ตอนที่ 2,444 : ออกจากพระราชวังใต้ดิน
ชายหนุ่มชุดม่วงที่เอ่ยถึงย่อมเป็นต้วนหลิงเทียนที่ปิดด่านบ่มเพาะมาเป็นเวลานาน
‘ปิดด่านคราวนี้ข้าทุ่มจิตสมาธิทั้งหมดจนลืมเลือนเวลาไปอย่างสิ้นเชิง…ไม่รู้ว่าที่แท้ข้าปิดด่านไปนานเท่าไหร่แล้วกันแน่…’
สองตากระจ่างใสที่ทอประกายคมกล้าของต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยความสงสัยออกมา
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนคิดหันไปถามหานเฉวี่ยไน่กับจางยี่โดยไม่รู้ตัว เขาก็พบว่า…
ทั้งคู่เองก็แยกย้ายไปนั่งบ่มเพาะพลังอยู่ตามมุมของโถงพระราชวังดั่งพระชราเข้าฌาณ
‘รอให้ทุกคนตื่นก่อนแล้วกัน’
ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รีบถึงขั้นไปปลุกทั้งสองให้ตื่นขึ้นมาเพื่อถาม เพียงรอคอยอย่างเงียบงัน
ขณะที่รอเวลาเขาก็ไม่ได้อยู่เฉย ยังคงทำความเข้าใจเวทย์พลัง 13 กระบี่บงกชฟ้าสืบต่อ
วันเวลาไหลผ่านไปอย่างเงียบงัน
พริบตาก็ผ่านพ้นไปอีกเดือน
ตอนนี้เองหานเฉวี่ยไน่ก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว และนางก็พบว่าต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่านแล้วเช่นกัน
“พี่ใหญ่หลิงเทียนท่านออกด่านแล้วหรือ?”
หลังจากตื่นขึ้นมาหานเฉวี่ยไน่ก็พบว่าต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาขึ้นมามองนางทันที จึงอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเล็กน้อย
“ใช่”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มพลางพยักหน้า
“นานแล้วหรือไม่?”
หานเฉวี่ยไน่กล่าวถาม
“ไม่หรอก แค่เดือนเดียวเท่านั้น”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มตอบ
“พี่ใหญ่ แล้วนี่พวกเราจะออกไปกันเลยรึเปล่า?”
ขณะกล่าวถามเรื่องนี้สองตากลมใสของหานเฉวี่ยไน่ก็ฉายความกังวลออกมาไม่น้อย “แต่ไม่รู้พวกเซียนอมตะเสเพลจะยังเฝ้ารอพวกเรากันอยู่รึเปล่า…หากพระราชวังใต้ดินหลังนี้มีทางออกอื่นก็คงดี…”
พอคิดว่าอาจมีเหล่าเซียนอมตะเสเพลดักรออยู่ หานเฉวี่ยไน่ก็อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว
ในตอนที่พี่ใหญ่หลิงเทียนของนางพึ่งเริ่มปิดด่านบ่มเพาะไม่ทันไร นางกับจางยี่ก็ลองไปตระเวนหาทางออกทั่วทุกซอกทุกมุมของพระราชวังใต้ดินหลังนี้แล้ว…หากแต่ก็ไม่พบทางออกอื่นใด
สุดท้ายพวกนางก็ทำได้แค่ยอมรับความจริง
พระราชวังใต้ดินอันเป็นสมบัติสถานระดับสวรรค์ที่เซียนกระบี่บงกชฟ้าหลี่ไป๋เหลือทิ้งไว้หลังนี้ มีหนทางเข้าออกแค่เพียงทางเดียวเท่านั้น…และนั่นคือทางที่พวกนางเข้ามา!
นอกจากนั้นก่อนหน้าพวกนางก็ได้รับรู้จากเหล่าผู้ที่ไม่ใช่ครึ่งก้าวเซียนอมตะที่เข้ามา
ว่าด้านนอกพระราชวังใต้ดินเต็มไปด้วยเหล่าเซียนอมตะเสเพลคอยท่าอยู่!
