บทที่ 1121 เข้าร่วมกับสำนักกระบี่อมตะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,121 เข้าร่วมกับสำนักกระบี่อมตะ

“เจ้าจะเป็นผู้ดูแลที่นี่”

หลินเป่ยเฉินโยนสายแส้หนังเส้นหนึ่งไปให้อากวงพร้อมกับพูดว่า “หากผู้ใดเกียจคร้านในการออกกำลังกาย ให้ใช้แส้เส้นนี้เฆี่ยนตีได้ทันที”

อากวงเบิกตาโต

“จี๊ด?”

นี่คือหลักประกันว่าพวกเขาจะต้องทำภารกิจให้สำเร็จ

อากวงรับสายแส้หนังไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ

เพี้ยะ!

มันลองสะบัดสายแส้ใส่อากาศ

มีประกายสีเงินสะท้อนมาจากปลายสายแส้

รู้สึกดีจัง

อากวงลองสะบัดสายแส้เพื่อสร้างความคุ้นเคยในการใช้งาน

นี่หมายความว่าสถานะของมันในสายตาของนายท่านสูงส่งขึ้นแล้ว

เจ้าหนูอสูรเหวี่ยงสายแส้อย่างมีความสุข ก่อนจะเดินไปยืนอยู่เบื้องหน้าลานออกกำลังกาย และทำหน้าที่ไม่ต่างไปจากสุนัขเฝ้ายาม

เมื่อหลินเป่ยเฉินมอบหมายภารกิจให้กับสัตว์เลี้ยงคู่ใจของตัวเองแล้ว เขาก็หมุนตัวเดินกลับไปยังลานด้านหลังตึก

เด็กหนุ่มอยากจะให้อาจารย์ติงมาร่วมออกกำลังกายด้วยกัน

แต่เขากลับพบว่าอาจารย์ของตนได้หายตัวไปเสียแล้ว

ชายชราเพียงทิ้งข้อความบอกไว้ว่าถูกเรียกตัวไปที่คฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง

“เฮ้อ จวนท่านเจ้าเมืองมีอะไรดีนักหนา ทำไมอาจารย์ถึงไปได้ทุกวันเลยนะ”

หลินเป่ยเฉินอดบ่นออกมาไม่ได้

ติงซานฉือไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะล่วงรู้ไปถึงหูภรรยาหรืออย่างไร?

หลินเป่ยเฉินจึงเปลี่ยนเส้นทางเดินไปที่โรงครัวของสำนักกระบี่อมตะ

บรรดาผู้อาวุโสกำลังเตรียมอาหารให้แก่ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะกันอย่างวุ่นวาย

เมื่อมีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปจากสำนักกระบี่อมตะว่าลูกศิษย์ของพวกเขามีความแข็งแกร่งมากขึ้น บรรดาผู้อาวุโสจึงสมัครใจมาทำงานในโรงครัวเพื่อจัดเตรียมอาหารให้ดีที่สุด

อิ๋นซานอาจารย์อาแสนสวยของหลินเป่ยเฉินก็คือหนึ่งในนั้นเช่นกัน

นางสวมใส่ผ้ากันเปื้อนอวดเว้าช่วงเองคอดกิ่ว เส้นผมถูกรวบเป็นมวยปักไว้ด้วยปิ่นหยกขาวชิ้นหนึ่งเปิดเผยให้เห็นถึงลำคอขาวผ่องไร้ตำหนิ อาจารย์อาอิ๋นซานกำลังร้องเพลงอยู่ในลำคอ ลักษณะอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง

ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังจัดเตรียมอาหารให้แก่ลูกศิษย์ทั่วไป อิ๋นซานก็กำลังจัดเตรียมอาหารให้แก่หลินเป่ยเฉินเพียงผู้เดียว

“อาจารย์อาอิ๋นขอรับ ข้าน้อยขอสอบถาม นอกจากในสำนักของเราแล้ว ผู้อาวุโสของสำนักอื่น ๆ มีผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่งบ้างหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปถาม

“ว่าไงนะ”

หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อหันกลับมาเห็นหลินเป่ยเฉินจึงได้ยิ้มตอบว่า “ย่อมต้องมี”

“ช่วยอธิบายรายละเอียดหน่อยได้ไหมขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถามด้วยดวงตาเป็นประกายลุกวาว

“ได้สิ”

อาจารย์อาอิ๋นซานค่อย ๆ ปลดผ้ากันเปื้อนออกจากเอว แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวที่ธรรมดาสามัญ แต่กลับดูงดงามเฉิดฉายเป็นอย่างยิ่ง

