ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 172 หลายปีต่อมาจึงเข้าใจ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ร่างกายเปี๋ยยั่งหงได้รับบาดเจ็บสาหัส การเคลื่อนไหวจึงช้าไปมาก เฉินฉางเซิงสามารถหลบหลีกได้โดยง่าย แต่เขาก็ไม่ได้หลบ เนื่องจากว่าเชื่อใจอีกฝ่าย

อู๋ฉยงปี้ที่เห็นฉากนี้เข้า ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ แต่ตกใจมาก นางอยากจะไปหยุดยั้งไว้แต่กลับนึกถึงคำกล่าวของเปี๋ยยั่งหงก่อนหน้า สุดท้ายก็ไม่กล้าทำอะไร

ลมปราณอันอบอุ่นและนุ่มนวลหาใดเปรียบ หอมหวานราวกับสุราเลิศรส หลั่งไหลเข้าสู่หว่างคิ้วของเฉินฉางเซิงตามปลายนิ้วของเปี๋ยยั่งหง สุดท้ายก็หลั่งไหลเข้าไปจนหมด

ห้วงแห่งจิตอยู่ใต้หว่างคิ้วนั้นเอง ไม่อย่างนั้นดวงตาทั้งสองข้างของหนานเค่อคงไม่สามารถยิ่งมองยิ่งไกลได้หรอก

แสงสว่างมากมายสาดส่องไปยังห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง ไม่นานก็กลายเป็นภาพฉากต่างๆ มากมาย

สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นภาพฉากที่เปี๋ยยั่งหงกำลังต่อกรกับทูตสวรรค์แสงศักดิ์สิทธิ์สองตนอยู่ตรงหน้าผาและบนฟากฟ้า

ภาพเหล่านั้นชัดเจนยิ่งนัก เหมือนจริงที่สุด ราวกับทุกอย่างปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา เหมือนจริงเสียจนยากจะหาใดเทียบ

ในบรรดาภาพมุมมองหลัก นอกจากนี้ยังช่วยให้เขามองเห็นทุกอย่างผ่านมุมมองของเปี๋ยยั่งหง ได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นด้วยตัวของเขาเอง

เขาเห็นมู่จิ่วซือที่กำลังหลบหนีด้วยสีหน้าหวาดกลัว มองเห็นมู่ฮูหยินที่สีหน้าสงบและสง่างาม

มีต้นไม้อยู่ข้างหน้าผา สายลมโชยพัดเงาไม้พลิ้วไหว และกลายเป็นมุมเสื้อคลุมสีดำ

บนนภามีเมฆา รอยแยกของเมฆามีลำแสงสาดส่องมายังโลก ในนั้นมีสองสิ่งมีชีวิตผู้แข็งแกร่งซึ่งมาจากต่างแดน

พวกเขามีปีกขาวสะอาด ไม่ได้มีการแบ่งแยกเพศแต่อย่างใด เปล่งประกายแสงอันศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ รวมไปถึงลมปราณอันแก่กล้าหาที่เปรียบไม่ได้ ทำให้คนจดจ้องมิได้เลย ราวกับหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก

แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาไม่ได้มีอารมณ์ด้านดีหรือด้านลบของมนุษย์ หว่างคิ้วปรากฏออกมาซึ่งความเฉยเมยที่อยู่เหนือทุกสรรพสิ่งบนโลก

เมื่อมองจากในบางมุม พวกเขาก็ช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก

พวกเขามิใช่ทูตสวรรค์จากดินแดนเชิ่งกวงหรือ

เฉินฉางเซิงยังคงได้ยินเสียงของพวกเขา

ภาษาที่พวกเขาใช้นั้นน่าจะเป็นภาษาของดินแดนเชิ่งกวง เสียงสูงเสียงต่ำแปลกประหลาดและซับซ้อนยิ่งนัก

เพราะบรรดาฉากเหล่านี้เกิดขึ้นจากดวงจิตของเปี๋ยยั่งหง ดังนั้นเสียงของพวกเขานั้นมิได้เหมือนเหตุการณ์จริงในวันนั้น ต่อมาจึงกลายเป็นภาษาของดินแดนนี้ เพียงแค่ถูกสายลมอ่อนพัดผ่าน

เฉินฉางเซิงยังคงฟังเข้าใจอยู่บ้าง

ภาษาของดินแดนเชิ่งกวงใกล้เคียงกับภาษาของเผ่ามังกรอยู่บ้าง

ในปีนั้นยามท่องจำคัมภีร์สามพันมหามรรคเก่าเก็บม้วนสุดท้ายที่วัดเก่าเมืองซีหนิง เขาจึงพอคุ้นเคยกับภาษามังกรอยู่บ้าง ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือเขาเคยเรียนกับจี๊ดจี๊ดที่สะพานอุดีใหม่มาแล้วช่วงหนึ่ง