“รอให้จางยี่ออกจากการปิดด่านก่อน แล้วพวกเราจะออกไปทันที”
ได้ยินคำถามด้วยความกังวลของหานเฉวี่ยไน่ ต้วนหลิงเทียนเพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ ทีท่าไม่ได้ยินดียินร้ายหรือสนใจอะไรเหล่าเซียนอมตะเสเพลที่ดักรออยู่ด้านนอกเลย
“พี่ใหญ่หลิงเทียน…ปิดด่านคราวนี้ท่านได้ผลเลิศล้ำหรือไม่?”
เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงแลดูสงบใจเย็นได้แม้จะในเวลาแบบนี้ หานเฉวี่ยไน่อดไม่ได้ที่จะฉุกคิดอะไรบางอย่างจึงกล่าวถามออกมาทันที
“ก็ไม่เลวเลยทีเดียว”
ได้ยินคำถามของหานเฉวี่ยไน่สองตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงน้อย ค่อยตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ
หลังจากผ่านไปอีกราวๆ 5 เดือน ในที่สุดจางยี่ก็ออกจากการปิดด่าน
นับจากเวลา บัดนี้พวกต้วนหลิงเทียนและคนอื่นๆก็เข้ามาในแดนลับต่างสวรรค์ได้ 2 ปีแล้ว…
รออีกเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น แต่ละคนจะสามารถสัมผัสได้ถึงประตูเข้าออกแดนลับต่างสวรรค์กับระนาบโลกียะของตัวเอง
ถึงตอนนั้นผู้ที่คิดกลับก็สามารถกลับไปได้ทันที ส่วนผู้ที่คิดจะอยู่ต่อก็อยู่ได้ตามอัธยาศัย
ฟั่ฟ! ฟุ่บ! ซู่ม!
เสียงกระบี่แหวกอากาศดังขึ้น 3 สำเนียงติดๆ จนฟังราวกับดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง คล้ายเจ้าของเสียงตวัดกระบี่กำลังพยายามหลอมรวมมันเป็นหนึ่ง
ฟั่ฟฟฟ!!
หลังจากพยายามไม่กี่ครั้งในที่สุด 3 กระบี่ก็รวมเป็นหนึ่ง ก่อให้เกิดเสียงกระบี่แหวกอากาศดังเสียดหูปานจะทะลวงแก้วหูผู้คนให้ฉีก
“จางยี่ดูเหมือนว่าเจ้า…ปิดด่านคราวนี้จะได้ผลลัพธ์ไม่เลวทีเดียว สามารถเข้าใจ 13 กระบี่บงกชฟ้าได้ถึงขนาดนี้แล้ว”
หลังเห็นจางยี่ยกมือขึ้นวาดกระบี่ไปมาด้วยท่วงท่าต่างๆ จนรอบกายเต็มไปด้วยรังสีกระบี่ลี้ลับ ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมออกมา ในน้ำเสียงยังเผยความประหลาดใจเล็กน้อย
มีเพียงผู้ที่เคยตีความ 13 กระบี่บงกชฟ้ามาก่อนเท่านั้น ถึงจะรู้ว่ามันยากเพียงใด
การเข้าใจกระบี่แรกอาจเป็นเรื่องง่ายดาย
แต่กระบี่หลังๆยิ่งมายิ่งยากเย็นสาหัสแล้ว!
แต่จางยี่คนนี้สามารถเข้าใจ 3 กระบี่แรกของ 13กระบี่บงกชฟ้าได้ในเวลาแค่ 2 ปี นับว่าหาได้ยากนัก!
เพราะนี่ไม่ใช่อะไรที่คนธรรมดาจะทำได้
“ต้วนหลิงเทียนไม่ต้องชมข้าหรอก ถึงข้าจะเข้าใจ 3กระบี่แรกได้แล้ว…แต่ให้เดาเจ้าคงประสบความสำเร็จครั้งใหญ่เลยใช่หรือไม่?”
