บทที่ 1120 หาช่องโหว่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,120 หาช่องโหว่

บรรยากาศเริ่มดีขึ้น

เมื่อมีสองสาวรับใช้และเซียวปิงซึ่งเป็นยอดฝีมือข้างกายหลินเป่ยเฉินมาคอยชี้แนะการออกกำลังกาย บรรดาลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะก็ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่น่าอับอายอีกต่อไป

ในหัวใจของพวกเขาไม่ได้ต่อต้านการฝึกฝนที่แปลกประหลาดเหล่านี้อีกแล้ว

“เอาล่ะ ทำตามข้านะ”

“เร็วเข้า วาดมังกรด้วยมือซ้าย เขียนสายรุ้งด้วยมือขวา…”

“ท่าต่อไป หนึ่ง สอง สาม สี่ สอง สอง สาม สี่ สาม สอง สาม สี่ เปลี่ยนตำแหน่ง ทำต่ออีกครั้ง…”

เซียวปิงสามารถปรับตัวเข้ากับหน้าที่ใหม่ได้ดีที่สุด

บัดนี้เขาแทบจะกลายเป็นครูสอนเต้นแอโรบิกแล้ว

หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ

เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ด้านข้างพลางรับประทานผลกวนเจี๋ยอย่างมีความสุข

เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น

ล่วงเข้าสู่ยามบ่าย

บรรดามือกระบี่ชุดขาวแสดงให้เห็นถึงสีหน้าของความตกตะลึง

พวกเขาสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตนเอง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งมากขึ้น

“อ้า ข้าเลื่อนขั้นพลังได้แล้ว ข้าขึ้นสู่ขั้นปรมาจารย์ระดับเจ็ดได้สำเร็จแล้ว”

เด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งไม่สามารถเลื่อนระดับพลังได้อย่างยาวนานพลันค้นพบสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ เขาร้องตะโกนพร้อมกับวิ่งกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจสุดขีด

“ข้าก็เหมือนกัน”

“ไม่ใช่ข้าคนเดียวที่เลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จสินะ”

“พวกเจ้าคนหนุ่มอย่าเพิ่งได้ใจเกินไป”

“รอก่อนเถอะ ข้ารู้สึกว่าตนเองใกล้จะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ได้แล้วเช่นกัน”

เมื่อมีคนหนึ่งตะโกนนำร่องขึ้นมา ก็มีลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะอีกหลายคนตะโกนตามมา

และพวกเขาก็ได้พบว่าไม่ได้มีเพียงพวกของตนเองเท่านั้น ในเวลาเพียงไม่ถึงสองชั่วยาม ปรากฏว่ามีศิษย์จำนวนมากสามารถเลื่อนขั้นพลังได้อย่างน่ามหัศจรรย์

แม้แต่คนที่ยังเลื่อนขั้นพลังไม่สำเร็จ ก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของตนเองแข็งแกร่งขึ้น

ในหัวใจของพวกเขาล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง

น่าเหลือเชื่อที่สุด

นี่หรือคือความมหัศจรรย์ของเคล็ดวิชาลับจากหลินเป่ยเฉิน?

ผลลัพธ์ที่ออกมาช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ

เวลาเพียงสองชั่วยามเท่านั้น เท่ากับพวกเขาฝึกวิชาเป็นระยะเวลาครึ่งปี

ขณะนี้ บรรดาลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะต่างก็จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเคารพเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง

ทุกคนรู้สึกเหมือนตนเองกำลังฝันไป

“อย่าหยุดสิ ฝึกฝนกันต่อ”

หลินเป่ยเฉินโบกมือ แสดงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เงยหน้าขึ้นทำมุม 45 องศา ทอดสายตามองท้องฟ้า

เรานี่มันเท่จริง ๆ

เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “เลื่อนขั้นพลังเพียงเท่านี้ยังจะนับว่าเป็นอะไรได้ ไม่ควรค่าให้พวกท่านดีใจเลยสักนิด เคล็ดวิชาลับเหล่านี้ข้าเอาไว้ฝึกฝนยามที่เกิดความเบื่อหน่ายเท่านั้น หากพวกท่านฝึกแล้วได้ผลดี ก็จงฝึกต่อไปเถอะ แล้วพวกท่านจะได้พบกับความประหลาดใจครั้งใหญ่แน่นอน”

