ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 176 ก่อนหน้าที่จะเกิดลมฝนประหลาด

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เมื่อได้ฟังคำพูดของเฉินฉางเซิง ลั่วลั่วจึงซาบซึ้งยิ่งนัก

แต่เฉินฉางเซิงมองว่านี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดินีเผ่าปีศาจหรืออย่างอื่น เจ้าอยากทำก็ทำเสีย ไม่อยากทำแน่นอนว่าก็ไม่ต้องทำ อย่าให้เหตุผลอื่นส่งผลต่อตัวเอง ต่อให้เป็นอนาคตของทั้งดินแดนก็ตาม

ตอนนั้นที่ถังซานสือลิ่วเอ่ยว่าไม่อยากเป็นผู้นำตระกูลถัง เขาก็มีท่าทีเช่นนี้เช่นกัน

ลั่วลั่วรู้ความคิดของเขาดี แต่เรื่องสมเหตุสมผลเช่นนี้แน่นอนว่าต้องทำให้นางซาบซึ้งใจมาก

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว นางยังคงรั้งกายอยู่ในอ้อมกอดเขา มองเขาพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านพ่อจะสนับสนุนความคิดท่านแม่”

เฉินฉางเซิงเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ข้าก็หวังเช่นนั้น เพียงแต่ข้าไม่มีความเชื่อมั่นเท่าใดนัก”

หักหลังพันธสัญญาระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์ แล้วไปร่วมมือกับเผ่ามาร สำหรับเผ่าปีศาจและทั้งดินแดนแล้วล้วนเป็นการพลิกหน้าประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง

เพื่ออนาคตของเผ่าปีศาจ การตัดสินใจทั้งหมดของจักรพรรดิขาวล้วนเป็นสิ่งที่สามารถคาดเดาได้ทั้งสิ้น

หากว่ากันตามการอนุมานของเฉินฉางเซิงแล้ว ยังคงมีปัญหาบางอย่างที่แก้ยาก เช่นคราวนั้นที่จักรพรรดินีเทียนไห่ข่มขู่ทั้งดินแดน เหตุใดจักรพรรดิขาวจึงไม่เตือนเผ่ามนุษย์เล่า

นั่นเป็นเพราะจุดที่เขายืนนั้นสูงไม่พอ มองได้ไกลไม่มากพอ

ในตอนนั้นปัญหาเผ่าพันธุ์มนุษย์ยังไม่เคยได้รับการแก้ไขเลย ซางสิงโจวยังคงอยู่ที่ริมทะเลสาบมองไปที่เมืองหลวงเงียบๆ ใต้เท้าสังฆราชก็ประทับอยู่ที่พระราชวังหลีมองไปยังวังหลวงด้วยความรู้สึกหลากหลาย

ในหลายปีนั้น จักรพรรดิขาวลอบให้การสนับสนุนซางสิงโจวอย่างลับๆ อยู่ตลอด น่าจะด้วยเหตุผลที่ต้องการรักษาสมดุลของอำนาจภายในของเผ่ามนุษย์เอง

ต่อมาจักรพรรดินีเทียนไห่สิ้นเสียแล้ว เผ่ามนุษย์ก็สูญเสียผู้แข็งแกร่งไปมากมาย นั่นหมายถึงยามนี้เผ่ามนุษย์ไม่มีความขัดแย้งภายในอะไรอีกแล้ว

ความตั้งใจเป็นหนึ่งเดียวกันเดิมทีก็เป็นเรื่องน่าหวั่นกลัวที่สุดอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้เผ่ามารก็อ่อนแอลงมากเพราะว่าวุ่นวายภายใน

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เผ่าปีศาจตอนนี้ราวกับล้วนต้องการจะเป็นพันทมิตรกับเผ่ามาร

ดังนั้นสำหรับท่าทีของจักรพรรดิขาวแล้ว เฉินฉางเซิงจึงไม่สามารถทำการตัดสินใจที่แน่ชัดใดๆ ได้เลย

ยามนี้คิดว่าความหวังสูงสุดของเขากับเผ่ามนุษย์ก็คือความคิดเห็นต่อต้านภายในเผ่าปีศาจเหล่านั้นเอง