จางยี่เก็บกระบี่เซียนอมตะกลับไป ค่อยหยีตาถามต้วนหลิงเทียน
“ก็พอได้”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับเบาๆ และไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไหร่ หันไปกล่าวชวนหานเฉวี่ยไน่กับจางยี่ออกมาทันที “พวกเราอยู่ในนี้มา 2 ปีแล้ว…ตอนนี้ได้เวลาที่พวกเราจะต้องออกไปเสียที!”
ต้วนหลิงเทียนได้ถามหานเฉวี่ยไน่มาเรียบร้อย จึงได้รู้ว่าพวกเขาอยู่ในพระราชวังใต้ดินมาเป็นเวลา 2ปีเต็ม
ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้เลย
ว่ามรดกสถานของต้าหลัวจินเซียนจะถูกผู้ใดค้นพบและได้รับสืบทอดไปแล้วหรือไม่…
วูบ!
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ในมือต้วนหลิงเทียนพลันปรากฏจานเข็มทิศอันใหญ่ขึ้นมาถือไว้
นี่เป็นจานเข็มทิศที่เขาค้นพบในสมบัติสถานระดับสวรรค์แห่งนี้ และจะนำไปยังสมบัติสถานแห่งต่อไป
จุดหมายต่อไปหากไม่ใช่สมบัติสถานระดับมนุษย์ ก็คือสมบัติสถานระดับสวรรค์…และสุดท้าย
อาจเป็นมรดกสถานของต้าหลัวจินเซียน!
…
นอกพระราชวังใต้ดิน
“หืม ไฉนไม่มีผู้ใดอยู่เลยเล่า?”
จางยี่ที่เดินตามหลังต้วนหลิงเทียนออกมาจากพระราชวังใต้ดินพร้อมๆหานเฉวี่ยไน่ เดิมทีคิดว่าพอออกมาปุ๊บไม่พ้นเจอเหล่าเซียนอมตะเสเพลมากมายดักรออยู่ข้างนอกปั๊บแน่ๆ และมันก็มีคิดไว้ว่าทุกคนคงได้เร่งรุดหลบหนีเข้าพระราชวังไปทันทีเพื่อเอาตัวรอดจากเหล่าเซียนอมตะเสเพลแน่นอน
เพราะสุดท้ายแล้วเซียนอมตะเสเพลก็เข้ามาในพระราชวังใต้ดินไม่ได้
บริเวณประตูใหญ่ทางเข้าพระราชวัง มีข่ายอาคมปิดกั้นวิญญาณอยู่!
ทว่าสิ่งที่ทำให้จางยี่ประหลาดใจก็คือ…
หลังออกมาจากพระราชวังใต้ดิน…อย่าว่าแต่เหล่าเซียนอมตะเสเพลมากมาย เงาผู้คนสักเงาก็ไม่มีให้เห็น!
‘พวกมันกำลังซ่อนตัวอยู่งั้นหรือ?’
จางยี่พลันฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมา
และในขณะเดี่ยวกันกับที่จางยี่ฉุกคิด
ฟุ่บ!
เสียงแผ่วเบาพลันดังขึ้นเข้าหูจางยี่ พอหันไปดูอีกทีก็พบว่าร่างต้วนหลิงเทียนวูบหายขึ้นฟ้าไปข้างหน้าไกลๆนู่นแล้ว
“พี่ใหญ่หลิงเทียน…”
แน่นอน่าด้านหานเฉวี่ยไน่ก็คิดเหมือนกันกับจางยี่
อย่างไรก็ตามในขณะที่นางจะหันไปกล่าวเตือนพี่ใหญ่หลิงเทียนของนาง อีกฝ่ายก็พุ่งร่างไปนู่นซะก่อน…
สุดท้ายนางจึงทำได้แค่กัดฟันและเหินร่างตามไป
เห็นดังนั้นจางยี่แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ แต่ก็ทำได้แค่เหินร่างตามขึ้นไปบนฟ้าด้วยสีหน้าท่าทางหวาดกลัวมากระแวง สองตาหันมองล่อกแล่กไม่หยุดด้วยกลัวจะถูกซุ่มทำร้าย..