ได้ยินเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังขึ้นจากกลุ่มคน

เหล่ามือกระบี่ชุดขาวยิ้มแย้มอย่างมีความสุข

หลินเป่ยเฉินลอบหัวเราะอยู่ในใจด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง

ชาวเมืองไป๋หยุนเหล่านี้ไม่เคยพบเห็นการออกกำลังกายแบบกลุ่มมาก่อน

ทุกคนไม่ทราบเลยว่านี่แทบไม่ต่างจากการเต้นแอโรบิกของเด็กอนุบาลก่อนเข้าเรียนด้วยซ้ำ

เมื่อพบว่านี่ก็ได้เวลายามบ่ายแล้ว หลินเป่ยเฉินก็เกิดความลังเลใจขึ้นมาว่าเขาควรจะสั่งหยุดพักดีหรือไม่ เด็กหนุ่มตั้งใจที่จะใช้เวลาที่ทุกคนหยุดพักนี้แจกจ่ายเครื่องดื่มผสมอาหารเสริม รวมถึงผลกวนเจี๋ย เพื่อให้ผลลัพธ์ของการออกกำลังกายเพิ่มพูนประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

แต่ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินเสียงสือจงเซิ่งผู้เดินผ่านประตูหน้าสำนักเข้ามาร้องคำรามด้วยความเดือดดาลใจ

“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกันอยู่?”

“เสียสติกันไปหมดแล้วหรืออย่างไร?”

“เหลวไหลกันจริง ๆ”

สือจงเซิ่งได้ยินข่าวลือที่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองจึงตัดสินใจมาที่สำนักกระบี่อมตะเพื่อดูด้วยตาของตนเอง แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าระดับพลังของทุกคนแข็งแกร่งมากขึ้น สีหน้าของชายวัยกลางคนก็แปรเปลี่ยนไป

นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

สถานการณ์ในเมืองไป๋หยุนขณะนี้ตกอยู่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่มีเวลาสำหรับการมาทำเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้อีกแล้ว

สือจงเซิ่งกับอิ๋นซานและผู้อาวุโสประจำสำนักอีกหลายคนถอนตัวจากการออกกำลังกายเมื่อตอนเช้า เพราะเห็นว่าควรให้พวกลูกศิษย์ระดับล่างได้ฝึกฝนกันเท่านั้น เพราะหากวิธีการฝึกเช่นนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ อย่างน้อยบรรดาผู้อาวุโสก็ไม่ต้องเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์

แต่กาลเวลาไม่เคยรอคอยผู้ใด

เมื่อสือจงเซิ่งได้ยินข่าวอีกที เขาก็พบว่าลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะยังคงออกกำลังกายกันไม่หยุด

บางคนว่าระดับพลังของลูกศิษย์เหล่านี้เพิ่มขึ้นด้วย

ตอนแรกสือจงเซิ่งก็ไม่อยากเชื่อ

แต่ใครจะรู้ว่านี่คือความจริง

สือจงเซิ่งโคจรพลังลมปราณ เดินฝ่าเข้าไปในกลุ่มลูกศิษย์ที่กำลังซิทอัพ ก่อนจะกระชากตัวลูกศิษย์ของตนเองนามฉินเสี่ยวเปาขึ้นมาทุบตีอย่างไม่พูดไม่จา

“โอ๊ย อาจารย์ขอรับ เจ็บนะขอรับ อาจารย์ได้โปรดเบามือ”

ฉินเสี่ยวเปาผู้โชคร้ายร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด

เขาก็คือเด็กหนุ่มที่อุทานขึ้นมาเป็นคนแรกนั่นเอง ปีนี้ฉินเสี่ยวเปามีอายุได้สิบเจ็ดปีแล้ว เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา เมื่อสองปีก่อนได้รับการยกย่องให้เป็นมือกระบี่อนาคตไกล แต่หลังจากนั้น ระดับพลังกลับหยุดชะงัก ไม่ว่าฝึกฝนอย่างไรก็ติดค้างอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับหกเท่านั้น…

