เจ้าคางคกและอาหลู่ไม่ใช่คนอ่อนแอ ตรงกันข้าม พลังต่อสู้ของพวกเขาแข็งแกร่งอย่างที่สุด ทั้งยังครอบครองพลังมรดกตกทอดอันน่าตกใจ ไม่ด้อยไปกว่ายักษ์ใหญ่ยอดมกุฎหน้าไหนในรุ่นนี้เด็ดขาด

แต่ยามนี้พวกเขากลับบาดเจ็บสาหัส เผชิญกับสถานการณ์สิ้นหวัง!

มองปราดเดียวหลินสวินก็ดูออกว่าหากตนมาช้ากว่านี้อีกนิดเดียว ผลลัพธ์ที่ตามมาของทั้งคู่คงไม่อาจจินตนาการได้อย่างแน่นอน

และพวกที่ปิดล้อมพวกเขาสองคนก็คือบุคคลชั้นเลิศจากขุมอำนาจแตกต่างกันหลายสิบคน ในนั้นยังไม่ขาดสัตว์ประหลาดยุคโบราณอย่างอูหลิงเฟย หลิงหวา เหลียงเซวี่ยอิ๋น!

กล่าวได้ว่าทั้งคู่สามารถยืนหยัดมาถึงจนตอนนี้ได้ ก็ไม่ง่ายอย่างถึงที่สุดแล้ว

ฆ่าพวกมันให้เรียบ!

ถ้อยคำสั้นๆ ก้องสะท้อนอยู่ในตำหนักยิ่งใหญ่ไร้ใดเปรียบแห่งนี้

เปี่ยมด้วยความไม่ยินยอม เกรี้ยวกราดและเคียดแค้นไม่รู้จบ!

หลินสวินไม่ต้องคิดก็รู้ว่า สามารถทำให้อาหลู่โกรธแค้นจนเป็นเช่นนี้ได้ แสดงว่าการโจมตีที่ทั้งคู่ประสบทั้งหมดก่อนหน้านี้หดหู่และหมดหนทางมากเพียงใด

“ได้!”

ริมฝีปากหลินสวินพ่นหนึ่งคำออกมาเบาๆ เดือดพล่านกึกก้องราวกับสายฟ้าฟาดก็ไม่ปาน ที่มาพร้อมกับเสียงนั้นยังมีไอสังหารที่ไม่อาจควบคุมได้

แผ่กว้างเหมือนกระแสน้ำเชี่ยว พาให้ห้วงอากาศกรีดร้อง

พริบตาเดียวคนไม่น้อยหน้าเปลี่ยนสี ในสายตาของพวกเขา หลินสวินราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ประหนึ่งเทพมารโผล่ออกมาจากเหวลึก อานุภาพที่แผ่ออกจากตัวพาให้ผู้คนขวัญผวา

“ฮ่าๆ พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเทพมารหลินคนเดียวจะสามารถช่วยชีวิตพวกเจ้าได้”

ชายหนุ่มที่อบอวลแสงเงิน สะพายกระบี่กระบี่วิญญาณเอ่ยปาก ในน้ำเสียงเจือแววล้อเลียน

“หลินสวิน เจ้าอย่าเพิ่งพูดจารุนแรง สถานการณ์ตอนนี้เจ้าเองก็เห็นแล้ว ยอมรับข้าเป็นนายตอนนี้ยังไม่สาย ข้ารับรองว่าจะให้โอกาสเจ้าได้รอดชีวิตสักครั้ง”

อูหลิงเฟยในชุดคลุมสีทองรอยยิ้มอบอุ่น เอ่ยคำอย่างสบายๆ

“อูหลิงเฟย เจ้าทำเช่นนี้ผ่านความเห็นชอบจากพวกเราลัทธิบูชาจันทร์แล้วหรือ” ชายหนุ่มที่มีดวงตาสีม่วงสุกใส ผิวพรรณเนียนขาวเอ่ยปากเย็นเยียบ

ลัทธิบูชาจันทร์!