……

……

บรรยากาศในเมืองไป๋ตี้เต็มไปด้วยความกดดัน ทุกด้านล้วนสามารถมองเห็นทหารกำลังเดินเวรยามและองครักษ์ปีศาจที่สีหน้าเคร่งขรึม

ร้านค้าที่เดิมเคยคึกคักอย่างหาใดเปรียบได้บนถนนซีจื่อ บรรดาชาวเมืองต่างก็ไม่ค่อยออกมาเดิน มองแล้วดูเงียบเหงาพิลึก

เมื่อเทียบกับบรรยากาศในเมืองแล้ว บรรยากาศในทุ่งที่กว้างใหญ่ไพศาลทั้งสองฝั่งแม่น้ำแดงยิ่งตึงเครียดขึ้น เหมือนไฟป่าใต้ต้นเทียนซู่ก็มิปาน ราวกับมันสามารถจะระเบิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ

กองทัพทหารศิลาดำที่ประจำการอยู่บนเขา เมื่อคืนเกิดเรื่องยุ่งวุ่นวาย แม่ทัพใหญ่แห่งเผ่าปีศาจซีเฮ่อจัดการสถานการณ์อย่างยากลำบาก จึงไม่ได้เกิดเรื่องร้ายแรงอะไรขึ้นมากมาย

แม้แต่ทหารม้าที่มีระเบียบวินัยและยอดเยี่ยมที่สุดก็ยังเสียขวัญและกำลังใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชนกลุ่มน้อยที่ประจำการอยู่บนภูเขาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่เหล่านั้น ตามรายงานจากที่ต่างๆ ระบุว่า ในเวลาสั้นๆ เพียงสองวัน กองทหารของเผ่าปีศาจเองก็เกิดการขัดแย้งนองเลือดมากมายในกองทัพ ต่อมาชนเผ่าต่างๆ ก็ได้เริ่มรวบรวมกำลังพล

นี่คือสัญญาณของการรบ และคือลางบอกเหตุของอุปสรรค

เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ใช่สงครามระหว่างเผ่ามารและเผ่ามนุษย์ แต่เป็นสงครามระหว่างอำนาจสองขั้วในเผ่าปีศาจเอง

ทั้งเผ่าปีศาจนั้นได้แบ่งแยกอำนาจออกเป็นสองขั้วแน่แล้ว

มู่ฮูหยินที่เป็นตัวแทนของราชสำนักและหัวหน้าเผ่าเซี่ยงจะให้การสนับสนุนการร่วมเป็นพันทมิตรกับเผ่ามาร

และที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็คือฝ่ายของลั่วลั่ว เพราะพวกเขามีระบบข้าราชการพลเรือนที่มีอัครเสนาบดีเป็นตัวแทน ทั้งยังมีชนกลุ่มน้อยมากมายให้การสนับสนุน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถรักษาไว้ซึ่งมิตรภาพที่ดีกับเผ่ามนุษย์ให้จงได้

ความสามารถที่แท้จริงของฝ่ายแรกมีมากกว่าฝ่ายหลัง ปัญหาก็คือท่าทีของฝ่ายหลังแข็งกร้าวยิ่งนัก อีกประการหนึ่งพวกเขายังได้รับการสนับสนุนอย่างแรงกล้าจากเผ่ามนุษย์ที่เฉินฉางเซิงเป็นตัวแทน

หากว่ามู่ฮูหยินอยากจะใช้อำนาจบีบบังคับโดยการนำสาส์นตราตั้งมาป่าวประกาศให้ทั่วหล้ารับทราบ เผ่าปีศาจอาจจะตกอยู่ในสงครามกลางเมืองภายในที่หาทางออกไม่ได้

ไม่มีใครอยากจะเห็นภาพอย่างนี้ ดังนั้นก่อนที่ความขัดแย้งดุเดือดรุนแรงจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าเผ่าเซี่ยงหรือว่าผู้อาวุโสจากเผ่าปีศาจอื่นๆ ก่อนอื่นคงต้องคิดว่ายังหวังที่จะอาศัยการเจรจามาเกลี้ยกล่อมฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นสองวันมานี้บนถนนของทั้งเมืองไป๋ตี้จึงไม่ค่อยเห็นผู้คนเดินไปมา ผู้อาวุโสและขุนนางในจวนต่างก็ต้องคอยรับรองแขกไม่หยุด แม้กระทั่งการออกว่าราชการในท้องพระโรงยังหยุดไปเลย

