ทันทีที่ ‘เยี่ยเฟิง’ ปรากฏตัว สถานการณ์การต่อสู้ก็เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
ฝ่ายของผู้อาวุโสใหญ่ที่ได้เปรียบก่อนหน้านี้ก็ล้วนตกกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสใหญ่ปราบปรามเยี่ยหมิง เยี่ยหลิงซีและคนอื่น ๆ ไว้ได้ หากฉินเฟิงมาช้ากว่านี้แม้เพียงเล็กน้อย สถานการณ์ก็อาจจะเลวร้ายจนเกินแก้ไข
อย่างไรก็ตาม เขาปรากฏตัวได้ทันเวลาพอดิบพอดี เพราะเหตุนั้น เยี่ยหลิงซีและคนอื่น ๆ จึงบาดเจ็บสาหัสกันเท่านั้น ทว่าชีวิตของพวกเขาจะไม่ตกอยู่ในอันตราย
“ผู้นำไป๋ ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปหาไป๋เสี่ยวหลงและกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
“เจ้าเป็นใครกัน ?”
ไป๋เสี่ยวหลงเพียงมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาว่างเปล่าและงุนงงอย่างที่สุด ราวกับเขาไม่รู้จักฉินอวี้โม่มาก่อน
ฉินอวี้โม่ในวันนี้กลับคืนรูปลักษณ์เดิมโดยสมบูรณ์แล้วซึ่งงดงามชวนตะลึงยิ่งกว่าเดิมมาก แม้รูปลักษณ์ที่นางและอวิ๋นซื่อเทียนปลอมตัวมาในตอนแรกจะทำให้ไป๋เสี่ยวหลงตกตะลึงมากแล้ว ทว่ารูปลักษณ์เดิมของฉินอวี้โม่ในตอนนี้ยิ่งทำให้เขาถึงกับตะลึงงันและพูดไม่ออกอย่างแท้จริง
“ข้าเองเจ้าค่ะ อวี้โม่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเปิดเผยตัวตนของตนออกไป
“เจ้าเป็นใครนะ ?!”
เยี่ยซีผู้ซึ่งเกือบถูกอวิ๋นซื่อเทียนฆ่าตายมองเห็นฉินอวี้โม่และสีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หันไปมองมารยาที่แปลงกายเป็นฉินอวี้โม่หน้านี้ก่อนเลื่อนสายตากลับมายังสตรีงามสะเทือนทั้งใต้หล้าที่แนะนำตัวว่า ‘อวี้โม่’ ด้วยความฉงนงุนงงอย่างที่สุด
“ฮ่า ๆ ๆ เยี่ยซี ขอบคุณเจ้ามากที่พาพวกข้ามาที่จวนตระกูลเยี่ย มันช่วยตัดปัญหาความยุ่งยากให้กับพวกเราได้มากทีเดียว”
ฉินอวี้โม่หัวเราะเบา ๆ และกล่าวด้วยวาจาที่ทำให้เยี่ยซีและเยี่ยไป๋เหมยงุนงงยิ่งกว่าเดิม
“อวี้โม่ หรือว่าเจ้าคือศิษย์น้องของเยี่ยเฟิง...ฉินอวี้โม่ผู้มีชื่อเสียงเรียงนามก้องกังวานไปทั่วดินแดนมหาเทพงั้นรึ ?!”
จู่ ๆ เยี่ยไป๋เหมยก็นึกบางอย่างขึ้นมาและโพล่งออกไป
ตระกูลเยี่ยสืบข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตในอดีตของฉินเฟิงมาแล้วและทราบเกี่ยวกับศิษย์น้องนามว่าฉินอวี้โม่มาก่อน เพราะฉะนั้นหลายคนจึงทราบเรื่องราวของนางอยู่บ้าง เพียงแต่เขาไม่เคยพิจารณาถึงเรื่องนี้มาก่อนและตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
เหตุใดจู่ ๆ ฉินอวี้โม่จึงยอมจำนนต่อเยี่ยซี เหตุใดก่อนหน้านี้ตัวเขาจึงรู้สึกตงิดใจอย่างไม่มีคำตอบ และเหตุใดฉินอวี้โม่จึงไม่เกรงกลัวต่อโอสถพิษของเยี่ยซี ? ที่แท้ทุกอย่างก็เป็นเพราะเหตุนี้นี่เอง
หากเป็นศิษย์น้องของฉินเฟิง โอสถพิษของเยี่ยซีไม่มีทางทำอะไรนางได้อย่างแน่นอน ด้วยสภาวะร่างกายที่พิเศษของฉินอวี้โม่ กอปรกับอสูรพันธสัญญาที่ทรงพลังของนางทำให้นางมีภูมิคุ้มกันต่อพิษทั้งหมดทั้งมวลและพิษทั่ว ๆ ไปจะไม่มีทางส่งผลกระทบต่อนางแม้แต่น้อย
“การที่จะคาดเดาความจริงได้ตอนนี้มันก็สายเกินไปเสียแล้ว เยี่ยไป๋เหมย…เจ้ากระตุ้นความขัดแย้งภายในตระกูลขึ้นมาและต้องการยึดตำแหน่งผู้นำตระกูลเยี่ย หากให้ข้าเดา…คงจะมีใครคนอื่นที่คอยหนุนหลังเจ้าอยู่สินะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะเดินเข้าไปหยุดลงข้าง ๆ ฉินเฟิงและมองผู้อาวุโสใหญ่พลางกล่าวข้อสันนิษฐานของตน
