บทที่ 1119 นายท่านไม่ต้องการเพิ่มพลังหรือ?

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,119 นายท่านไม่ต้องการเพิ่มพลังหรือ?

ถุงหอมคือของใช้ส่วนตัวของสตรี

โดยเฉพาะในโลกแห่งวรยุทธ์ สำหรับพวกนางแล้ว มันเป็นของใช้ส่วนตัวที่แทบไม่ต่างไปจากชุดชั้นใน

แล้วการนำถุงหอมมาส่งมอบให้เขาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?

หืม?

นี่คือการสารภาพรักใช่หรือไม่?

นี่มันอะไรกันเนี่ย?

ทำไมสตรีทุกนางถึงต้องหลงรักเขาด้วยนะ?

“ฝากขอบคุณอาจารย์เหยียนด้วย”

หลินเป่ยเฉินรับถุงหอมนั้นมาถือแต่โดยดี

หูเหม่ยเอ๋อร์พึมพำว่า “อยู่ต่อหน้าเรียกพี่เหยียน อยู่ลับหลังเรียกอาจารย์เหยียน”

หลินเป่ยเฉินตอบกลับเสียงเรียบว่า “เพราะข้าเป็นห่วงความรู้สึกของเจ้าไงล่ะ น้องหู”

ด้วยเหตุนี้เอง หูเหม่ยเอ๋อร์จึงเดินกลับไปอย่างมีความสุข

หลินเป่ยเฉินเก็บถุงหอมสีชมพูถุงนั้นกลับเข้าไปในอกเสื้อ โดยไม่สนใจสายตาที่แสดงออกถึงความอิจฉาริษยาของบรรดามือกระบี่ชุดขาวแห่งสำนักกระบี่อมตะเหล่านั้นสักนิด

เพียงไม่นาน ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะจำนวนเก้าสิบแปดคนก็มายืนรวมตัวกันอย่างพร้อมเพียง

แต่เมื่อลองให้เฉียนเหมยคำนวณระดับพลังของลูกศิษย์แต่ละคนดูแล้ว คุณชายหลินก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที

อ่อนแอเกินไป

ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะอ่อนแอมากเกินไป

ผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับหก ซึ่งมีเพียงคนเดียวเท่านั้น

นอกจากนั้นก็มีขั้นปรมาจารย์ระดับสามอีกสองคน ขั้นปรมาจารย์ระดับสองอีกห้าคน ขั้นปรมาจารย์ระดับหนึ่งอีกแปดคน และขั้นผู้ฝึกยุทธ์ตอนปลายอีกสิบสองคน

ส่วนอีกหลายสิบคนที่เหลืออยู่นั้น เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นต้นทั้งสิ้น

เมื่อดูจากขั้นพลังของลูกศิษย์สำนักกระบี่อมตะ หลินเป่ยเฉินก็มองเห็นอนาคตแล้วว่าภารกิจกอบกู้ความรุ่งเรืองให้แก่สำนักแห่งนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว

แต่ในเมื่อรับภารกิจมาแล้ว ก็มีแต่ต้องทำต่อไปให้สำเร็จเท่านั้น

“หลังจากนี้ ข้าจะสาธิตวิธีการฝึกวิชาอย่างเป็นทางการ ข้าเรียกมันว่าเคล็ดวิชาผีบอก ซึ่งเป็นขั้นแรกสู่การหลอมรวมพลังวิญญาณ…”

พูดถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหน้า

ประกายระยิบระยับสว่างวูบวาบ

วูบ! วูบ! วูบ!

แล้วลำโพงบลูทูธสีขาวขนาดเล็กยี่ห้อเสี่ยวหมี่จำนวนสิบเครื่องก็พุ่งเป็นลำแสงสิบสายออกจากมือของเด็กหนุ่มไปตั้งประจำจุดตามเสาหินต่าง ๆ รอบลานฝึก

ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า แสงสว่างจากลำโพงบลูทูธช่างเจิดจ้าเป็นอย่างยิ่ง

“นั่นมันอะไรน่ะ?”

“วัตถุศักดิ์สิทธิ์ใช่หรือไม่?”