เดิมที สือจงเซิ่งคาดหวังในตัวเด็กหนุ่มผู้นี้เอาไว้ไม่น้อย ด้วยคิดว่าลูกศิษย์ของตนเองจะต้องกลายเป็นมือกระบี่ชื่อเสียงโด่งดัง

แต่จวบจนถึงปัจจุบัน สือจงเซิ่งรู้แล้วว่านั่นคือฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง

“ทำไมถึงยังไม่ไปฝึกกระบี่อีก”

สือจงเซิ่งตวาดลั่น

“อาจารย์ขอรับ แต่การฝึกวิชานี้ทำให้ศิษย์แข็งแกร่งขึ้นมากเลยนะขอรับ”

ฉินเสี่ยวเปารีบอธิบาย “หากอาจารย์ไม่เชื่อ อาจารย์สามารถตรวจสอบได้ว่าศิษย์เลื่อนขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ระดับเจ็ดได้จริงหรือไม่?”

“เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าโกหกแล้วหรือ… เอ๊ะ?”

เมื่อได้ยินดังนั้น สือจงเซิ่งก็ขุ่นเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง เขากำลังจะทุบตีลูกศิษย์อีกครั้ง ก็พอดีสัมผัสได้ถึงกระแสพลังลมปราณที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของฉินเสี่ยวเปา และพบว่าเด็กหนุ่มมีขอบเขตพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับเจ็ดจริง ๆ

เรื่องนี้ทำให้สือจงเซิ่งประหลาดใจไม่น้อย

เพราะนี่คือลูกศิษย์ของเขาเอง เขาย่อมรู้เกี่ยวกับพื้นฐานของฉินเสี่ยวเปาดีมากกว่าใคร

หากเป็นสถานการณ์ปกติ ก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสี่เดือนจึงจะตั้งความหวังเลื่อนขึ้นสู่ขั้นปรมาจารย์ระดับเจ็ดได้เช่นนี้

“อาจารย์ขอรับ การฝึกวิชานี้ได้ผลจริง ๆ”

“ศิษย์สามารถเลื่อนขั้นพลังได้แล้ว”

“เคล็ดวิชาลับจากพี่ใหญ่หลินยอดเยี่ยมที่สุดเลยขอรับ”

เมื่อลูกศิษย์คนอื่น ๆ เห็นสีหน้าของสือจงเซิ่ง พวกเขาก็ช่วยยืนยันให้แก่คำพูดของฉินเสี่ยวเปาด้วยความสมัครใจ

ดวงตาของสือจงเซิ่งเป็นประกายวูบวาบด้วยความสงสัย แต่เมื่อเห็นสีหน้ากลุ่มลูกศิษย์ของตนเอง เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่การออกกำลังกายอย่างเรียบง่ายตามแบบฉบับของหลินเป่ยเฉินจะทำให้ผู้คนสามารถเลื่อนขั้นพลังได้สำเร็จ?

เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นดังนี้ เขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

บรรดาอาจารย์และผู้อาวุโสในสำนักก็ถือเป็นลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะเช่นกัน

หากให้คนเหล่านี้มาร่วมฝึกฝนด้วย ก็คงไม่ถือว่าเป็นการผิดกฎของแอปพลิเคชัน Keep แน่ ๆ

ผู้อาวุโสเหล่านี้มีพื้นฐานพลังพอใช้ได้อยู่แล้ว หากยอมเข้าร่วมการออกกำลังกาย ภารกิจที่จะต้องสร้างผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายให้ได้ห้าคน ก็คือเป้าหมายที่ไม่ไกลเกินจริงอีกแล้ว

เมื่อคิดได้ดังนั้น คุณชายหลินก็ผุดลุกขึ้นและเดินเข้ามาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “อาจารย์อาหกคงสงสัยสินะขอรับ? เหตุไฉนท่านไม่ลองมาฝึกฝนดูเล่า?”

