หญิงสาวในชุดสีดำนั้นก็คือมังกรดำนั่นเอง
ในฐานะผู้พิทักษ์ ระหว่างนางและเฉินฉางเซิงนั้นมีความเชื่อมโยงทางจิตวิญญาณที่ยากจะตัดขาดได้ ดังนั้นช่วงนี้นางอยู่เงียบๆ ไม่เปิดเผยตัว เฉินฉางเซิงเองก็ได้มั่นใจว่านางยังปลอดภัยอยู่ เพียงแค่ว่าความสัมพันธ์เช่นนี้ถูกตัดขาดลงโดยต้นเทียนซู่เสียแล้ว เฉินฉางเซิงถึงได้ไม่สามารถทราบตำแหน่งที่อยู่ของนางได้ แต่เมื่อมีเปี๋ยยั่งหงชี้พิกัดให้ การจะหานางให้เจอจึงเป็นเรื่องง่ายนัก
ต้นเทียนซู่สูงใหญ่ถึงเพียงนั้น แน่นอนว่าต้องจุบ้านทั้งหลังลงไปได้แน่ ร่างของมังกรดำจึงดูเล็กและบอบบางไปถนัด
สายตาของเฉินฉางเซิงมองไปยังข้อเท้าของนาง เมื่อเห็นโซ่เหล็กนั่น จึงอดคิดถึงภาพที่เห็นบ่อยๆ ใต้สะพานอุดรใหม่ไม่ได้ จู่ๆ อารมณ์ก็ดิ่งลงอีกครั้ง
มังกรดำเอ่ยขึ้น “เหตุใดท่านจึงมาช้าเพียงนี้”
เฉินฉางเซิงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไรดี
สายตาของมังกรดำมองผ่านไหล่เขาไปยังกระเรียนขาวตัวนั้น สีหน้าจู่ๆ ก็พลันเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นทันที
เฉินฉางเซิงไม่ได้สังเกตถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของนาง และถึงต่อให้เขาสังเกตเห็น ก็คงเดาสาเหตุไม่ถูกเป็นแน่
เขาเดินไปคุกเข่าลงตรงหน้าจูซา เริ่มพิเคราะห์โซ่ตรวนเส้นนั้นที่กักขังนางเอาไว้ยังที่แห่งนี้
ใต้ต้นไม้เกิดเสียงดาบกระทบกันกึกก้องราวกับพิรุณโปรยปราย
และภายในเวลาอันสั้นนั้น กระบี่ลือชื่อกว่าสิบเล่มรวมถึงกระบี่ไร้ราคีก็ทยอยกันลงมือ แต่กลับไม่มีทางสะบั้นโซ่ตรวนนั้นได้เลย
มันแตกต่างกับโซ่ตรวนของสะพานอุดรใหม่ โซ่ตรวนนี้ดูภายนอกราวกับว่ามันไม่มีไอพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ใดที่ตัดขาดการโจมตีได้ แต่กลับผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับหน้าผาแห่งนี้แล้ว ด้านในของมันราวกับมีค่ายกลใดซ่อนอยู่ การโจมตีใดที่เกิดขึ้นกับมันจะถูกส่งตรงไปยังตัวหน้าผาของภูเขาแห่งนี้ทันที
หรือจะว่าอีกอย่างก็คือ หากต้องการตัดโซ่ตรวนนี้ให้ขาดจะต้องทำลายหน้าผาแห่งนี้เสีย
ทำลายหน้าผาแห่งนี้ สำหรับเฉินฉางเซิงในตอนนี้แล้วก็มิใช่เรื่องที่จะทำไม่ได้แต่อย่างใด แต่ปัญหาก็คือนั่นมันอาจจะกระทบกระเทือนไปถึงรากฐานของต้นเทียนซู่ก็เป็นได้ หากถึงตอนนั้นเกิดไฟป่าพุ่งทะลักออกมาจากพื้นดินเล่าจะทำอย่างไร เขาเองสามารถเหาะหนีไปกับกระเรียนขาวได้ แต่จะให้เขามองดูมังกรดำถูกไฟคลอกตายอย่างนั้นนะหรือ
ในเมื่อไม่ได้ อย่างนั้นก็คงต้องคิดหาวิธีทำลายค่ายกลเสีย
เขานึกถึงนามต้องห้ามของภูเขาแห่งนี้ ในใจพลางคิดว่ามันมีคำกล่าวใดหรือไม่นะ
มังกรดำพูดขึ้นมาด้วยอารมณ์ไม่ดีว่า “ทั้งสกุลของจักรพรรดิขาวล้วนคือพยัคฆ์ขาว ของเยี่ยงนี้คือวิธีที่จะเอามารับมือกับคนในเผ่าตน หากมันจะชื่อนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแน่นอน”
เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “ลั่วลั่วกำลังหากุญแจอยู่ ข้ากังวลว่าหากนานเกินไป…หากกรงเสือเองก็เป็นค่ายกล ข้าอยากจะร่อนจดหมายเชิญโหย่วหรงมาที่นี่ด้วย นางน่าจะคิดวิธีจัดการออกเป็นแน่”
ในตอนแรกเขาถามสวีโหย่วหรงว่าจะทำลายจุดคุมขังใต้สะพานอุดรใหม่ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นท่านใต้เท้าสังฆราชที่ลงมือ แต่นางเองก็เก่งมากในเรื่องนี้เช่นกัน
สีหน้าเย็นชาและเยือกเย็นบนใบหน้ามังกรดำหายไปทันที นางโกรธจนตะคอกออกมาว่า “ขี่กระเรียนขาวของหญิงอื่นมาช่วยข้า ท่านทำเรื่องพรรค์นี้ได้อย่างไรกัน! ”
เฉินฉางเซิงสะดุ้งก่อนเอ่ยถาม “เรื่องพรรค์นี้หรือ”
มังกรดำโกรธมากขึ้น นางตะโกนว่า “ท่านยังจะให้นางมาช่วยข้าอีกหรือ ยังจะให้นางมาช่วยข้าถึงสองครั้ง ท่านนี่มีสมองแบบใดกันแน่!”