“ข้าสัมผัสถึงคลื่นพลังไม่ได้เลย แสดงว่ามันไม่ได้ลงค่ายอาคมเอาไว้”

“แต่สัญชาตญาณบอกข้าว่าวัตถุนี้ย่อมไม่ธรรมดา”

บรรดาลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะล้วนพูดคุยกันด้วยความสงสัยและตื่นเต้นไม่ต่างจากกระต่ายน้อยที่ได้ออกนอกโพรงของพวกมันเป็นครั้งแรก

ไม่กี่ลมหายใจต่อมา หลินเป่ยเฉินก็เชื่อมต่อลําโพงบลูทูธเหล่านั้นเข้ากับโทรศัพท์มือถือของเขา และเปิดการใช้งานแอป NetEase Cloud Music โดยประเดิมเพลงแรกเป็นเพลงประกอบซีรีส์เรื่องหวงเฟยหง

ท่วงทำนองอันคุ้นเคยดังขึ้นรอบลานฝึก

“อารมณ์หยิ่งทะนง แสยะยิ้มชมหมื่นคลื่น”

“เลือดร้อนกว่าดวงตะวัน”

“ใจแข็งเหมือนตีเหล็ก กระดูกเหมือนเหล็กกล้า”

“หัวใจยิ่งใหญ่เกรียงไกรหมื่นลี้”

“สาบานว่าจะเข้มแข็งเป็นผู้กล้า พัฒนาตนเองไม่หยุดยั้ง…”

หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าคนอื่น ๆ รู้สึกอย่างไรบ้าง แต่ตนเองเลือดลมในร่างกายร้อนผ่าวไปหมดแล้ว

ให้ตายเถอะ

เพลงนี้ขึ้นมาทีไร เป็นต้องนึกถึงการฆ่าคนทุกที

ในไม่ช้า บรรดามือกระบี่ชุดขาวในลานฝึกก็เริ่มรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

ยิ่งดนตรีเร่งเร้ามากเท่าไหร่ เลือดลมในร่างกายของพวกเขาก็ยิ่งร้อนระอุมากเท่านั้น เช่นเดียวกับพลังลมปราณที่พุ่งสูง พลังจิตแข็งแกร่ง จิตใจฮึกเหิมด้วยความตื่นเต้น พร้อมรับการฝึกฝนอันหนักหน่วง

เหล่าผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ต่างล่วงรู้ดีว่านี่คือสภาวะร่างกายซึ่งเหมาะสมต่อการเลื่อนขั้นพลังเป็นอย่างยิ่ง

นี่ไม่ใช่สภาวะที่จะเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ

น่ามหัศจรรย์เหลือเกิน

พวกเขาแทบรอที่จะได้ชักกระบี่ออกมาร่ายรำไม่ไหวแล้ว

“ทุกคนคงสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายแล้วสินะ ถูกต้อง นี่คืออิทธิฤทธิ์ของลำนำแห่งเทพเจ้า ซึ่งการรับฟังลำนำเหล่านี้จะช่วยให้สภาวะร่างกายของพวกท่านอยู่ในสภาพสมบูรณ์พร้อมที่สุด และการฝึกวิชาที่แท้จริงจะเริ่มต่อจากนี้ พวกเราจะเปิดฉากด้วยการวิดพื้น 500 ครั้ง…”

หลินเป่ยเฉินก้มตัวลงไปนอนแนบกับพื้นดินและใช้สองแขนดันตัวเองขึ้นมา

เหล่ามือกระบี่ชุดขาวล้วนมองเขาด้วยความมึนงง

นี่คือการฝึกวิชาชนิดใดกัน?

แปลกประหลาด เพียงแค่ใช้มือดันพื้นเท่านั้นหรือ?

