เฉินฉางเซิงยังคงมีหลายเรื่องที่ไม่เข้าใจ
คืนนั้นที่สุสานเทียนซู นักบวชที่มาจากต่างแดนนั่นมิได้ใช้สถานะจริง แต่ลักลอบใช้สถานะของวิญญาณเทพเพื่อเข้ามายังที่แห่งนั้น
แต่เปี๋ยยั่งหงใช้รูปลักษณ์กายจริงในการเผชิญหน้ากับทูตสวรรค์จากดินแดนเซิ่งกวงทั้งสองนั่น พวกเขามาได้อย่างไรกัน
หากว่าสามารถไปมาหาสู่ระหว่างสองดินแดนง่ายถึงเพียงนี้ อย่างนั้นเหตุใดก่อนหน้านี้คนจากดินแดนเซิ่งกวงจึงไม่เคยปรากฏตัวเลยเล่า
เขาเอ่ยคำถามนี้กับเปี๋ยยั่งหง ทั้งยังถามอีกว่าในปีนั้นเผ่าอี๋เหตุใดจึงเลือกที่จะหลบหนีไปยังดินแดนเซิ่งกวง พวกเขาใช้วิธีการใดกัน
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ระหว่างเผ่ามารและดินแดนเซิ่งกวงนั้นมีความสัมพันธ์เช่นใดกันแน่
เปี๋ยยั่งหงมิได้ตอบอย่างชัดเจน เนื่องจากเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าการคาดเดาของตนนั้นจะถูกต้องหรือไม่ เขาไม่อยากให้การคาดเดาของเขามีผลต่อการตัดสินใจของเฉินฉางเซิง
เขาเอ่ยตอบเฉินฉางเซิงว่า “หากเป็นเรื่องนี้ ท่านควรไปสอบถามจากอาจารย์ของท่าน”
วาจานี้ไม่ผิด ซางสิงโจวก็คือผู้ที่เข้าใจในดินแดนเซิ่งกวงมากที่สุดบนโลกใบนี้
เขาเก็บตัวเฉินฉางเซิงมาได้จากริมแม่น้ำ ขับไล่มังกรยักษ์สีเหลืองทองไป เชิญนักบวชเผ่าอี๋วิญญาณเทพผู้นั้นมายังโลกเผื่อต่อกรกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
ในเรื่องทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับดินแดนเซิ่งกวงล้วนมีเงาของเขาหรือไม่ก็มีเขาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ
แต่เรื่องเหล่านั้นล้วนเกี่ยวข้องกับเฉินฉางเซิง
เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรเอ่ยคำไหนดี
เปี๋ยยั่งหงมองเขาก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ท่านต้องระวังหน่อยแล้ว”
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายของเขา
สงครามเทพศักดิ์สิทธิ์ในวันก่อน นั่นคือการปิดล้อมสังหารผู้แข็งแกร่งจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ของมู่ฮูหยินและเผ่ามาร ที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังมากกว่านั้นก็คือ นี่มันเกี่ยวพันไปถึงชนต่างเผ่าที่อยู่อีกด้านของดวงดาว เผ่าพันธุ์มนุษย์ต้องทำการตอบโต้อย่างแข็งแกร่งและทรงพลัง เฉินฉางเซิงในฐานะใต้เท้าสังฆราชแน่นอนว่าต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ตามภาระหน้าที่ ในขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญหน้ากับความกดดันเช่นกัน
ที่สำคัญก็คือ เขาต้องทำความเข้าใจก่อนว่าซางสิงโจวคิดเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร
เรื่องเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องในอนาคต ตอนนี้เรื่องที่เขาต้องจัดการนั้นมีมากมายแล้ว
เฉินฉางเซิงมองไปยังอู๋ฉยงปี้เสียที
อู๋ฉยงปี้ถลึงตามองเขากลับไป
เฉินฉางเซิงถอนสายตากลับมา แล้วเอ่ยกับเปี๋ยยั่งหงว่า “ไม่ต้องเอ่ยอะไรจริงๆ หรือ”
เปี๋ยยั่งหงส่ายหน้า
เฉินฉางเซิงมองไปยังเซวียนหยวนผ้อที่กำลังไม่ได้สติ
