากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ มันเป็นความรู้สึกเหมือนน้ำร้อนลวกผิวกาย
เขายังคงนั่งสังเกตเหตุการณ์ ก่อนจะพบว่าเส้นทางนับพันในดินแดนลึกลับและทุ่งหิมะแสงดาวกำลังแผดเผา
เพลิงนั้นไม่ได้รุนแรงเท่าใดนัก แต่ผิวทุ่งหิมะนับหมื่นลี้นั้นกำลังมอดไหม้ เปลวไฟสีจางนั้นค่อยๆ ลุกลามไปยังที่ที่อยู่ไกลขึ้น
นิ้วของเปี๋ยยั่งหงผละออกจากหว่างคิ้วของเขา แต่ประสบการณ์ของการต่อสู้ครั้งนั้นและความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการของสวรรค์และโลกในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อันสำคัญยิ่งกว่าของผู้แข็งแกร่ง ยังรวมไปถึงความตั้งใจแรงกล้าที่ปรารถนาในการต่อสู้จนถึงขั้นเปี่ยมไปด้วยอณูสังหารของทูตสวรรค์ทั้งสองตนจากดินแดนเซิ่งกวง ล้วนแล้วแต่ยังคงปรากฏอยู่ในดวงจิตของเขา
ไม่ต้องสงสัยเลย นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเฉินฉางเซิงหลังจากหมื่นกระบี่กลายเป็นมังกรที่สวนโจว
กระบี่นับร้อยที่ลอยเคว้งสงบนิ่งอยู่นอกห้องนั้น รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขา ตัวกระบี่สั่นเทา ส่งเสียงหึ่งๆ คำรามต่ำออกมา
ทั้งเมืองไป๋ตี้ล้วนรู้สึกได้ถึงเจตจำนงกระบี่ที่ทรงพลังและไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้
เหล่านักพรตและนักรบเผ่าหมีที่อยู่ในตรอกเหล่านั้น ต่างถอยห่างออกไปอย่างไม่รู้ตัว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว เมื่อเฉินฉางเซิงลืมตาตื่นขึ้นมา กดความรู้สึกที่ปรารถนาจะทำสงครามนั้นไว้ กระบี่ที่เต็มไปด้วยเจตจำนงการต่อสู้ซึ่งปกคลุมไปทั้งบ้านหลังนั้นก็ได้รับการหยุดยั้งเอาไว้เช่นกัน
เขาแจ้งแก่ใจนักว่าในหนทางต่อไปภายภาคหน้า ความรู้ที่เปี๋ยยั่งหงหลงเหลือไว้ให้เขาในห้วงแห่งจิตนี้จะต้องช่วยเหลือเขาหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ไม่จำเป็นไปได้มากแน่ และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าผู้แข็งแกร่งจากดินแดนเซิ่งกวง ประสบการณ์และเจตจำนงการต่อสู้ในห้วงแห่งจิตนี้จะต้องช่วยให้เขามีอำนาจมากขึ้นเป็นแน่
เปี๋ยยั่งหงมองไปยังเซวียนหยวนผ้อที่ยังคงไม่ได้สติ พลางเอ่ย “ยามที่ข้าต่อกรกับสองท่านนั้นข้าได้ใช้ วิชาหมัดชุดหนึ่ง ยังเคยเอ่ยกับเขาก่อนหน้าว่า หากต่อไปเขาสนใจวิชาหมัดนี้หรือมีข้อสงสัยใด ใต้เท้าสังฆราชโปรดช่วยข้าชี้แนะเขาสักรอบหนึ่ง”
เขาชื่นชอบในตัวของหนุ่มน้อยเผ่าหมีผู้นี้มาก รู้สึกว่ามีวาสนาต่อกัน อีกอย่างทั้งสามีและภรรยาคู่นี้ก็ต่างได้รับความกรุณามา ดังนั้นเมื่อวานจึงได้ให้คำแนะนำไป
เดิมทีวันนี้เขาอยากจะนำวิชาหมัดนี้สอนให้แก่เซวียนหยวนผ้ออย่างจริงจัง แต่ตอนนี้เมื่อพิจารณาแล้ว คิดว่าคงต้องรบกวนเฉินฉางเซิงเสียแล้ว
เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “เดิมทีเขาก็เป็นคนของสำนักฝึกหลวง ขอผู้อาวุโสโปรดวางใจ”
ในภาพฉากเหล่านั้น เขามองเห็นใบหน้าทูตสวรรค์สองตนและท่วงท่าการต่อสู้ของพวกเขา แต่ยังคงมีข้อสงสัยในใจมากมาย
โดยเฉพาะแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาส่งออกมานั้น สำหรับเขาแล้วมันช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
โลหิตและเนื้อหนังในกายเขาล้วนเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ชนิดนั้น
นี่เป็นที่มาของชื่อดินแดนนั่นหรือ
เกี่ยวกับดินแดนแสงศักดิ์สิทธิ์อันลึกลับและห่างไกลนั่น คัมภีร์สามพันมหามรรคเองก็มิได้มีบันทึกไว้มากมายนัก มีเพียงไม่กี่คำในชื่อของเรื่องเล่าเท่านั้นที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือเก่าแก่บางเล่ม
แต่เล็กเฉินฉางเซิงก็อ่านหนังสือคล่องแคล่ว เขาเองอ่านหนังสือมามากมาย เป็นไปได้ว่าเขากำเนิดในดินแดนเซิ่งกวง แต่ในช่วงสิบกว่าปีแรกของชีวิตเขา กลับไม่มีความรู้ใดเกี่ยวกับดินแดนเซิ่งกวงเลย
คราแรก เขาไม่รู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนเซิ่งกวงเสียด้วยซ้ำ
จวบจนกระทั่งซูหลีนำเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้จากไป เขากับสวีโหย่วหรงได้มีโอกาสพูดคุยกันบนสะพานหน่ายเหอเรื่องทิศทางที่ผู้อาวุโสทั้งสองท่านจากไป เขาจึงเกิดแนวความคิดนี้ขึ้นมา และจนกระทั่งถึงการเปลี่ยนเแปลงของสุสานเทียนซู เขามองเห็นนักบวชท่านนั้นผ่านสายตาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ จึงได้แน่ชัดว่าที่แท้ดินแดนเซิ่งกวงนั้นมีอยู่จริงๆ
…เผ่าอี๋หนีไปอยู่ที่นั่นจริงๆ ภายใต้ท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวที่นั่นมีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน
จากนั้นก็เป็นค่ำคืนแห่งสันเขาหิมะ
ราชามารผู้ยิ่งใหญ่ที่เกือบจะครองแผ่นดินใหญ่สิ้นเสียแล้วภายใต้ลำแสงที่มาจากดวงดาวนั้น
ลำแสงนั้นสั่นสะเทือนไปทั้งดินแดน และก็ทำให้เฉินฉางเซิงไม่สบายใจอย่างยิ่งยวดเช่นกัน
เขาไม่เคยลืมว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก่อนสิ้นพระชนม์เคยทำการอันใดเอาไว้
นางแผดเผาวิญญาณเทพดวงสุดท้าย ทำร้ายนักบวชที่อยู่ริมแม่น้ำซีหนิงท่านนั้น นางไม่กังวลด้วยซ้ำว่าตนนั้นจะไม่มีผู้สืบเชื้อสาย
ครานั้นไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนั้น
ยามนี้ เฉินฉางเซิงแจ้งแก่ใจแล้ว