“มัวยืนมองกันอยู่ทำไม เหตุไฉนถึงยังไม่รีบฝึกกันอีก”

หลินเป่ยเฉินกระโดดลุกขึ้นมาตวาดเสียงดัง

“อ้อ ได้เลยขอรับ พวกเราจะทำตามเดี๋ยวนี้…”

“พวกเราทำพร้อมกันนะ”

บรรดาลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะตื่นขึ้นมาจากภวังค์และเริ่มเลียนแบบท่าทางของหลินเป่ยเฉินด้วยการวิดพื้นอย่างเป็นระบบระเบียบ

นี่คือภาพที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

ผู้คนจำนวนมากที่เดินผ่านสำนักกระบี่อมตะในยามนั้นได้ยินเสียงเพลงประกอบซีรีส์หวงเฟยหงดึงดูดความสนใจให้เดินมาดูที่ประตู และพวกเขาก็ได้เห็นภาพของชายฉกรรจ์จำนวนมากกำลังวิดพื้นด้วยความขะมักเขม้น

ในไม่ช้า ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองไป๋หยุน

“เจ้าได้ข่าวแล้วหรือยัง? คนของสำนักกระบี่อมตะนอนคว่ำหน้าบนพื้นดินและใช้มือดันตัวเองขึ้นมา ดูเหมือนพวกเขาจะกระทำการบัดสีกับพื้นดินเสียแล้ว…”

“ผู้ควบคุมพฤติกรรมแปลกประหลาดครั้งนี้คือเจ้าปีศาจน้อยหลินเป่ยเฉิน”

“ไม่มีทาง หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลสมองเสื่อม แต่คนของสำนักกระบี่อมตะเป็นคนปกติทั้งนั้น พวกเขาจะยอมทำตามคำสั่งของบุคคลสมองเสื่อมได้อย่างไร?”

“ข้าว่าพวกเขาคงถูกบังคับ”

“น่าสงสารคนของสำนักกระบี่อมตะจริง ๆ”

ทุกหนทุกแห่งในเมืองไป๋หยุนล้วนแต่พูดคุยถึงเรื่องนี้

พวกเขาไม่ทราบเลยว่าหลินเป่ยเฉินมีระดับพลังแข็งแกร่งได้อย่างไร?

ในเมื่อยังมีอาการทางสมองกำเริบอยู่เช่นนี้

สำนักกระบี่อมตะ

การวิดพื้น 500 ครั้งคือเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับคนทั่วไป

แต่ไม่ใช่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์

เพียงชั่วระยะชงน้ำชาหนึ่งถ้วย การวิดพื้นก็เสร็จสิ้น

สีหน้าของทุกคนยังไม่แปรเปลี่ยน หัวใจยังเต้นอย่างมั่นคง ไม่มีอาการเหนื่อยหอบปรากฏให้เห็น

“ประเสริฐ”

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ “หลังจากนี้ เราจะมาเตะขาขึ้นสูงเป็นจำนวน 1,000 ครั้ง และทำทั้งหมดสิบรอบ”

เขาหันไปกวักมือเรียกใครบางคนที่ข้างกาย “นี่ เซียวปิงน้องรัก เจ้าออกมาสาธิตให้ทุกคนดูหน่อยสิ”

ตุบ!

เซียวปิงซึ่งกำลังยืนรับชมความสนุกอยู่ที่ด้านข้างถึงกับทำน่องไก่ย่างหลุดมือตกพื้นเลยทีเดียว

ท่วงท่าที่น่าอายเช่นนี้ ทำไมต้องให้เขาออกไปสาธิตด้วย?

ถ้ารู้อย่างนี้ เขาไม่มีทางมายืนดูความสนุกเด็ดขาด

เขาคือมือสังหารสุกรโลหิตชื่อดังแห่งเมืองไป๋หยุนเชียวนะ ให้ไปยืนเตะขาสูง ๆ สลับซ้ายขวาเช่นนั้นต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก แล้วเซียวปิงผู้นี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

แต่ในเมื่อนี่เป็นคำสั่งของหลินเป่ยเฉิน เซียวปิงจะไม่เชื่อฟังได้อย่างไร ดังนั้นเด็กหนุ่มร่างอ้วนจึงค่อย ๆ เดินออกมาอยู่ด้านหน้าและสาธิตวิธีการเตะขาสลับซ้ายขวาให้ทุกคนได้เห็น

เมื่อบรรดามือกระบี่ชุดขาวเห็นท่วงท่าที่เซียวปิงสาธิตออกมา พวกเขาก็เริ่มปรึกษาหารือกันอีกครั้ง

“น่าอายที่สุด”

“ประหลาดกว่าการดันพื้นเมื่อสักครู่นี้อีก”

“นี่คือการเพิ่มพลังช่วงเอวอย่างนั้นหรือ?”