เยี่ยไป๋เหมยมิใช่คนเขลา หากมิใช่เพราะมีใครคนอื่นหนุนหลังอยู่ เขาย่อมตระหนักดีว่าไม่มีทางรักษาตำแหน่งผู้นำตระกูลเยี่ยไว้ได้ต่อให้แย่งชิงมันมาสำเร็จก็ตาม และเมื่อถึงตอนนั้น ความแข็งแกร่งของทั้งตระกูลไม่เพียงแต่จะลดน้อยลงเท่านั้น ทว่ามันจะกระตุ้นให้เกิดความโลภจากขุมกำลังระดับสองเหล่านั้นเช่นกัน
เพราะฉะนั้น สาเหตุที่เป็นไปได้มากที่สุดที่เขากล้าลงมือเช่นนี้ก็คงจะเป็นเพราะมีใครบางคนให้สัญญาว่าจะมอบผลประโยชน์ให้กับเขา สำหรับขุมกำลังที่เสนอผลประโยชน์เหล่านั้น ฉินอวี้โม่ก็พอจะคาดเดาได้ลาง ๆ แล้วเช่นกัน
“เหอะ ในเมื่อเจ้าคาดเดาได้แล้ว ข้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป เยี่ยเฟิง...ฉินอวี้โม่…ข้าไม่สนใจหรอกว่าพวกเจ้าจะมีฝีมือเพียงใด คนที่สนับสนุนให้ข้าขึ้นเป็นผู้นำตระกูลเยี่ยมิใช่คนที่พวกเจ้าจะท้าทายได้ ข้าแนะนำให้พวกเจ้ายอมจำนนเสียแต่โดยดีเถอะ มิเช่นนั้น…ชะตากรรมของเจ้าก็จะเป็นเหมือนกับบิดาของเจ้า !”
เป็นจริงดังที่คิดไว้ วาจาของเยี่ยไป๋เหมยยืนยันข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่ได้อย่างแท้จริง
ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาคือคนของตระกูลหมิง แม้ยังไม่ทราบว่าคนผู้นั้นคือใคร นางก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องมิใช่บุคคลที่มีสถานะต่ำต้อยในตระกูลหมิงอย่างแน่นอน
“เยี่ยหมิง เยี่ยหลิงซี พวกเจ้าคงจะทราบดีว่าในอดีตเยี่ยหลานเก่งกาจมากเพียงใด ทว่าด้วยความแข็งแกร่งในระดับนั้น เขาก็ยังมิใช่คู่มือของสมาชิกตระกูลหมิงเลยสักนิด ตอนนี้เยี่ยชางไห่ก็หมดสติไม่อาจฟื้นขึ้นมา มันจึงเหลือแค่พวกเจ้า การที่เยี่ยเฟิงสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษได้สำเร็จก็เป็นเพียงการเอาไข่ไปกระทบกับหินเท่านั้น”
* 以卵击石 เอาไข่กระทบหิน ความหมายคือ พยายามทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยไม่คำนึงถึงความสามารถของตัวเอง
ต้องกล่าวเลยว่าหลังจากสืบทอดมรดกของบรรพบุรุษมาได้ ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงก็พัฒนาขึ้นถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
แม้แต่เยี่ยไป๋เหมยที่อยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวก็ยังต่อกรกับฉินเฟิงแทบไม่ได้
อย่างไรก็ตาม เพียงนึกถึงตระกูลหมิงที่คอยหนุนหลังอยู่ เยี่ยไป๋เหมยก็เรียกความมั่นใจกลับคืนมาทันที
ไม่ว่า ‘เยี่ยเฟิง’ ในตอนนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด หากเผชิญหน้ากับขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่เช่นตระกูลหมิงก็ไม่มีทางที่เขาจะตอบโต้ได้แน่ วันนี้เยี่ยไป๋เหมยมั่นใจว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลเยี่ยจะตกเป็นของเขาอย่างแน่นอน !
“เหอะ ฝันไปเถอะ ! แม้ว่าข้าจะไม่สามารถรับประกันได้ว่ามันเป็นการเอาไข่ไปกระทบหินรึไม่ แต่ข้ามั่นใจว่าต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตตัวเอง ข้าก็ไม่มีทางยอมให้แผนการชั่วของตระกูลหมิงสำเร็จแน่ ในเมื่อตระกูลหมิงฆ่าบิดามารดาของข้าไป อีกไม่นานข้าก็จะไปที่นั่นและล้างแค้นให้สาสม วันนี้ข้าจะเริ่มจากการกำจัดสุนัขรับใช้ที่แปรพักตร์ไปหาตระกูลหมิงอย่างเจ้าเสียก่อน จากนั้นข้าก็จะปฏิรูปตระกูลขึ้นใหม่และนำพาตระกูลเยี่ยไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง !”