…ผู้ที่ลักเอาเพลิงต้นกำเนิดไปหรือ นั่นมันหมายความว่าอย่างไรกัน

ตอนที่เขากำลังขบคิดปัญหานี้ ทูตสวรรค์สองท่านจากดินแดนเซิ่งกวงก็เปิดการโจมตีทันที

ลำแสงตรงแน่วเส้นนั้นปรากฏออกมาตรงหน้าเขาพอดี มันผ่าท้องนภาออกเป็นสองฝั่ง

แสงนั้นหักเหจากองศาของฟ้าดิน ตกลงไปยังมุมของอีกด้านหนึ่ง

การโจมตีของทูตสวรรค์ทั้งสองตนยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลำแสงก็เร็วขึ้นทุกที ท้องฟ้าค่อยๆ ถูกฟาดฟันจนกลายเป็นแผ่นเล็กแผ่นน้อย

กลวิชาการโจมตีอันแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนเผยออกมาอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ยากจะคาดเดาถึงมุมมองการโจมตี มันปรากฏออกมาไม่หยุดเลย

มองตามระดับขั้นของเฉินฉางเซิงแล้ว เขาแทบจะมองรายละเอียดไม่ชัดเจนเลย แต่เขายังคงรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างข้างในนั้น

นั่นก็คือประสบการณ์และความชาญฉลาดที่แท้จริงในการต่อสู้ของทูตสวรรค์ทั้งสองตนนั้น สีแดงชาดสาดส่องไปทั่วท้องนภา ร่องรอยของแสงที่ตัดผ่าน นั่นคือร่องรอยหลงเหลือจากหมัดที่พุ่งทะลุก้อนเมฆและไม่เหลียวแลซึ่งหลักการของฟ้าดินเลย มันเข้าไปอยู่ในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิงตามปลายนิ้วของเปี๋ยยั่งหง

เมื่อเวลาผ่านพ้นไป แสงเหล่านั้นก็เพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น สาดส่องพาดพันกันไปมา ถักทอเป็นเปลวสีขาวโพลนผืนหนึ่ง

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นในห้วงแห่งจิตของเฉินฉางเซิง

เกิดคลื่นยักษ์นับไม่ถ้วน พวกมันต่างก็ถาโถมเข้าหาฝั่งที่มีขอบเขตแต่ไร้รูปร่างเหล่านั้นไม่หยุดหย่อน

เฉินฉางเซิงได้สติกลับมา เขาไม่มีความรู้สึกไม่สบายอื่นใดนอกจากความรู้สึกเจ็บจางๆ ในห้วงแห่งจิตเท่านั้น

ภายหลังเขารู้สึกถึงความร้อนนิดหน่อย หรือหากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ มันเป็นความรู้สึกเหมือนน้ำร้อนลวกผิวกาย

เขายังคงนั่งสังเกตเหตุการณ์ ก่อนจะพบว่าเส้นทางนับพันในดินแดนลึกลับและทุ่งหิมะแสงดาวกำลังแผดเผา

เพลิงนั้นไม่ได้รุนแรงเท่าใดนัก แต่ผิวทุ่งหิมะนับหมื่นลี้นั้นกำลังมอดไหม้ เปลวไฟสีจางนั้นค่อยๆ ลุกลามไปยังที่ที่อยู่ไกลขึ้น

นิ้วของเปี๋ยยั่งหงผละออกจากหว่างคิ้วของเขา แต่ประสบการณ์ของการต่อสู้ครั้งนั้นและความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการของสวรรค์และโลกในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อันสำคัญยิ่งกว่าของผู้แข็งแกร่ง ยังรวมไปถึงความตั้งใจแรงกล้าที่ปรารถนาในการต่อสู้จนถึงขั้นเปี่ยมไปด้วยอณูสังหารของทูตสวรรค์ทั้งสองตนจากดินแดนเซิ่งกวง ล้วนแล้วแต่ยังคงปรากฏอยู่ในดวงจิตของเขา

ไม่ต้องสงสัยเลย นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเฉินฉางเซิงหลังจากหมื่นกระบี่กลายเป็นมังกรที่สวนโจว

กระบี่นับร้อยที่ลอยเคว้งสงบนิ่งอยู่นอกห้องนั้น รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขา ตัวกระบี่สั่นเทา ส่งเสียงหึ่งๆ คำรามต่ำออกมา

ทั้งเมืองไป๋ตี้ล้วนรู้สึกได้ถึงเจตจำนงกระบี่ที่ทรงพลังและไม่มีผู้ใดเทียบเทียมได้

เหล่านักพรตและนักรบเผ่าหมีที่อยู่ในตรอกเหล่านั้น ต่างถอยห่างออกไปอย่างไม่รู้ตัว

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว เมื่อเฉินฉางเซิงลืมตาตื่นขึ้นมา กดความรู้สึกที่ปรารถนาจะทำสงครามนั้นไว้ กระบี่ที่เต็มไปด้วยเจตจำนงการต่อสู้ซึ่งปกคลุมไปทั้งบ้านหลังนั้นก็ได้รับการหยุดยั้งเอาไว้เช่นกัน

