สมาชิกจากตระกูลหมิงผู้นี้คือผู้อาวุโสของตระกูลหมิงนามว่า ‘หมิงฮ่วน’ และความแข็งแกร่งของเขาก็จัดเป็นอันดับท้าย ๆ ของตระกูลเท่านั้น
ตระกูลหมิงมีพื้นเพภูมิหลังและรากฐานที่มั่นคงอย่างยิ่งซึ่งเหนือกว่าตระกูลเยี่ยมากนัก บรรดาผู้อาวุโสที่จัดเป็นสิบอันดับแรกของตระกูลก็ล้วนทรงพลังจนแม้แต่เยี่ยชางไห่ก็ไม่อาจเทียบได้ ความแข็งแกร่งของผู้นำตระกูลหมิงเองก็บรรลุถึงขอบเขตที่เย้ยฟ้าท้าดินและหากจะกล่าวว่าเขาเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ มันก็มิใช่เป็นการกล่าวอ้างที่เกินจริง
และก็เป็นเพราะพลังอำนาจของตระกูลหมิงที่ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวางพวกเขามิให้โจมตีตระกูลท่านตาและมารดาของเยี่ยเฟิงในอดีต สุดท้ายแล้วในการต่อสู้ครานั้นก็ทำให้สมาชิกของทั้งตระกูลท่านตาและเยี่ยหลานบิดาของเขาตายไปโดยที่ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต
ฉินเฟิงเคยทราบเรื่องเหล่านี้มาจากเยี่ยชางไห่แล้ว เพราะเหตุนั้น ต่อให้ตระกูลหมิงไม่มาที่นี่ เขาก็คิดจะมุ่งหน้าไปที่ตระกูลหมิงด้วยตัวเองในไม่ช้าก็เร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหมิงจับตัวฉินเหยียนไปและเป็นสิ่งที่ฉินเฟิงไม่มีทางทนอยู่เฉยได้อย่างแน่นอน
“จิ๊จิ๊ เป็นเพียงสมาชิกที่ต่ำต้อยในตระกูลหมิงทว่าริอาจวางท่าโอหังเช่นนี้เลยรึ ? หากตระกูลหมิงของเจ้ายิ่งใหญ่อย่างที่ว่าจริง เจ้าก็คงจะลงมือโจมตีตระกูลเยี่ยอย่างเปิดเผยไปนานแล้วและไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวันนี้เพื่อใช้วิธีการลอบกัด”
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาเย้ยหยันอย่างที่สุดและไม่ได้นึกหวาดหวั่นต่อตระกูลหมิงมากนัก
นางเคยเผชิญหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่งมาแล้วมากมาย แม้ตระกูลหมิงจะทรงพลังมาก ทว่าหากเทียบกับศัตรูของหานโม่ฉือ คนเหล่านี้ก็เป็นได้เพียงมดตัวเล็ก ๆ ที่ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงด้วยซ้ำ
“เจ้าเป็นใคร ?”
หมิงฮ่วนไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนจากตระกูลเยี่ยที่กล้ากล่าววาจาตอบโต้โดยไม่หวาดกลัวต่อแรงกดดันของตนเช่นนี้ สายตาของเขาเลื่อนไปหยุดลงที่ฉินอวี้โม่ขณะแผ่แรงกดดันที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมออกไป
“เหอะ ไม่ว่าข้าจะเป็นใคร เจ้าก็ไม่คู่ควรพอที่จะได้รู้หรอก หากผู้นำตระกูลหมิงของเจ้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง ข้าก็อาจจะไว้หน้าอยู่บ้าง ทว่าผู้อาวุโสหางแถวอย่างเจ้า เพียงเสียเวลาพูดด้วยก็ถือว่าข้าลดตัวลงมามากแล้ว !”
ฉินอวี้โม่หัวเราะอย่างสาแก่ใจและตอบกลับด้วยท่าทางทะนงตนทันที
“ยโสโอหังยิ่งนัก !”
วาจาของฉินอวี้โม่ทำให้หมิงฮ่วนตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนสายตาแสดงความเหยียดหยามระคนโกรธแค้น
“แม้แต่เยี่ยชางไห่ก็ไม่กล้าพูดจาเช่นนี้กับข้า นี่เป็นการที่เจ้านำพาความตายไปสู่ตนเอง !”
ในฐานะผู้อาวุโสของตระกูลหมิง แม้ความแข็งแกร่งของเขาจะจัดอยู่ในอันดับท้าย ทว่าผู้คนในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ แม้แต่เยี่ยชางไห่—ผู้นำตระกูลเยี่ยก็ไม่กล้ากล่าววาจาทะนงตนเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา กล่าวได้ว่าฉินอวี้โม่เป็นคนแรกที่หยามเกียรติเขาเช่นนี้
อึดใจต่อมา เขาก็โบกมือปล่อยก้อนพลังมายาตรงออกไปยังทิศทางของฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่เพียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอและไม่คิดหลบหลีกด้วยซ้ำ นางยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยสีหน้าใจเย็นขณะเพลิงร้อนระอุลุกโชนรอบ ๆ กำปั้นก่อนปล่อยมันออกไปปะทะกับก้อนพลังมายาส่งผลให้ก้อนพลังดังกล่าวหายวับไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
หมิงฮ่วนถึงกับตกตะลึงอีกครั้ง เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่เพิ่งบรรลุเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์ได้เพียงไม่นานเท่านั้น แล้วเหตุใดนางจึงต้านทานการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ?