ฉินเฟิงแค่นเสียงเย็นชาและเพิ่มแรงกดดันมากขึ้นส่งผลให้เยี่ยไป๋เหมยไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลย จากนั้นเขาก็โบกมือเพื่อควบแน่นพลังมายากลายเป็นกระบี่เล่มยาวที่ส่องแสงประกายก่อนปล่อยตรงไปที่ตำแหน่งหัวใจของเยี่ยไป๋เหมย
“นายท่านหมิง ช่วยข้าด้วย !”
เยี่ยไป๋เหมยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความตายที่กำลังจะมาเยือนและไม่กล้าประมาทอีกต่อไป เขาตะโกนเสียงดังและจู่ ๆ แรงกดดันอันทรงพลังก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศและปัดเป่าแรงกดดันของฉินเฟิงไปอย่างสิ้นเชิง
อึดใจต่อมา คลื่นพลังรุนแรงก็ผันผวนกลางอากาศก่อนที่ร่างหนึ่งจะปรากฏกายต่อหน้าทุกคน
เขาคือบุรุษวัยกลางคนที่ดูปกติทั่วไปและมีใบหน้าที่เคร่งขรึมไร้รอยยิ้ม อย่างไรก็ตาม ร่างของเขาก็เต็มไปด้วยคลื่นพลังที่รุนแรงอย่างน่าตกใจ เพียงโบกมือเบา ๆ แรงกดดันอันทรงพลังของฉินเฟิงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันทีและเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเขามากนัก
“เจ้าพวกขยะไร้น้ำยา !”
บุรุษผู้นั้นชำเลืองมองเยี่ยไป๋เหมยและคนของฝั่งผู้อาวุโสใหญ่อย่างเย็นชาขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงดูถูกดูแคลนอย่างชัดเจน
ตระกูลหมิงให้การสนับสนุนเยี่ยไป๋เหมยเนื่องจากต้องการควบคุมตระกูลเยี่ยให้อยู่ในกำมือ น่าเสียดายที่เยี่ยไป๋เหมยไม่สามารถทำหน้าที่นั้นได้สำเร็จ ต่อให้มีโอสถมากคุณสมบัติที่ช่วยให้ทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวได้ เขาก็ยังโค่นล้มอำนาจของตระกูลเยี่ยไม่ได้และนำพาความอัปยศอดสูมาสู่ตนเองอย่างแท้จริง
“นายท่าน นี่มิใช่เป็นเพราะข้าไร้น้ำยา ทว่าเป็นเพราะเขาได้รับมรดกสืบทอดจากบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยไปและมีความแข็งแกร่งที่บรรลุถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัว ข้าพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วและคงจะยึดครองตระกูลเยี่ยได้สำเร็จหากเขาไม่เข้ามาขวางไว้เสียก่อน”
เยี่ยไป๋เหมยก็อธิบายออกไปอย่างเร่งรีบด้วยกังวลว่า ‘นายท่าน’ จากตระกูลหมิงจะเกิดอาการไม่พอใจขึ้นมาและเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเถ้าถ่านไปโดยตรง
รากฐานของตระกูลหมิงมั่นคงและยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ตระกูลเยี่ยจะคิดเทียบชั้น เพียงผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลหมิงก็มีพลังมากพอที่จะทำลายตระกูลเยี่ยได้แล้ว หากเป็นผู้นำตระกูลหมิง เกรงว่าทั่วทั้งโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อาจต้องสั่นคลอน…
“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกแค่ครั้งเดียว ยอมจำนนแต่โดยดี มิเช่นนั้น…อย่าหาว่าข้าไม่ปรานีก็แล้วกัน !”
คนของตระกูลหมิงกวาดสายตามองฉินเฟิง ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ขณะแผ่แรงกดดันออกไปกดข่มพวกเขาอย่างไม่คิดปรานี
“ตระกูลหมิงของเจ้าฆ่าบิดามารดาของข้าและจับตัวคนรักของข้าไปไม่พอ ทว่าตอนนี้ก็ยังริอาจบุกมาถึงตระกูลเยี่ยเพื่อข่มขู่ข้ารึ ? นี่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าเป็นเป้าหมายที่จะรังแกได้ง่าย ๆ ?!”
แววตาของฉินเฟิงเยือกเย็นอย่างยิ่งขณะมองฝ่ายตรงข้ามด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า
ต่อให้ประจันหน้ากับตระกูลอันดับหนึ่งของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย สำหรับผู้ที่สังหารบิดามารดาและจับตัวฉินเหยียนไป ความบาดหมางระหว่างตัวเขาและตระกูลหมิงดำเนินไปจนถึงจุดที่ไม่มีทางคลี่คลายได้อีกแล้ว
สักวันเขาจะไปที่ตระกูลหมิงด้วยตัวเองและชำระความแค้นทั้งหมดที่ผ่านมา
และผู้ที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้คือเป้าหมายแรกที่จะปูทางให้เขาเหยียบย่ำเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้น !
.
.