เฉินฉางเซิงเองก็รู้สึกว่าสมองตนย่ำแย่มาก เนื่องจากเขาไม่รู้เลยว่าเหตุใดมังกรดำจึงต้องโมโหถึงเพียงนี้ คำกล่าวที่เอ่ยมานี้หมายความว่าเยี่ยงไร
เขากับมังกรดำใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่สันเขาหิมะชายแดนทางทิศเหนือกว่าสามปี พวกเขาทานด้วยกันเดินทางด้วยกันพำนักด้วยกัน นับว่าสนิทชิดเชื้อกันแล้ว แต่หลายคราที่เขาเองแทบจะไม่เข้าใจจิตใจนางเลย
ขี่กระเรียนของหญิงอื่นรึ ให้นางมาช่วยเหลือสองครั้งหรือ เรื่องพรรค์นี้เรื่องพรรค์ไหนกันเล่า
เขาอธิบายต่ออย่างไม่รู้ตัว “นางเป็นคู่หมั้นข้าเอง ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก”
มังกรดำเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยว “ท่านเป็นผู้ชายคนแรกของข้า เหตุใดหลายปีมานี้ยังเกรงใจข้าอยู่อย่างนี้เล่า”
……
……
จุดสูงสุดของต้นเทียนซู่อยู่ไกลเหนือเมฆาขึ้นไปอีก
แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านกิ่งไม้ แสงสีทองที่ปรากฏงดงามยิ่งนัก
ปีกสีขาวคู่หนึ่งค่อยๆ เก็บตัว สวีโหย่วหรงยืนอยู่บนกิ่งไม้ที่แกว่งไปมาตามแรงลม
นางยื่นมือออกไปเด็ดลูกหม่อนเพลิงลงมา ดวงตาเป็นประกายนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากเห็น นางกัดไปหนึ่งคำอย่างระมัดระวัง ไม่นางจึงพยักหน้าลงอย่างพออกพอใจ
ต่อมา สีหน้านางเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ได้พอใจอีกต่อไป
มิใช่เพราะลูกหม่อนเพลิงที่ตามตำนานว่าไว้ว่ามีไอพลังปราณเข้มข้นจนทำให้นางได้รับบาดเจ็บ แต่เพราะว่านางได้ยินเสียงพูดคุยที่ลอยมาตามลมจากเบื้องล่าง
“ขี่กระเรียนข้าไปเยี่ยมหญิงอื่นก็แล้วไปเถิด นี่ยังมีถึงสองคน…ปีนั้นม่ออวี่ไม่ได้โกหกข้าจริงๆ ท่านกับพวกนางมีอะไรกันจริงๆ”
……
……
เฉินฉางเซิงได้สติทันที เขาเริ่มรู้แล้วว่าปัญหาอยู่ที่ใด
นับตั้งแต่ที่รู้จักกันที่ใต้สะพานอุดรใหม่ ก็นานมากแล้ว เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น และรู้ถึงความคิดนางมาตลอด
ตอนแรกเขาถอดจิตพิจารณาตนด้วยความเสี่ยงอันตราย เขาจุดไฟเผาทุ่งหิมะที่เกิดขึ้นจากแสงของดวงดาว จนเกือบจะถูกเผาไหม้เสียหมดสิ้น
ในช่วงเวลาสำคัญนั้น มังกรดำกรีดหน้าผากของตน ใช้โลหิตมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งช่วยเขาเอาไว้
และนั่นคือโลหิตแรกที่ล้ำค่าและบริสุทธิ์ที่สุด
ตามกฎของเผ่ามังกรแล้ว หากนางทำอย่างนี้ก็เท่ากับว่าได้เลือกเฉินฉางเซิงเป็นสามีของตนแล้ว
ในปีต่อๆ มา โดยเฉพาะสามปีที่อยู่สะพานอุดรใหม่ สิ่งที่นางคิดนั้นก็คือเรื่องนี้
ที่เฉินฉางเซิงมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ คนที่ควรจะขอบคุณที่สุดก็คือนาง แต่เขาสามารถใช้ชีวิตของตนช่วยนางอย่างไม่ลังเลเลย แต่กับเรื่องนี้เขารับไม่ได้จริงๆ