สำนักโบราณลึกลับแห่งหนึ่งในแดนเร้นอริยะ รากฐานเก่าแก่อย่างที่สุด

ชายหนุ่มตาม่วงคนนี้นามว่าเลี่ยอวิ๋นไห่ เป็นปีศาจแห่งยุคคนหนึ่งในลัทธินี้ มีพลังต่อสู้ที่ไม่ได้จัดอยู่ในหมู่สัตว์ประหลาดยุคโบราณ

“พูดมากไปทำไม พวกเรามาเพื่อแย่งชิงวาสนา ใครกล้าขัดขวางก็ฆ่ามันเสีย!” หญิงสาวที่สะพายสัญลักษณ์แสงทมิฬไว้บนหลังคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

นางคือทายาทเผ่าโบราณแสงทมิฬ นามว่าเสวียนจิง

“ข้าเคยได้ยินชื่อเทพมารหลินนี่มานานแล้ว แต่สหายสองคนนี้ของเขาช่างอ่อนแอยิ่ง พาให้ผู้คนผิดหวังนัก”

ชายหนุ่มผมเขียวกลางหว่างคิ้วประทับลายแปลกประหลาดคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “หรือไม่ทุกท่านคอยดูไปก่อน ให้ข้าเล่นสนุกกับเทพมารหลินที่ชื่อเสียงเกรียงไกรคนนี้ก่อน?”

คราวนี้เป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎเผ่าวิญญาณสมุทรคนหนึ่งนามว่าซางหลัน กร้าวแกร่งอย่างที่สุด ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็สำแดงความแข็งแกร่งน่าตกใจออกมา

“น่าขัน!” อาหลู่ตะคอกอย่างฉุนเฉียว “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าปิดล้อมอย่างหน้าไม่อาย สวะอย่างเจ้าพรรค์นี้ กระบองเดียวของข้าก็สามารถฟาดพวกเจ้าตายทั้งฝูงแล้ว!”

ซางหลันที่เรือนผมสีเขียวหัวเราะเย็นชากล่าวว่า “คนแพ้ก็กล้าต่อปากต่อคำด้วยหรือ สู้กันตัวต่อตัวเจ้าก็ยังห่างไกลเกินกว่าจะเป็นคู่ต่อสู้นัก”

ผู้แข็งแกร่งจากขุมอำนาจต่างกันหลายสิบคนในที่นั้นล้วนถือดี เอ่ยปากพูดจาไร้สาระ มองหลินสวินราวกับไร้ตัวตน

หลินสวินไม่สนใจ เขากำลังสัมผัสรับรู้อย่างละเอียด

และยามนี้ในที่สุดเขาก็มั่นใจ ในนี้มีคู่ต่อสู้เพียงยี่สิบหกคนเท่านั้น ไม่มีใครแอบซ่อนอยู่ในมุมมืดแต่อย่างใด

“ไม่ต้องแย่งกันแล้ว ข้าจะสู้กับเทพมารหลินนี่สักตั้ง!”

เลี่ยอวิ๋นไห่จากลัทธิบูชาจันทร์ลุกขึ้น พรสวรรค์ของเขาเยี่ยมยอด ภายในกายไหลเวียนด้วยเลือดแห่งการต่อสู้อันกร้าวแกร่งที่สุด พลังต่อสู้น่ากลัวอย่างที่สุด

“ไม่ ให้ข้าลงโทษเทพมารหลินนี่ก่อน!”

เสวียนจิงที่สะพายสัญลักษณ์ลึกลับชิงตัดหน้าเสียก่อน เงาร่างพริบไหว เสียงดังตูมหนึ่งครา ห้วงอากาศล้วนถูกฉีกทึ้ง กลิ่นอายของนางชวนผวาหาใดเปรียบ ดุจสายฟ้าแสงทมิฬสายหนึ่งคำรามกึกก้องลงมา

“แย่งกันมาทิ้งชีวิตหรือ ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะเชือดพวกเจ้าทีละคน” นัยน์ตาดำของหลินสวินเยียบเย็น ไหลเวียนด้วยประกายเย็นเฉียบที่พาให้ผู้คนใจสะท้าน

เขาไม่ข่มไอสังหารที่พลุ่งพล่านภายในกายอีกต่อไป!

ตูม!

เสวียนจิงพุ่งเข้ามาแล้ว ฝ่ามือเนียนขาวรายล้อมด้วยแสงทมิฬน่าสะพรึง แฝงพลังมหามรรคอันไร้ที่สิ้นสุด ฟันสังหารเข้ามา

ฝ่ามือทลายพิภพแสงทมิฬ!