สถานที่ที่คึกคักที่สุดสองที่ก็คือ ในเขตที่พักผู้นำเผ่าเซี่ยงและอารามเต๋าซีหวง

ที่แรกก็เนื่องจากราชามารน่าจะยังอยู่ในบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ใกล้กับเขตที่พักผู้นำเผ่าเซี่ยงหลังนั้น และกำลังได้รับการปกป้องจากเผ่าเซี่ยงอยู่

ที่ต่อมากลับเป็นเพราะเนื่องจากเฉินฉางเซิงก็พำนักอยู่ที่นั่นเช่นกัน

ใต้เท้าสังฆราชของเผ่ามนุษย์กับราชามารอาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน โดยมีระยะห่างแค่สิบกว่าลี้เท่านั้นเอง นี่เป็นฉากหนึ่งที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์เลย

บรรยากาศของเรื่องนี้แน่นอนว่าก็ต้องเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

หัวหน้าเผ่ามากมาย พ่อค้าวาณิช ขุนนางต่างๆ เอาแต่เดินเข้าไปในที่พำนักของเผ่าเซี่ยงไม่หยุด ผ่านไปไม่นานก็ออกมา เมื่อดูจากสีหน้าของพวกเขาแล้วก็มองไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้นด้านไหนกันแน่ สุดท้ายแล้วพวกเขาพูดคุยกับราชามารได้ผลเป็นเยี่ยงไร หรือแม้แต่กระทั่งไม่มีทางทราบได้เลยว่าพวกเขาได้พบกับราชามารท่านนั้นหรือไม่ สรุปก็คือทั้งหมดนั้นล้วนดูแล้วลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

เฉินฉางเซิงใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ ในการต้อนรับตัวแทนของอำนาจจากทุกฝ่าย

หัวหน้าเผ่าสยงและหัวหน้าเผ่าชื่อแนะนำหัวหน้าเผ่าชนกลุ่มน้อยมากมายให้มาแสดงความเคารพ

มีคนปรากฏตัวขึ้นที่อารามเต๋าซีหวงมากมายในเวลาอันสั้น

เมื่อตัวแทนของเผ่าเหมิงที่ดูยังเยาว์ทั้งสองคนเดินเข้ามาในตำหนัก ทั้งสองใช้น้ำเสียงหนักแน่นที่สุดในการแสดงออกถึงการสนับสนุนเผ่ามนุษย์ เฉินฉางเซิงตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

ไม่ใช่เป็นเพราะว่าการแสดงออกที่โอบอ้อมอารีเกินไปจนทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้น แต่เป็นเพราะเขารู้จักฝ่ายตรงข้ามทั้งสองคนนี้เป็นอย่างดี

…หลายปีก่อนเขาเดินทางจากเมืองซีหนิงไปที่เมืองหลวง เขาคิดอยากจะทำการสอบคัดเลือกเข้าไปในหกสำนักไม้เลื้อย เขาเคยพบเจอสองพี่น้องนักล่าสัตว์ที่มาจากสันเขาต้าเหล่าคู่นี้มาก่อน สองพี่น้องนักล่าสัตว์นี้สุดท้ายแล้วสอบเข้าไปในสำนักเด็ดดาราได้สำเร็จ ต่อมาได้กลายเป็นนายทหารของต้าโจวที่เต็มไปด้วยเกียรติยศและศักดิ์ศรี เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สองพี่น้องนักล่าสัตว์นี้สุดท้ายแล้วจะเป็นคนของเผ่าปีศาจ

ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้วนี่คงเป็นเพราะการจับมือร่วมมือกันของทหารฝั่งต้าโจวและเผ่าเหมิงนั่นเอง