เนื่องจากเขามีสัญญาหมั้นหมายอยู่แล้ว ต่อให้สัญญานั้นเคยถูกยกเลิกไประหว่างทางก็ตามเถิด
ก่อนหน้านี้เขาเพียงไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้อย่างไร จิตใต้สำนึกบอกให้ตนอย่าคิดไปในทางด้านนั้น
คำพูดที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและคำขอโทษที่จริงแล้วเกิดขึ้นระหว่างเขาและมังกรดำมาหลายครั้งมากแล้ว
สุดท้ายก็จบลงด้วยการที่เขาเลือกจะเงียบ
และสุดท้ายก็ยังคงเป็นมังกรดำที่ทำลายความเงียบนี้เสีย
“เจ้าคนไร้ประโยชน์ ท่านกล้าแต่งหญิงสองคนหรือ หากเพิ่มลั่วลั่วอีกคนก็เป็นสามคน ใต้เท้าสังฆราชเยี่ยงท่านจะเลี้ยงดูไหวหรือ ท่านเกรงกลัวสวีโหย่วหรงถึงเพียงนี้เลยหรือ”
นางมองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ท่านไปจัดการเรื่องด้วยตนเองเถิด แต่ระวังหน่อย อย่ากดดันมู่ฮูหยินมากเกิดไป นางกล้าสังหารท่านจริงๆ”
เฉินฉางเซิงมองนางก่อนเอ่ยด้วยความกังวลว่า “แล้วเจ้าเล่า จะทำอย่างไร”
มังกรดำเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งว่า “ไม่มีผู้ใดกล้าสังหารมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งล้ำค่าแห่งริมแม่น้ำแดงหรอก”
เฉินฉางเซิงมิได้เชื่อในคำกล่าวนี้ เขารู้ว่าเผ่าปีศาจสร้างอาณาจักรได้ แน่นอนว่าต้องขอบคุณในความช่วยเหลือของเผ่ามังกรยักษ์น้ำค้างแข็ง แต่เรื่องการลืมบุญคุณนั้นก็พบเห็นได้บ่อยครั้งนัก ผู้ใดจะรับประกันได้เล่าว่ามู่ฮูหยินจะไปคลั่งอีก แต่ยามนี่เขายังอยู่ที่นี่ก็นับว่าไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆ
เขาคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ย “ขอโทษ”
มังกรดำมองเขาก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจนใจ “เฉินฉางเซิง ข้าคือผู้พิทักษ์ท่าน ท่านอยากฟังข้าพูดสามคำนี้จริงหรือ”
กระเรียนขาวโผบินไปอีกครั้ง
มังกรดำมองไปยังจุดที่เงาของกระเรียนขาวลับไป จู่ๆ นางก็ถอนหายใจเบาๆ
ยามนี้สีหน้าของนางไม่ปรากฏสีหน้าเย่อหยิ่งใดๆ แล้ว ไม่มีรอยยิ้มเย้ยหยัน ไม่มีอารมณ์รุนแรง มีเพียงสัมผัสจางๆ ของความเหงา
ยามนี้นางกลายเป็นเพียงหญิงสาวในชุดดำคนหนึ่งที่มองเห็นคนรักของตนกำลังจากไปไกล
เกิดเสียงหนึ่งดังมาจากต้นเทียนซู่ตอนนี้
“ความโดดเดี่ยวนั้นเป็นเรื่องของคนคนเดียว แต่ความเหงานั้นกลับเป็นเรื่องของคนสองคน เพราะว่านั่นเป็นเรื่องของความคิดคำนึงหลังจากแยกจากกัน”
มังกรดำมองไปด้วยสีหน้ากังวล
ไม่นานนางก็มองเห็นสวีโหย่วหรง
สวีโหย่วหรงมองนางด้วยสีหน้าสงบนิ่งก่อนเอ่ย “ปัญหาก็คือเขาเป็นผู้ชายของข้า เจ้าจะรู้สึกเหงาเพราะเขาได้อย่างไรกัน”