แต่ระหว่างที่ทุกคนพูดคุยกัน พวกเขาก็เริ่มเลียนแบบท่าทางของเซียวปิง

เนื่องจากนี่เป็นการขยับร่างกายอย่างง่าย ๆ แม้จะน่าอับอายอยู่สักหน่อย แต่ก็หาใช่ปัญหาสำหรับศิษย์เมืองไป๋หยุนไม่ พวกเขาย่อมเข้าใจดีว่าประเด็นสำคัญในการฝึกวิชาครั้งนี้คืออะไร

ต้องชมเชยเลยว่าเซียวปิงเป็นผู้สาธิตที่ดี

เขาอธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจอย่างเรียบง่าย

แต่ต้องไม่ลืมว่านี่ไม่ใช่การออกกำลังกายแบบกลุ่มของพวกเขาครั้งแรก

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

ด้วยวิธีการนี้ เขาจึงไม่ต้องควบคุมการออกกำลังกายทั้งหมดด้วยตนเอง

แต่ไม่รู้เลยว่าเซียวปิงจะถูกนับให้เป็นหนึ่งในศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะด้วยหรือไม่?

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา

ดวงตาของเขาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความดีใจ ก่อนจะหันมามองที่สองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจิน

สาวรับใช้ทั้งสองคนก็สมควรไปออกกำลังกายด้วยเช่นกัน

เพราะหากหลินเป่ยเฉินได้เลื่อนขอบเขตพลังขึ้นสู่ขั้นเซียนระดับสี่เมื่อไหร่ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกนางจะทนรับพลังจากการแชร์สัญญาณไวไฟไม่ได้อีกแล้ว

เดิมที หลินเป่ยเฉินไม่เคยต้องการให้เฉียนเหมยกับเฉียนเจินหมกมุ่นกับการฝึกวิชามากเกินไป พวกนางสมควรสนใจแต่สิ่งสวย ๆ งาม ๆ ก็พอแล้ว ทว่า ในเมื่อนี่เป็นภารกิจเร่งด่วนจากแอป Keep ก็ถือเป็นโอกาสดีที่เฉียนเหมยกับเฉียนเจินจะได้เพิ่มระดับพลังของตนเอง

“จากนี้ไป พวกเจ้าคือลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะ”

หลินเป่ยเฉินกวักมือเรียกสองสาวรับใช้พร้อมกับกล่าวว่า “ไปร่วมออกกำลังกายพร้อมกันทุกคนสิ แล้วระดับพลังของพวกเจ้าจะเพิ่มขึ้น”

เฉียนเหมยยิ้มกว้างออกมาด้วยความตื่นเต้น

นางชื่นชอบการเพิ่มระดับพลังอยู่แล้ว

เพราะยิ่งมีความแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ความฝันที่จะได้แต่งงานกับนายท่าน ก็ใกล้ความเป็นจริงมากเท่านั้น

ส่วนเฉียนเจินนั้นอย่างไรก็ได้

ด้วยว่าเป้าหมายในชีวิตของนางเรียบง่ายมาก ขอแค่มีชีวิตอย่างมั่นคงและมีความสุข ได้คอยติดตามรับใช้นายท่าน จัดเตรียมอาหารสุราให้รับประทาน ช่วยอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในทุก ๆ วัน เพียงเท่านั้นก็พอแล้ว

ดังนั้นเมื่อหลินเป่ยเฉินออกคำสั่งให้เข้าร่วมการฝึกฝน นางจึงไม่ได้ปฏิเสธ

เพียงแต่เฉียนเจินอดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “แล้วนายท่านไม่มาฝึกด้วยกันหรือเจ้าคะ? นายท่านไม่ต้องการเพิ่มพลังหรือ?”

ไม่ล่ะ ไม่มีทาง น่าอายตายชัก

หลินเป่ยเฉินตอบอยู่ในใจ

“นายท่านของพวกเจ้าแข็งแกร่งมากเกินไป การฝึกฝนรูปแบบนี้ ไม่ส่งผลใด ๆ ต่อข้าหรอก”

หลินเป่ยเฉินอธิบายด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและจริงจัง

เฉียนเจินย่อมหลงเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัยเช่นเคย