“เมืองไป๋หยุนในปัจจุบันนี้ นับว่าสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วคือผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุด นอกจากมีเจ้าสำนักอย่างเสี่ยวหรานแล้ว ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ทรงพลังไม่ใช่น้อย…”

“กลุ่มผู้แข็งแกร่งลำดับต่อมาคือสำนักกระบี่เริงรมย์ ปกติแล้วพวกเขาจะทำงานรับใช้จวนท่านเจ้าเมือง พวกเขาจึงมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่มสำนักทั้งเจ็ดของเมืองไป๋หยุน แต่เนื่องจากการหายตัวไปของท่านเจ้าเมืองคนเก่า ประกอบกับการบริหารงานอันย่ำแย่ของท่านเจ้าเมืองคนใหม่ ขุมกำลังของพวกเขาจึงตกตายเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ความแข็งแกร่งจึงตกลงมาอยู่เป็นลำดับที่สอง”

“ต่อจากนั้นก็เป็นสำนักกระบี่พิชิตมาร พวกเขามีปรมาจารย์ระดับแปดอยู่หนึ่งคน และมียอดปรมาจารย์ระดับห้าอยู่อีกสองคน… แต่คนของสำนักกระบี่พิชิตมารเป็นผู้ลุ่มหลงในกระบี่ พวกเขาไม่สนใจการเคลื่อนไหวของโลกภายนอก พวกเขาสนใจแต่เพียงการฝึกกระบี่เท่านั้น”

“ถัดมาก็เป็นสำนักกระบี่มนตรา ผู้อาวุโสของสำนักนี้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย ทว่าวัน ๆ เขาเอาแต่หมกตัวอยู่หลังกองตำราเพื่อศึกษาค่ายอาคมกระบี่ แม้กระทั่งลูกศิษย์รุ่นหลังของสำนักกระบี่มนตราก็ไม่แน่ใจอีกต่อไปแล้วว่าผู้อาวุโสท่านนี้มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่”

“ส่วนสำนักที่เหลืออย่างสำนักกระบี่ซ่อนรักและสำนักกระบี่เทพยดานั้น พวกเขาถึงคราวตกต่ำโดยไม่ทราบสาเหตุ บัดนี้จึงไม่เหลือผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์สักคนเดียว…”

อิ๋นซานบอกเล่ารายละเอียดได้อย่างครบถ้วน

หลินเป่ยเฉินจดจำข้อมูลเหล่านี้ลงในหัวสมอง

“อาจารย์อาอิ๋นขอรับ ท่านคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้ผู้อาวุโสเหล่านั้นจะมาเข้าร่วมกับสำนักกระบี่อมตะของพวกเรา?”

เขาถาม

“มาเข้าร่วมกับสำนักกระบี่อมตะ?”

อิ๋นซานถามด้วยความประหลาดใจ “เพราะเหตุใด?”

“เพราะว่ามันจะทำให้สำนักของเราแข็งแกร่งขึ้นไงขอรับ”

หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

อิ๋นซานส่ายศีรษะกล่าวว่า “เรื่องนี้… ค่อนข้าง… เป็นไปได้ยาก”

“ทำไมหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินถามอย่างไม่ยอมแพ้

เขาไม่เชื่อว่าในโลกนี้จะมีผู้ที่อยากปฏิเสธความแข็งแกร่ง

มีใครบ้างไม่อยากพัฒนาฝีมือของตนเอง?

“ในยุครุ่งเรืองของเมืองไป๋หยุน สำนักกระบี่ทั้งเจ็ดต่างก็แข่งขันกันอย่างดุเดือด บางครั้งก็เกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นระหว่างการต่อสู้ เรื่องราวเหล่านี้บ่มเพาะกลายเป็นความแค้นระหว่างสำนักที่ไม่อาจลืมเลือน ในอดีต แม้แต่อาจารย์ของเจ้าก็เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน จนกระทั่งเขาต้องถูกขับไล่ออกไปจากเมืองนี้…”

“เรื่องราวความขัดแย้งระหว่างสำนักยังคงดำเนินต่อไป ยังคงมีการต่อสู้เกิดขึ้นเรื่อย ๆ อยู่เป็นระยะ และนั่นทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักกระบี่ในเมืองไป๋หยุนเป็นไปอย่างเย็นชา อย่าพูดถึงเรื่องการย้ายสำนักเลย ต่อให้พบเห็นคนของอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บอยู่ข้างทาง ก็ไม่มีคนของสำนักอื่นหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ด้วยซ้ำ”