เซวียนหยวนผ้อรูปร่างสูงใหญ่ และมีเคราเกือบทั้งหน้า มองดูคงมีอายุมากแล้ว แต่เรื่องจริงคือเขาเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของสำนักฝึกหลวงเลยทีเดียว
เฉินฉางเซิงและถังซานสือลิ่ว ซูม่ออวี๋ เจ๋อซิ่วรวมถึงคนอื่นๆ ปกติก็ชอบหยอกล้อเซวียนหยวนผ้อมาก แต่ก็รักเขามากด้วย
ไม่รู้ว่าเซวียนหยวนผ้อเมื่อไรจึงจะฟื้นขึ้นมา
……
……
เฉินฉางเซิงเดินออกมาจากตัวบ้าน กำชับมุขนายกแห่งอารามเต๋าซีหวงว่า ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าไปในตรอกแม้แต่ก้าวเดียว
มุขนายกรับคำเสียงต่ำๆ มิได้ถามคำถามโง่ๆ อย่างเช่นหากมีคนเข้ามาจะทำอย่างไร ในเมื่อไม่อนุญาตให้ผู้ใดก้าวเข้ามา อย่างนั้นต่อให้จักรพรรดิขาวและมู่ฮูหยินมาเอง หรือแม้แต่ซางสิงโจวมาเองก็เข้าไปไม่ได้
เมื่อรับรู้ได้ถึงลมปราณของค่ายกลพระราชวังหลีที่แน่ชัดและลมปราณของผู้แข็งแกร่งอื่นๆ กว่าสิบสายระหว่างตรอกซงถิง เฉินฉางเซิงก็วางใจไปหลายส่วน
เสียงกระเรียนร้องขึ้น เขาขี่กระเรียนขาวทะยานขึ้นไปบนนภาแล้ว กระบี่นับร้อยรอบตัวบ้านต่างก็ส่งเสียงผ่านอากาศ ติดตามเขาไป
เขารู้ว่าที่นั่นคงไม่มีอะไร แต่ยังคงกังวลและประหม่าอยู่ไม่น้อย
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สังเกตว่าก่อนจากมากระเรียนขาวได้เหลือบมองไปยังวัดเทียนซู่หนึ่งที ราวกับกำลังขอคำแนะนำจากใครบางคนอยู่
……
……
หลังจากแน่ใจแล้วว่าเฉินฉางเซิงจากไปแล้ว อู๋ฉยงปี้ก็ได้สติกลับมา นางพุ่งตัวไปหาเปี๋ยยั่งหงก่อนตะคอกเสียงดัง “ท่านเสียสติไปแล้วรึ หากเกิดอะไรขึ้นจะทำอย่างไรเล่า”
ที่เอ่ยนั้นหมายถึงเปี๋ยยั่งหงใช้นิ้วมือเพียงนิ้วเดียวก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวความเป็นไปและความชาญฉลาดของสงครามเทพศักดิ์สิทธิ์แก่เฉินฉางเซิงได้
นั่นคือเคล็ดวิชาลับที่สืบถอดต่อกันมากว่าเจ็ดพันกว่าปีของหอวั่นโซ่วเมืองซีหลิง เรียกว่า หนึ่งจุดแดง
อาจารย์สามารถส่งทอดต่อวิชาที่ตนบำเพ็ญมาให้แก่ศิษย์ได้ด้วยวิธีนี้เช่นกัน
เคล็ดวิชานี้อัศจรรย์ยิ่งนักแต่ก็อันตรายเช่นกัน หากไม่ระวังเพียงนิดเคล็ดวิชาก็จะเกิดการสะท้อนกลับได้
หลายปีก่อน ก่อนหน้าที่จะมีการสอบใหญ่หรือการเปิดตัวของสวนโจว ที่หอวั่นโซ่วเมืองซีหลิงจะทำการคัดเลือกนักเรียนที่เก่งกาจแต่ขาดซึ่งประสบการณ์มารับวิชาเอาด้วยวิธีนี้
หากจะใช่วิชานี้ส่งทอดต่อให้ลูกศิษย์ มันก็จะยิ่งอันตรายอย่างถึงที่สุด โดยทั่วไปแล้วต้องเสียชีวิตก่อนแน่อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาหรือว่าผู้รับวิชา เนื่องจากสาเหตุนี้ เจ็ดพันกว่าปีต่อมา เรื่องเยี่ยงนี้จึงเกิดขึ้นที่หอวั่นโซ่วเมืองซีหลิงเพียงสองครั้งเท่านั้น
เมื่อเห็นนิ้วของเปี๋ยยั่งหงผละจากหว่างคิ้วของเฉินฉางเซิงแล้ว อู๋ฉยงปี้กังวลใจนิดหน่อยจริงๆ นางโมโหไปในคราวนี้จึงเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้อยู่
เปี๋ยยั่งหงมองหน้านาง ไม่ได้เอ่ยคำใด
จู่ๆ อู๋ฉยงปี้ก็คิดได้ว่าสองวันนี้เขาเองมักจะมองนางนิ่งๆ ไม่พูดจาเช่นนี้ ทั้งยังคิดได้ว่าช่วงสองปีมานี้เขามักจะมองบรรพตห่างไกลแล้วไม่พูดจาเช่นกัน ยังนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่ผู้คนต่างพูดถึงตนสองสามีภรรยา ไหนจะคนที่ใช้สายตาแทนคำพูดเหล่านั้นอีกเล่า เช่น…ของหวังผ้อ ทันใดนั้นนางเองก็รู้สึกกังวลใจทันที จึงปิดปากลงอย่างไม่สบายใจ