นี่คือวิชาชั้นยอดแห่งเผ่าโบราณแสงทมิฬ ฟันออกไปหนึ่งคราห้วงอากาศแหวกทลาย เฉียบขาดฉับไวอย่างที่สุด แสงทมิฬเจิดจ้าพร่าตา

คนมากมายนัยน์ตาหดรัด เพราะในการต่อสู้ก่อนหน้านี้เสวียนจิงไม่ได้สำแดงพลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ออกมาด้วยซ้ำ แต่ยามนี้เมื่อต่อกรกับเทพมารหลิน พลังต่อสู้กลับเปลี่ยนไปจากเดิมลิบลับ เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้นางเก็บงำความแข็งแกร่งเอาไว้

ความจริงแล้วอย่าเห็นว่าพวกเขามีหลายสิบคน แต่เพราะมาจากขุมอำนาจต่างกัน ต่างฝ่ายต่างกริ่งเกรงและหวาดระแวงอยู่ในใจ ตอนที่ปิดล้อมอาหลู่และเจ้าคางคกก่อนหน้านี้ ต่างฝ่ายต่างก็เกิดการยื้อยุดกัน ล้วนไม่เคยทุ่มสุดกำลังอย่างแท้จริง เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกคนอื่นฉวยโอกาส

และนี่ก็ให้โอกาสเจ้าคางคกและอาหลู่ได้หายใจหายคอ หากไม่เป็นเช่นนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกปิดล้อมจากบุคคลกร้าวแกร่งมากมายขนาดนี้ คงยากที่ทั้งคู่จะสามารถยืนหยัดมาถึงป่านนี้ได้

พูดแล้วเหมือนช้าแต่ความจริงกลับรวดเร็วยิ่ง เผชิญหน้ากับการโจมตีครั้งนี้ของเสวียนจิง หลินสวินชูมือขึ้นกำเป็นหมัด พลังหมัดดั่งทะเลกว้างเวิ้งว้าง ทำลายล้างย่อยยับ

ตูม!

ห้วงอากาศแถบนั้นสั่นรัว ส่งเสียงโหยหวนแตกเป็นเสี่ยงๆ แสงเรืองศักดิ์สิทธิ์พราวพร่างพลิกตลบ ท่วมบริเวณนี้จนมิด

ที่น่าอัศจรรย์คือเสาทองแดงหนึ่งร้อยแปดต้นในตำหนักแห่งนี้เปล่งแสง พลังต้องห้ามอันพร่าเลือนไหลหลั่ง ทำให้ทั่วตำหนักทนทานมั่นคง ไม่เคยได้รับความเสียหาย

หาไม่ลำพังแค่พลังของการโจมตีครั้งนี้ก็เพียงพอจะใช้บดขยี้ภูผาธาราแล้ว

ขณะที่แสงศักดิ์สิทธิ์แผ่กว้าง หลินสวินยืนตระหง่านอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

ส่วนเสวียนจิงจากเผ่าโบราณแสงทมิฬที่สายเลือดสูงส่งไร้ใดเปรียบ เข้ามาเร็วเท่าใดตอนถอยไปกลับเร็วยิ่งกว่า เงาร่างซวนเซถอยครูดออกมาหลายจั้ง ลำแขนหยกข้างหนึ่งสั่นระริกน้อยๆ มีเลือดสดไหลออกจากง่ามนิ้ว

“เทพมารหลินนี่ดูเบาไม่ได้เลยจริงๆ” คนมากมายล้วนตกใจ พลังต่อสู้ของเสวียนจิงเป็นที่ประจักษ์ของทุกคน แต่กลับพลาดท่าตั้งแต่การประมือคราแรก พาให้ผู้คนเหนือความคาดหมายนัก

“ดีมาก คู่ต่อสู้เช่นนี้ฆ่าแล้วจึงจะสนุก ถ้าเป็นพวกไม่ได้ความข้าคงรังเกียจจะลงมือ!”

เสวียนจิงดูเหมือนอ่อนแอและสวยงาม แต่คำพูดกลับรุนแรงและบีบเค้นผู้คน ยามนี้นัยน์ตาเปล่งประกาย เจือแววเย็นชาเย้ยฟ้า

ชิ้ง!

นางเรียกดาบโค้งที่มีแสงทมิฬไหลเวียนเล่มหนึ่งออกมา ยามเอ่ยปากก็พุ่งเข้ามาแล้ว

“น่าเสียดาย เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะขวางข้าได้ ต้องทิ้งชีวิตอย่างแน่นอน!”

หลินสวินเสียงต่ำ จากนั้นเขาโจมตีออกไปโดยไม่ออมมือ เขาอดทนมานานมากแล้ว ความเคียดแค้นภายในใจประหนึ่งภูเขาไฟระเบิด จำเป็นต้องระบายออกมา

ตูมโครม!