เขาแจ้งแก่ใจนักว่าในหนทางต่อไปภายภาคหน้า ความรู้ที่เปี๋ยยั่งหงหลงเหลือไว้ให้เขาในห้วงแห่งจิตนี้จะต้องช่วยเหลือเขาหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ไม่จำเป็นไปได้มากแน่ และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหล่าผู้แข็งแกร่งจากดินแดนเซิ่งกวง ประสบการณ์และเจตจำนงการต่อสู้ในห้วงแห่งจิตนี้จะต้องช่วยให้เขามีอำนาจมากขึ้นเป็นแน่

เปี๋ยยั่งหงมองไปยังเซวียนหยวนผ้อที่ยังคงไม่ได้สติ พลางเอ่ย “ยามที่ข้าต่อกรกับสองท่านนั้นข้าได้ใช้ วิชาหมัดชุดหนึ่ง ยังเคยเอ่ยกับเขาก่อนหน้าว่า หากต่อไปเขาสนใจวิชาหมัดนี้หรือมีข้อสงสัยใด ใต้เท้าสังฆราชโปรดช่วยข้าชี้แนะเขาสักรอบหนึ่ง”

เขาชื่นชอบในตัวของหนุ่มน้อยเผ่าหมีผู้นี้มาก รู้สึกว่ามีวาสนาต่อกัน อีกอย่างทั้งสามีและภรรยาคู่นี้ก็ต่างได้รับความกรุณามา ดังนั้นเมื่อวานจึงได้ให้คำแนะนำไป

เดิมทีวันนี้เขาอยากจะนำวิชาหมัดนี้สอนให้แก่เซวียนหยวนผ้ออย่างจริงจัง แต่ตอนนี้เมื่อพิจารณาแล้ว คิดว่าคงต้องรบกวนเฉินฉางเซิงเสียแล้ว

เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “เดิมทีเขาก็เป็นคนของสำนักฝึกหลวง ขอผู้อาวุโสโปรดวางใจ”

ในภาพฉากเหล่านั้น เขามองเห็นใบหน้าทูตสวรรค์สองตนและท่วงท่าการต่อสู้ของพวกเขา แต่ยังคงมีข้อสงสัยในใจมากมาย

โดยเฉพาะแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาส่งออกมานั้น สำหรับเขาแล้วมันช่างคุ้นเคยยิ่งนัก

โลหิตและเนื้อหนังในกายเขาล้วนเป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ชนิดนั้น

นี่เป็นที่มาของชื่อดินแดนนั่นหรือ

เกี่ยวกับดินแดนแสงศักดิ์สิทธิ์อันลึกลับและห่างไกลนั่น คัมภีร์สามพันมหามรรคเองก็มิได้มีบันทึกไว้มากมายนัก มีเพียงไม่กี่คำในชื่อของเรื่องเล่าเท่านั้นที่ถูกกล่าวถึงในหนังสือเก่าแก่บางเล่ม

แต่เล็กเฉินฉางเซิงก็อ่านหนังสือคล่องแคล่ว เขาเองอ่านหนังสือมามากมาย เป็นไปได้ว่าเขากำเนิดในดินแดนเซิ่งกวง แต่ในช่วงสิบกว่าปีแรกของชีวิตเขา กลับไม่มีความรู้ใดเกี่ยวกับดินแดนเซิ่งกวงเลย

คราแรก เขาไม่รู้ถึงการมีอยู่ของดินแดนเซิ่งกวงเสียด้วยซ้ำ

จวบจนกระทั่งซูหลีนำเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้จากไป เขากับสวีโหย่วหรงได้มีโอกาสพูดคุยกันบนสะพานหน่ายเหอเรื่องทิศทางที่ผู้อาวุโสทั้งสองท่านจากไป เขาจึงเกิดแนวความคิดนี้ขึ้นมา และจนกระทั่งถึงการเปลี่ยนเแปลงของสุสานเทียนซู เขามองเห็นนักบวชท่านนั้นผ่านสายตาของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ จึงได้แน่ชัดว่าที่แท้ดินแดนเซิ่งกวงนั้นมีอยู่จริงๆ

…เผ่าอี๋หนีไปอยู่ที่นั่นจริงๆ ภายใต้ท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวที่นั่นมีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน

จากนั้นก็เป็นค่ำคืนแห่งสันเขาหิมะ

ราชามารผู้ยิ่งใหญ่ที่เกือบจะครองแผ่นดินใหญ่สิ้นเสียแล้วภายใต้ลำแสงที่มาจากดวงดาวนั้น

ลำแสงนั้นสั่นสะเทือนไปทั้งดินแดน และก็ทำให้เฉินฉางเซิงไม่สบายใจอย่างยิ่งยวดเช่นกัน

เขาไม่เคยลืมว่าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก่อนสิ้นพระชนม์เคยทำการอันใดเอาไว้

นางแผดเผาวิญญาณเทพดวงสุดท้าย ทำร้ายนักบวชที่อยู่ริมแม่น้ำซีหนิงท่านนั้น นางไม่กังวลด้วยซ้ำว่าตนนั้นจะไม่มีผู้สืบเชื้อสาย

ครานั้นไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนั้น

ยามนี้ เฉินฉางเซิงแจ้งแก่ใจแล้ว