สือจงเซิ่งลังเลเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับคำ “ก็ได้”

ถึงเขาจะไม่เห็นแก่หน้าศิษย์พี่ติงซานฉือ แต่ก็สมควรไว้หน้าหลินเป่ยเฉินอยู่บ้าง

เหตุผลนั้นเรียบง่าย

เพราะเด็กหนุ่มเป็นคนที่ช่วยทำให้เขากลับมาเดินได้อีกครั้ง

บุญคุณอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ สือจงเซิ่งจะสามารถลืมเลือนได้อย่างไร?

“แต่ถ้าไม่ได้ผล ข้าคงต้องขอถอนตัว เพราะข้าไม่มีเวลา พวกเรายังมีเรื่องอื่นให้รีบไปจัดการอีก”

เวลาคือสิ่งล้ำค่า

สือจงเซิ่งเตรียมข้ออ้างให้แก่ตนเองไว้เรียบร้อยแล้ว

และการกระทำครั้งนี้ ก็ถือว่าเขาได้ทำตามคำขอร้องของหลินเป่ยเฉิน ถือเป็นการทดแทนบุญคุณบางส่วนไปในตัว

ครึ่งชั่วยามต่อมา

“ทำต่อไป อย่าหยุด”

เสียงตะโกนของสือจงเซิ่งก้องกังวานไปทั่วสำนักกระบี่อมตะ

วิเศษจริง ๆ

เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งและร่างกายที่เพิ่มขึ้น

ก็ไม่มีผู้ใดสามารถหลบหนีกฎแห่งความเป็นจริงได้อีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินยกมือจับคาง ความคิดบรรเจิดผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง

“เราน่าจะสามารถหาช่องโหว่ในภารกิจนี้ได้ไม่ยาก”

อย่างเช่น เขาสามารถนำอาจารย์อาอิ๋นซานมารวมอยู่ในกลุ่มผู้ออกกำลังกาย หรือแม้แต่ผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักอื่น ๆ ในเมืองไป๋หยุน เมื่อพวกเขาลาออกจากสำนักของตนเองและมาเข้าร่วมกับสำนักกระบี่อมตะ ผู้อาวุโสเหล่านั้นก็จะสามารถเข้าร่วมภารกิจการออกกำลังกายได้เช่นกัน

หากสามารถทำได้สำเร็จ เด็กหนุ่มมั่นใจว่าเขาจะต้องทำภารกิจของแอป Keep เสร็จก่อนกำหนดแน่นอน

แต่ถ้าผู้อาวุโสเหล่านั้นไม่ยอมเข้าร่วมกับสำนักกระบี่อมตะล่ะ?

วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายมาก

ก็แค่เอากระบี่จ่อคอหอยเท่านั้นเอง

ไม่มีผู้ใดไม่กลัวตาย

แต่คุณชายหลินคิดว่าคงไม่ต้องทำถึงขั้นนั้นหรอก

และเด็กหนุ่มยังคิดวิธีแก้ปัญหาอื่นได้อีกหนึ่งข้อ

ตราบใดที่ขับไล่ศิษย์ที่ไม่ได้มาตรฐานออกจากสำนักกระบี่อมตะก่อนจบภารกิจ ระดับมาตรฐานของลูกศิษย์ผู้ที่มี ‘ขั้นพลังอ่อนแอที่สุด’ ก็จะเปลี่ยนไป และการทำให้ผู้ที่มีขั้นพลังอ่อนแอที่สุดคนใหม่ขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายให้สำเร็จนั้น ก็จะสามารถกระทำได้ง่ายขึ้น

เพราะเมื่อถึงตอนนั้น ในสำนักกระบี่อมตะก็คงเหลือแต่บรรดาลูกศิษย์ที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขั้นปรมาจารย์แทบทั้งหมดแล้วนั่นเอง

ฮ่า ๆๆ

เรานี่มันอัจฉริยะจริง ๆ

ทันทีที่คิดได้เช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็ลงมือโดยไม่รอช้า