ครู่ต่อมาหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเหินร่างนำไป จางยี่กับหานเฉวี่ยไน่ก็ตามมาสมทบได้อีกครั้ง
หลังจากที่ทั้งคู่ตามมาสมทบแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างนำทุกคนไปตามทิศทางที่เข็มทิศชี้บอก
จนถึงตอนนี้สภาพแวดล้อมโดยรอบยังคงสงบดี
“เหล่าเซียนอมตะเสเพล…พากันแยกย้ายจากไปหมดแล้วงั้นเหรอ?”
หลังจากยี่กับหานเฉวี่ยไน่เหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนไปสักพักทั้งคู่ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง เพราะเรื่องนี้มันเหนือความคาดหมายของทั้งคู่นักเดิมทีคิดว่าจะถูกเหล่าเซียนอมตะเสเพลดักรอมากมาย แต่ที่แท้กลับไม่มีแม้แต่เงา…
“พวกมันมาแล้ว”
อย่างไรก็ตามหลังได้ยินคำของทั้งสองคนต้วนหลิงเทียนก็หยุดร่างลง ทำให้จางยี่กับหานเฉวี่ยไน่ก็หยุดลงตามต้วนหลิงเทียน และตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนพลันเอ่ยปากขึ้นมา
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
…
แทบจะพอดีกันกับที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ หานเฉวี่ยไน่กับจางยี่ไม่ทันได้ตอบสนองกับสิ่งที่ต้วนหลิงเทียนบอก ทั้งคู่ก็สัมผัสได้ถึงสายลมหอบใหญ่พัดเข้ามาตีปะทะใบหน้าจากทิศทางต่างๆมากมาย พาลให้สีหน้าของพวกนางแปรเปลี่ยนไปใหญ่หลวงทันที!
เพียงเวลาแค่พริบตาก็ปรากฏร่างมากกว่า 20 ปิดล้อมพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 เอาไว้!!
ร่างที่ว่าก็คือผู้คน!
ในบรรดาผู้คนที่มาปิดล้อม มีทั้งเฒ่าชรายายแก่ วัยกลางคน และชายหนุ่มหญิงสาว
แต่ทั้งหมดมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน…
ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเซียนอมตะเสเพล!
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเซียนอมตะเสเพลอันทรงพลัง!
“ความเร็วของพวกมัน…ไฉนเร็วได้ขนาดนี้…”
“ความเคลื่อนไหวของพวกมัน…ข้าไม่เห็นแม้แต่เงาร่าง”
…
จังหวะนี้ไม่ว่าจะเป็นหานเฉวี่ยไน่หรือจางยี่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว
ตอนที่เหล่าเซียนอมตะเสเพลปรากฏตัวขึ้นมา ทั้งคู่ไม่แม้แต่จะจับสัมผัสอะไรได้เลย ไม่รู้ว่าทั้งหมดมาจากทางไหน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ทั้งหมดซ่อนอยู่ที่ใดเลย
ต่างจากสีหน้าที่เริ่มซีดลงของจางยี่กับหานเฉวี่ยไน่
หลังเห็นเหล่าเซียนอมตะเสเพลปรากฏตัวออกมา ต้วนหลิงเทียนยังคงมีสีหน้าปกติไม่ได้แลดูยินดียินร้ายอะไร ราวกับการปรากฏตัวของเซียนอมตะเสเพลทั้งหลาย ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
“ฮ่าๆๆๆ…ในที่สุดพวกเจ้าก็ทนไม่ไหวแล้ว! รู้หรือไม่ว่าข้าบรรพบุรุษเฝ้ารอทารกน้อยพวกเจ้ามาเนิ่นนานจนเบื่อแล้ว!!”