ในปีนั้นเฉินกวนซงเจ้าสำนักของสำนักเด็ดดารามีการวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาเป็นบุคคลที่น่าทึ่งจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่ซางสิงโจวจะยกย่องเขาว่าเป็นผู้ที่ได้รับคัดเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้นำรุ่นต่อไปของกองทัพต้าโจว แต่น่าเสียดายที่เขาเสียชีวิตในเพลิงหงส์สุดท้ายของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ คำกล่าวที่ว่าแม้ความทะเยอทะยานและกลยุทธ์ต่างๆ จะหมดลง แต่โชคดีที่พวกเขายังคงทิ้งร่มเงาไว้ให้คนรุ่นต่อไป

ในเวลาค่ำคืน ตัวแทนเผ่าต่างๆ และเหล่าขุนนางที่มาคารวะเฉินฉางเซิงทยอยเดินทางออกจากอารามเต๋าซีหวง มีเพียงผู้อาวุโสบางท่านที่มีความสำคัญเท่านั้นที่ยังคงอยู่ต่อ ตอนนี้พวกเขาได้กลายเป็นตัวแทนพันธมิตรที่มั่นคงที่สุดของเผ่ามนุษย์แล้ว เมื่อพิจารณาถึงการเคลื่อนไหวในวันนี้แล้ว ความเชื่อมั่นของพวกเขาก็เต็มเปี่ยมมากขึ้น แต่ก็ยังคงมีบางเรื่องที่ทำให้ผู้เขารู้สึกกระวนกระวายใจ

“หากฝ่าบาททรงออกจากการกักตน เรื่องทั้งหมดเขาคงจัดการได้ในคำเดียว ต่อให้เขาได้รับบาดเจ็บต้องการฟื้นกำลัง แต่เมื่อเกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ เหตุใดยังไม่ออกหน้าอีกเล่า”

เมื่อได้ฟังข้อกังขาของหัวหน้าเผ่าสยงแล้ว ท่านอัครเสนาบดีก็เงียบไปครู่ใหญ่ หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค

“หลายปีมานี้ไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นฝ่าบาทกับตาเลย ข้าเองก็ไม่เคย”

“หลายวันก่อนผู้อาวุโสได้เดินทางไปสัมผัสดวงจิตของฝ่าบาท” หัวหน้าเผ่าชื่อเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ผู้อาวุโสผู้นั้นเป็นบุคคลที่มีความอดทนและอดกลั้นที่สุดที่ข้าเคยพบมาในชาตินี้แล้ว ข้าคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดครานี้จึงได้ยอมกระโดดออกมา อีกทั้งชนกลุ่มน้อยทั้งสองฟากฝั่งของแม่น้ำแดงล้วนทราบทั้งสิ้นว่า และความสัมพันธ์ของเขากับเหนียงเหนียงก็หาได้ดีไม่ นั่นเป็นเพราะดวงจิตของฝ่าบาทเขาเลยเปลี่ยนไปหรือ หากเขาเป็นคนของเหนียงเหนียงจริง อย่างนั้นผู้ใดสามารถยืนยันได้เล่าว่าในคืนนั้นเขาไม่ได้พูดปด”

เมื่อได้ยืนเสียงปรึกษาหารือที่กดเสียงต่ำลงนี้ เฉินฉางเซิงเงียบไปนาน

เขาทราบดีว่าผู้แข็งแกร่งจากเผ่าปีศาจทั้งหลายนี้อยากจะใช้วิธีนี้ในการตักเตือนตน หรือไม่ก็ต้องการเตือนสติตนนั่นเอง

แต่เรื่องนี้ช่างคาดไม่ถึงเสียจริง ดังนั้นต่อให้ทั้งรอบด้านไร้ผู้คน พวกเขาก็กล้าเพียงใช้ถ้อยคำที่แฝงด้วยความคลุมเครือเท่านั้น

“เรื่องใดก็ตามล้วนต้องเห็นด้วยตาตนจึงจะตัดสินผิดถูกได้ ข้าไม่อยากรบกันเองในเผ่าปีศาจ แต่ยามนี้สถานการณ์ต้องจบลงอย่างเร็วที่สุด”

เฉินฉางเซิงเงียบอยู่นาน ก่อนเอ่ย “ข้าจะไปคารวะองค์จักรพรรดิขาว”