ทั้งสองฟาดฟันกันอย่างดุเดือด หลังจากปะทะกันหลายสิบครั้ง หลินสวินพลันกดฝ่ามือลงเต็มแรง เสียงปึงดังขึ้นหนึ่งครา ดาบโค้งในมือเสวียนจิงถูกซัดปลิว

นอกจากนี้ร่างอรชรของนางราวกับถูกภูเขาใหญ่กระแทก ลอยคว่ำออกไป ริมฝีปากชมพูกระอักเลือด ดวงหน้างามพลันซีดขาวไร้ใดเปรียบทันที

บริเวณหัวไหล่ของนาง กระดูกเส้นเลือดยุบทลาย เลือดเนื้อแหลกเละ แขนข้างซ้ายเกือบถูกตัดออก อีกแค่นิดเดียวก็จะเฉือนเข้าลำคอของนางได้แล้ว!

“อะไร!?”

ทุกคนไหวหวั่น แววตาทอประกาย

พวกเขาก่อนหน้านี้ยังพากันลำพองตนยิ่ง ในใจอย่างมากก็เห็นหลินสวินเป็นบุคคลในระดับเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่เกรงกลัวเท่าไรนัก

แต่ยามนี้พวกเขาต่างตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง พลังต่อสู้ของเทพมารหลินกร้าวแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดเดาเอาไว้ลิบลับ!

“ข้ามาช่วยเจ้า”

ทันใดนั้นซางหลันแห่งเผ่าวิญญาณสมุทรส่งเสียงร้องยาว เรือนผมเขียวทั้งศีรษะปลิวสยาย กระชับขวานยักษ์เล่มหนึ่งพุ่งตัวเข้าสมรภูมิ

บุคลิกของเขาดุจทะเลคลั่งหอบม้วน แต่ละก้าวที่ย่างเหยียบออกมาห้วงอากาศล้วนแตกเป็นเสี่ยง ขวานยักษ์พวยพุ่งแสงมรรคบาดตา อานุภาพน่าสะพรึงอย่างที่สุด

แต่เพียงแค่การโรมรันสิบกว่าหน เขาก็ถูกหลินสวินใช้ปะทะฟู่ซี่โจมตีบาดเจ็บ ปากกระอักเลือด กระเด็นไปกระแทกเสาทองแดงต้นหนึ่งอย่างจังเหมือนว่าวที่สายป่านขาด เบื้องหน้าปรากฏดาวสีทอง

ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง สายตาที่มองหลินสวินราวกับมองดูสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็ไม่ปาน

ที่ผ่านมาพวกเขาแต่ละคนในที่นี้ล้วนเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดในสายตาผู้ฝึกปราณอื่นๆ กร้าวแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ

แต่ยามนี้ความแข็งแกร่งในพลังที่หลินสวินสำแดงออกมา กลับทำให้พวกเขาล้วนรู้สึกว่ากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดอยู่

“ทุกท่าน เลี่ยงไม่ให้ค่ำคืนยาวนานความฝันยืดเยื้อ พวกเราเข้าไปพร้อมกันเถอะ เทพมารหลินคนนี้มีพลังต่อสู่พลิกฟ้า หากคิดจะสยบเขาก็ต้องร่วมแรงร่วมใจกันจึงจะทำได้” อูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทองนัยน์ตาไหววูบ สีหน้าเจือความเคร่งขรึม

ก่อนหน้านี้เขายังเปรยว่าอยากรับหลินสวินเป็นบริวาร แต่ยามนี้ ไม่กล้าทำเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว

“องค์ชายเจ็ดกล่าวถูกต้อง เทพมารหลินคนนี้ดูท่าฝีมือร้ายกาจยิ่ง หากพวกเราต่างฝ่ายต่างต่อสู้ ไม่แน่อาจถูกเขาโจมตีพ่ายทีละคนก็ได้ ผลลัพธ์นี้คิดว่าคงไม่ใช่สิ่งทุกคนอยากเห็นแน่”

เทพธิดาหลิงหวาก็เอ่ยปากเช่นกัน แววตาเย็นเยียบเผยความอาฆาต กระทั่งตอนนี้นางก็ยังไม่ลืมความอัปยศที่หลินสวินเคยทำกับนาง

“พี่ใหญ่ ต้องช่วยหรือไม่!” อาหลู่ตะโกนเสียงดัง เขาดูออกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ในใจหวั่นวิตก

“หุบปากเถอะ! เจ้าเข้าไปรังแต่จะเพิ่มความวุ่นวาย ปกป้องข้าให้ดีก็พอแล้ว!”