ชายชราคนหนึ่งมองกล่าวกับพวกต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข ขณะเดียวกันสองตาของมันก็ฉายประกายแห่งความโลภออกมาอย่างปิดไม่มิด
“แม่หนูน้อยกับเจ้าหนูนี่คล้ายระวังตัวมิเบาเลยทีเดียว…น่าเสียดายที่เจ้ากลับโง่งมลากทั้งคู่ออกมาหาที่ตาย นี่เจ้าไม่คิดจริงๆหรือว่าพวกเราจะไม่ทันนึกถึงเรื่องที่พวกเจ้าอาจจะย้อนกลับเข้าไปหลบในพระราชวังใต้ดินนั่น?”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นอย่างย่ามใจ สองตามองกวาดไปยังจางยี่ หานเฉวี่ยไน่ กับต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาราวกับมองลูกไก่ในกำมือ
จากสถานการณ์ตอนนี้เห็นชัดว่าเป็นเหล่าเซียนอมตะเสเพลทั้งหมดจงใจซ่อนตัวเอาไว้
ตอนที่จางยี่กับหานเฉวี่ยไน่ออกมา ทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยความระวังราวกับหากเจออะไรผิดท่าจะย้อนกลับเข้าไปในสมบัติสถานระดับสวรรค์นั่นทันที
หากแต่ต้วนหลิงเทียนนั้น พอออกมาจากพระราชวังใต้ดินก็พุ่งขึ้นฟ้ามาอย่างประมาท ไม่คิดระวังอะไรทั้งสิ้น
ตอนแรกหากไม่ใช่เพราะพวกมันกลัวว่าจางยี่กับหานเฉวี่ยไน่จะไหวตัวทันหลบหนีกลับเข้าไปซ่อนด้านในพระราชวัง พวกมันคงลงมือเข่นฆ่าสังหารต้วนหลิงเทียนแต่แรกแล้ว
เช่นนั้นพวกมันจึงเฝ้ารออย่างอดทน
และพอเห็นว่าจางยี่กับหานเฉวี่ยไน่เลือกจะเหินร่างตามต้วนหลิงเทียนมาจริงๆ พวกมันก็ถึงกับยิ้มร่าหน้าบาน ด้วยรู้ดีว่าตอนนี้ทารกน้อยทั้ง 3 ที่หอบหิ้วยอดสมบัติสวรรค์มา มิอาจย้อนกลับไปยังพระราชวังใต้ดินได้ทันอีกต่อไป..
พวกมันจึงปรากฏตัวออกมาทันที
จางยี่ได้แต่เผยยิ้มขื่นขมหลังได้ยินวาจาของชายชราและชายวัยกลางคน แต่มันก็ไม่ได้กล่าวตอบโต้อะไร
เพราะตอนนี้มันยังงงไม่หาย
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา จะมากจะน้อยมันก็พอรู้นิสัยต้วนหลิงเทียนอยู่บ้าง จึงรู้ได้ว่าต้วนหลิงเทียนไม่ใช่ตัวโง่งมเด็ดขาด และไม่ใช่คนที่ทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ไตร่ตรองแม้แต่น้อย
แล้วไฉนคราวนี้ถึงได้เลินเล่อ?
ตรงกันข้ามกับจางยี่ หานเฉวี่ยไน่เลือกจะไม่คิดอะไรให้มากเพียงชมดูสีหน้าท่าทีของต้วนหลิงเทียนก่อนใดอื่น และนางก็พบว่าแม้จะถูกเหล่าเซียนอมตะเสเพลปิดล้อม แต่สีหน้าท่าทีของพี่ใหญ่นางยังคงสงบราวที่พึ่งโผล่ออกมาเป็นแค่คนผ่านทางไร้สำคัญ…ทำให้ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวบนใบหน้าของนางค่อยๆมลายหายไปทันที
‘หรือว่า…พี่ใหญ่หลิงเทียนมีวิธีจัดการพวกเซียนอมตะเสเพลน่าตายทั้งหลายนี่?’
พอคิดถึงจุดนี้ใจหานเฉวี่ยไน่ก็อดไม่ได้ที่จะเต้นไปไม่เป็นจังหวะ
เพราะนางเองก็รู้สึกได้ ว่าเหล่าเซียนอมตะเสเพลที่ปิดล้อมอยู่เหล่านี้ หาได้ธรรมดาไม่!!
พี่ใหญ่หลิงเทียนของนางจะรับมือได้จริงๆหรือ!?