เปี๋ยยั่งหงเป็นสามีภรรยากับนางมาหลายปี แน่นอนว่าต้องรู้ว่านางคิดเรื่องอันใดอยู่ เขาเผยยิ้มน้อยๆ พลางลูบศีรษะนางไปด้วย
อู๋ฉยงปี้ยิ่งกังวลเพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากเปี๋ยยั่งหงช่วงหลายปีมานี้ถึงแม้นว่าจะเคารพนางปกป้องนางเหมือนเดิม แต่ว่าก็นานมากแล้วที่ไม่ได้มีกิริยาอะไรที่ลึกซึ้งเช่นนี้
เพื่อขจัดความไม่สบายใจในใจ นางจึงเปลี่ยนเรื่องเสียทื่อๆ ถามออกไปว่า “เหตุใดจึงไม่บอกเขาไปว่าสวีโหย่วหรงมาที่นี่”
“เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์มิได้ปรากฏตัว แสดงว่านางเองก็ไม่อยากให้เฉินฉางเซิงรู้เรื่อง ข้าเองก็เลยไม่พูด”
เปี๋ยยั่งหงคิดอยู่นาน จึงเอ่ยบอกนางไปด้วยน้ำเสียงหนักใจว่า “ต่อไปเจ้าต้องเคารพใต้เท้าสังฆราชและเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ให้มากหน่อย”
อู๋ฉยงปี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงโมโหว่า “ข้าคร้านจะทำเรื่องที่ไม่จริงใจพวกนี้ อย่างไรเสียพวกเขาก็เห็นแก่หน้าท่านคงมิกล้าทำอะไร หรือท่านคิดจะทอดทิ้งข้าไม่สนใจแล้วหรือ”
เปี๋ยยั่งหงมิได้เอ่ยคำใด เพียงถอนหายใจออกมาเท่านั้น
อู๋ฉยงปี้คิดถึงกิริยาก่อนหน้านี้ของเขา จึงเริ่มไม่สบายใจขึ้นมาแล้ว นางเอ่ยอย่างเชื่องช้า “อย่างมากต่อไป ข้าก็แค่แก้นิสัยนี้เสีย สังหารคนให้น้อยลงหน่อย”
เปี๋ยยั่งหงยังคงไม่พูดจา
สีหน้าของอู๋ฉยงปี้ดูไม่ได้ทันที นางเอ่ยต่อ “หรือว่าท่านจะทิ้งข้าจริงๆ”
นางยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นเรื่องจริง จึงทั้งร้อนรนทั้งโกรธเกรี้ยว สุดท้ายจึงหลั่งน้ำตาออกมา หลังจากนั้นจึงเริ่มเปิดปากผรุสวาทยกใหญ่
สำหรับเปี๋ยยั่งหงแล้ว เนื้อหาที่นางต่อว่าล้วนไม่มีอะไรใหม่เลย ไปๆ มาๆ ก็ล้วนเป็นคำพูดไม่กี่ประโยคนั้น ตาแก่คนไร้สำนึก เจ้าหนอนหนังสือลืมบุญคุณ หากตอนนั้นไม่ใช่ข้ายื่นมือช่วยเหลือ จะอย่างไรๆ หลังจากนั้นก็เป็นเขาที่เริ่มโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว…
อู๋ฉยงปี้เอ่ยออกมาทั้งน้ำตาว่า “ตอนนี้ข้าไม่มีมือแล้ว ลูกชายก็ไม่มีแล้ว หากท่านจะไปอีก ข้าจะทำอย่างไรเล่า”
เปี๋ยยั่งหงถอนใจ โอบนางเข้าสู่อ้อมแขน พลางตบหลังนางเบาๆ ด้วยเกรงว่านางจะร้องไห้โมโหจนล้มพับไปเสีย
นางเองก็นิสัยโมโหร้ายเช่นนนี้ เขารู้มาตลอด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด อู๋ฉยงปี้ทั้งร้องไห้ทั้งต่อว่าจนเหนื่อย นางพิงตัวในอ้อมกอดเขาก่อนจะหลับลึกไป
แม้แต่ในความฝันยามนอนหลับ มือซ้ายของนางยังคงจับคอเสื้อเขาเอาไว้มั่น ราวกับกลัวว่าเขาจะแอบหนีนางไป
เปี๋ยยั่งหงมิได้นอนหลับ เขามองหน้านางเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องใดอยู่
……
……
เมฆาบนภูเขาสลายตัวไปแล้ว
มีเสียงคลื่นแผ่วเบาจากใต้หน้าผาในระยะไกล
เฉินฉางเซิงเดินลงมาจากนกกระเรียนขาว เขาเดินตรงไปด้านหน้า
เบื้องหน้าคือต้นเทียนซู่ที่สูงเทียมเมฆา
ใต้ต้นไม้มีรูใหญ่หนึ่งรู
ด้านในมีบ้านหลังเล็กอยู่
มีเด็กสาวในชุดสีดำยืนเงียบๆ อยู่หน้าบ้าน