อิ๋นซานอธิบาย

หลังจากหยุดเล็กน้อย นางก็กล่าวต่อ “บัดนี้ ขุมกำลังในเมืองไป๋หยุนลดน้อยลง ท่านเจ้าเมืองคนใหม่ฉู่อวิ๋นซุนสนใจแต่เพียงสำนักกระบี่เริงรมย์กับสำนักกระบี่เมฆาพลิ้วเท่านั้น หาได้มีความใยดีต่ออีกห้าสำนักที่เหลืออยู่ไม่ นั่นยิ่งทำให้เกิดการแบ่งฝ่ายชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกิดการอพยพของมือกระบี่เป็นจำนวนมาก ผู้คนในเมืองไป๋หยุนไม่ได้สามัคคีกันอีกแล้ว หากเป็นในอดีต ผู้ที่อยู่ในเมืองไป๋หยุนล้วนแต่ถือเป็นผู้ที่มีเกียรติ ทว่าบัดนี้ผู้ที่ยังอยู่ในเมืองกลับเป็นเพียงบรรดาคนเฒ่าคนแก่ที่ยึดมั่นถือมั่นกับศักดิ์ศรีในอดีต และเตรียมตัวที่จะใช้ชีวิตเช่นนี้ไปจนวันตาย ด้วยเหตุนั้นการโน้มน้าวให้พวกเขาย้ายสำนักจึงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”

หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ต้องคิดหนักทันที

แผนการเดิมของเขาคือชักชวนให้ผู้อาวุโสของสำนักอื่น ๆ ย้ายมาเข้าร่วมกับสำนักกระบี่อมตะ จากนั้นจึงให้อากวงคอยควบคุมการออกกำลังกายอย่างเข้มงวด

แต่ดูเหมือนจะทำได้ไม่ง่ายเสียแล้ว

“ถ้าอย่างนั้น…”

หลินเป่ยเฉินพยายามถามต่อ “หากข้าน้อยนำกระบี่ไปจ่อลำคอของผู้อาวุโสเหล่านั้น เพื่อชักชวนให้พวกท่านย้ายมาเข้าร่วมกับสำนักพวกเรา อาจารย์อาอิ๋นคิดว่าพอจะมีทางเป็นไปได้ไหมขอรับ?”

อิ๋นซานมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาแปลกประหลาด ก่อนตอบว่า “อาจจะเป็นไปได้ แต่พวกเขาคงไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก”

หลินเป่ยเฉินไม่สนหรอกว่าจะเต็มใจหรือไม่

เขาเพียงต้องการตัวคนเท่านั้น ไม่ได้ต้องการหัวใจของคนเหล่านั้นสักหน่อย

แต่คำตอบของอาจารย์อาอิ๋นซานก็ใช่ว่าไม่ควรรับฟังเสียทีเดียว

ผู้อาวุโสเหล่านั้นอาจจะยอมเข้าร่วมกับสำนักกระบี่อมตะก็จริง แต่หากพวกเขาไม่ตั้งใจฝึกฝน นั่นจะไม่ยิ่งทำให้ภารกิจของหลินเป่ยเฉินเชื่องช้าลงไปกว่าเดิมหรือ?

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วขบคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ล้มเลิกแผนการที่จะชักชวนคนของสำนักอื่นให้มาเข้าร่วมภารกิจออกกำลังกาย ขณะนี้เขาต้องจับตาดูพัฒนาการของลูกศิษย์สำนักกระบี่อมตะเสียก่อนว่าเป็นไปอย่างไรบ้าง

หากมีความคืบหน้าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ก็ไม่มีเหตุจำเป็นให้ต้องใช้แผนสำรองเหล่านี้

ยิ่งไปกว่านั้น ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะกำลังจะได้รับประทานวิตามินอาหารเสริมและผลกวนเจี๋ย

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินเหลือศิลาบูชาอยู่เพียง 12,800 ก้อน และเหลือผลกวนเจี๋ยอีกไม่ถึง 9,000 ลูกแล้ว

เขาจำเป็นต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง

แต่ถึงอย่างไร อาจารย์อาอิ๋นซานที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคนนี้ก็มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ และเป็นลูกศิษย์ของสำนักกระบี่อมตะ จะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เป็นอันขาด

นางเป็นถึงผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักจะมาหมกตัวอยู่ในโรงครัวตลอดทั้งวันได้อย่างไร?