การโจมตีของหมิงฮ่วนเมื่อครู่เป็นพลังเพียงครึ่งหนึ่งของเขาเท่านั้นและด้วยการที่มีซิวอยู่ข้างกาย พลังนั้นจึงทำอันตรายต่อนางไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพลังในการต่อสู้ของฉินอวี้โม่ ต่อให้ประจันหน้ากับการโจมตีเมื่อครู่อย่างซึ่ง ๆ หน้า มันก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาสำหรับนางและนางสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย
“เป็นเพราะเจ้าอ่อนแอเกินไปยังไงล่ะ !”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างไม่ทุกข์ร้อนและไม่มีทีท่าหวาดหวั่นต่อระดับพลังที่เหนือกว่าของหมิงฮ่วนเลยแม้แต่น้อย
“บัดซบ ! รนหาที่ตายยิ่งนัก !”
หมิงฮ่วนเดือดดาลมากขึ้นเรื่อย ๆ และตรงเข้าไปใกล้ฉินอวี้โม่ขณะที่เตรียมจะใช้ฝ่ามือฟาดเข้าไปเข้าที่นาง
“เหอะ !”
ฉินเฟิงก็แค่นเสียงเล็กน้อยและเข้าไปขัดขวางเขาไว้ทันที
“ตาเฒ่าตระกูลหมิง ที่นี่คือจวนตระกูลเยี่ย มิใช่ที่ที่เจ้าจะทำอะไรได้ตามต้องการ ไม่ช้าก็เร็ว…ข้าจะไปที่ตระกูลหมิงด้วยตัวเองเพื่อสะสางความบาดหมางทั้งหมดระหว่างตระกูลหมิงและข้า ในเมื่อวันนี้เจ้ากล้าเสนอหน้ามาที่นี่คนเดียว เจ้าก็อย่าคิดว่าจะได้กลับออกไปอีกเลย ข้าคงต้องแสดงความเสียใจกับตระกูลหมิงของเจ้าเป็นการล่วงหน้าด้วย !”
แม้ว่าความแข็งแกร่งภายนอกของเขาจะด้อยกว่าหมิงฮ่วนอย่างเห็นได้ชัดและอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะเทียบชั้นกับอีกฝ่ายในการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เขาได้สืบทอดมรดกจากบรรพบุรุษตระกูลเยี่ยและยังไม่ได้ดูดซับพลังงานทั้งหมดเข้าไปโดยสมบูรณ์ การประจันหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังจะสามารถช่วยให้เขาย่อยสลายและดูดซับพลังงานที่เหลือซึ่งยังคงเอ่อล้นอยู่ทั่วร่างกายได้
“อวี้โม่ ฝากเจ้าจัดการเยี่ยไป๋เหมยและคนที่เหลือด้วย ข้าจะจัดการตาเฒ่านี่เอง !”
เขาชี้ไปที่เยี่ยไป๋เหมยผู้ซึ่งหลบอยู่ในระยะไกลและขอให้ฉินอวี้โม่จัดการกับคนผู้นั้นเสียในขณะที่ตนจะวัดฝีมือกับหมิงฮ่วน
“แค่เจ้างั้นรึ ?”
เยี่ยไป๋เหมยชำเลืองมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเยาะเย้ยทันที การที่มีหมิงฮ่วนอยู่ที่นี่ด้วยทำให้เขามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมากและกล่าววาจาได้อย่างทะนงตนยิ่งกว่าเดิม ความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่อยู่เพียงขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราเท่านั้น หากเทียบกับตัวเขา ความแตกต่างระหว่างนางและพลังในขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวนั้นเด่นชัดอย่างมาก กล่าวได้ว่าในเมื่อไม่มีฉินเฟิง ไม่ว่าคนอื่นจะร่วมมือกันมากเพียงใดก็ไม่มีทางที่จะอยู่ในสายตาของเยี่ยไป๋เหมยได้
“มาสู้กันเถอะ อย่ามัวแต่พูดจาไร้สาระเลย !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้กับเยี่ยไป๋เหมยเล็กน้อยทว่าแววตาแสดงจิตสังหารอย่างชัดเจน
เยี่ยไป๋เหมยเป็นคนจุดชนวนเรื่องทั้งหมดและการที่เยี่ยชางไห่ต้องหมดสติไปจนถึงทุกวันนี้ก็คงจะเป็นเพราะฝีมือของเขาเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไร…วันนี้เยี่ยไป๋เหมยก็จะต้องตาย !