เจ้าคางคกไออย่างหนัก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “โอกาสสร้างความโดดเด่นระดับนี้ก็ให้เขาไปนั่นแหละดีแล้ว ถ้าเขาถูกซัดหมอบจริงๆ เช่นนั้นพวกเราก็ได้แต่จบชีวิตเท่านั้น!”

“ฆ่า!”

ในที่นั้นเงาร่างสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมา หันปลายหอกไปทางหลินสวินเพียงคนเดียว

พวกเขามาจากขุมอำนาจต่างกัน ครั้งนี้ต่างมาเพื่อแย่งชิงศุภโชค แต่ก็รู้ดีว่าหากไม่จัดการหลินสวินให้สิ้นซากก่อน ใครหน้าไหนก็ไม่อาจบรรลุเป้าหมาย

“อาหลู่ ปกป้องเจ้าคางคกให้ดี พวกเจ้าแค่คอยดูว่าข้าจะฆ่าพวกมันให้เรียบอย่างไร!”

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณรอบตัวลุกโชนดุจเตาเพลิง คุกรุ่นสุดกำลัง โทสะหยาจื้อ วิชาอริยะยุทธ์ มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร… ความเร้นลับทั้งหมดถูกโคจร

และยามนี้พลังมหามรรคที่เขาเลือกใช้ทั้งหมดกลับเปลี่ยนไปแล้ว ใช้มรรคดับดารากลืนกินโดยไม่มีการยั้งมือแต่อย่างใด!

“ฮ่าๆ พูดมาได้ไม่อายปาก อย่าว่าแต่เจ้าเลย ไม่ว่าใครหน้าไหนโผล่มาล้วนต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเหมือนกัน!”

มีคนหัวเราะเยาะ

นี่ไม่ใช่คำคุยโว โดยทั่วไปแล้วแม้จะเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณ ก็ไม่สามารถสกัดการปิดล้อมของคนรุ่นเดียวมากมายขนาดนี้ได้

ควรรู้ว่าในหมู่พวกเขาไม่ขาดสัตว์ประหลาดยุคโบราณและปีศาจแห่งยุค ล้วนยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งยอดมกุฎ เป็นบุคคลดุจดั่งนายเหนือหัวของฝ่ายหนึ่งกันทั้งสิ้น

แน่นอน นี่เป็นเพียงสถานการณ์ทั่วไปเท่านั้น

ตูม!

คนที่พุ่งเข้ามาก่อนคือเลี่ยอวิ๋นไห่จากลัทธิบูชาจันทร์ นัยน์ตาม่วงของเขาสาดประกายแปลกประหลาด ร่างกายมีแสงเมฆพวยพุ่ง ระเบิดอานุภาพศักดิ์สิทธิ์

ทวนศึกเล่มหนึ่งในมือเขากวาดขวาง ราวกับจันทร์เพ็ญสีม่วงดวงหนึ่งกำลังเคลื่อนขวาง แสงศักดิ์สิทธิ์ลุกโหม

เพียงแต่หลินสวินยื่นมือคว้าคราเดียวก็ทำลายพลังโจมตีของเขา คว้าทวนศึกของเขาเอาไว้แน่นหนาด้วยความเร็วดุจสายฟ้าฟาด จากนั้นก็ออกแรงดุดัน

ตึง!

ทวนศึกถูกหลินสวินบังคับแย่งเอาไป จากนั้นทวนศึกกวาดผ่าน เลี่ยอวิ๋นไห่ถูกทวนศึกของตัวเองกระแทกปลิวออกไปทันที!

“ฆ่า!”

ไอสังหารและความเคียดแค้นสุมอกของหลินสวินกลายเป็นเสียงคำรามลั่น ราวกับอสนีโหมกระหน่ำเก้าสวรรค์ เลือดลมเดือดระอุ พุ่งทะยานเข้าไป

ผมดำของเขาปลิวสยาย สีหน้าเย็นเยียบจนน่ากลัว แม้เผชิญหน้ากับวงล้อมโจมตีของทุกคน ก็ไร้ซึ่งแววกริ่งเกรงแต่อย่างใด เป็นฝ่ายสำแดงการเข่นฆ่าก่อน!

——