เยี่ยหมิงและเยี่ยหลิงซีก็ต้องการจะตรงเข้ามาช่วยอีกแรง ทว่าฉินอวี้โม่ห้ามปรามพวกเขาไว้อย่างรวดเร็ว
“ท่านลุงหมิง ท่านป้าหลิงซี ท่านทั้งสองไปจัดการพวกปลาซิวปลาสร้อยเถอะเจ้าค่ะ ปล่อยให้ข้าจัดการกับคนผู้นี้เอง”
ฉินอวี้โม่มั่นใจว่าตนสามารถเอาชนะเยี่ยไป๋เหมยได้อย่างแน่นอน หากเป็นก่อนหน้านี้ที่นางยังไม่บรรลุเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์ นางก็คงจะมิใช่คู่มือของเยี่ยไป๋เหมย อย่างไรก็ตาม ด้วยพลังในตอนนี้ แม้ไม่ต้องใช้ไพ่ตายทั้งหมดที่มี นางก็มั่นใจว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้
เยี่ยหมิงและเยี่ยหลิงซีลังเลเล็กน้อย ทว่าไม่กล่าวสิ่งใดและเพียงหันหลังกลับไปเพื่อจู่โจมคนอื่น ๆ จากฝั่งของผู้อาวุโสใหญ่
ความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงเท่ากับเยี่ยไป๋เหมย เพราะเหตุนั้น เยี่ยหมิงและคนอื่น ๆ จึงกวาดล้างคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
สถานการณ์การต่อสู้ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่เยี่ยไป๋เหมยคาดคิดไว้แม้แต่น้อย แม้ด้วยการปรากฏตัวของหมิงฮ่วน ฝั่งของเขาก็ยังไม่สามารถขึ้นเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“เหอะ ฉินอวี้โม่ ก่อนหน้านี้พวกเจ้ากล้ามากที่หลอกลวงข้า วันนี้เจ้าจะต้องชดใช้อย่างสาสม !”
เขาตวาดออกไปอย่างเกรี้ยวกราด เพียงนึกถึงเรื่องที่ตนถูกฉินอวี้โม่และสหายเล่นละครตบตา เขาก็โมโหขึ้นมาทันที และเมื่อพิจารณาว่าพวกนางถูกพาเข้ามาในจวนตระกูลเยี่ยโดยเยี่ยซีและเป็นต้นเหตุที่ทำลายแผนการของตนในวันนี้อย่างสิ้นเชิง เขาก็เดือดดาลจนมิอาจควบคุมตนเองได้อีก
เมื่อตระหนักว่าแรงกดดันของตนไม่มีผลใด ๆ ต่อฉินอวี้โม่ เยี่ยไป๋เหมยก็ไม่เสียเวลาใช้แรงกดดันอีกต่อไป กระบี่เล่มยาวปรากฏในมือของเขาและจ้วงแทงตรงเข้าไปที่ฉินอวี้โม่ทันที
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่มีทีท่าตื่นตระหนกแม้แต่น้อย นางเพียงโบกมือเบา ๆ ก่อนที่ซิวและมารยาจะปรากฏข้างกาย
“ตาเฒ่านี่ช่างน่ารังเกียจจริง ๆ อวดเบ่งอย่างไม่อายปากว่าจะฆ่านายหญิงของข้างั้นรึ ? แม้จะมีหน้าตาที่น่าเกลียด ทว่ามีความคิดที่สวยหรูจริงเชียว !”
ซิวกล่าววาจาถากถางทันทีก่อนตรงเข้าโจมตีอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
มารยาก็ไม่กล่าวสิ่งใดและเพียงโจมตีเยี่ยไป๋เหมยจากอีกทิศทางหนึ่ง
นี่มิใช่ครั้งแรกที่อสูรทั้งสองร่วมมือกันและการโจมตีของพวกมันก็ประสานสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์แบบ ซิวจะรับหน้าที่โจมตีเยี่ยไป๋เหมยอย่างซึ่ง ๆ หน้าในขณะที่มารยาจะวางข่ายอาคมอย่างต่อเนื่องเพื่อก่อกวนและขัดจังหวะการโจมตีของเยี่ยไป๋เหมย
เมื่อเผชิญหน้ากับการประสานงานกันของอสูรทรงพลังทั้งสอง ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลเยี่ยก็ต้องรู้สึกปวดหัวขึ้นมาไม่น้อย
แม้มีพลังถึงขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าว ทว่าการถูกรุมล้อมโจมตีโดยอสูรทั้งสองก็ทำให้เขาไม่มีโอกาสใช้พลังเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่และรู้สึกฉุนเฉียวอย่างที่สุด
ข่ายอาคมจำนวนมากที่มารยาวางไว้ในตอนนี้มิใช่สิ่งที่จะฝ่าทำลายได้ง่าย ๆ แม้แต่ผู้ที่ทรงพลังเช่นเยี่ยไป๋เหมยก็ยังต้องเผชิญกับความยากลำบากเช่นกัน