ค่ำคืนนี้ไม่มีเมฆา มีเพียงดวงดาวที่กระจายตัวไปทั่วราวกับเมล็ดงา มองดูแล้วไร้กฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเห็นทิศทางใดก็ล้วนเกลี้ยงเกลาและยังเรียบสม่ำเสมอกัน
เฉินฉางเซิงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง มองไปยังผืนดาวที่ดูแล้วจะดูเหมือนใกล้กับเขามากกว่าพื้นโลกเสียอีก ก่อนเอ่ยบทสนทนาก่อนหน้าอีกครั้ง
ลั่วลั่วยืนอยู่เบื้องหน้าเขา มือซ้ายนางเคยชินเสียแล้วกับการจับชายเสื้อเขาไว้ นางเอียงคอคิดพลางเอ่ย “อย่างนั้นก็ไปพบเลยสิ”
เฉินฉางเซิงมองหน้านางก่อนเอ่ย “เรื่องนี้ต้องเป็นความลับ อย่าให้ท่านแม่ของเจ้าสังเกตเอาได้”
หัวหน้าเผ่าชื่อได้วาดจุดที่จักรพรรดิขาวน่าจะกำลังกักตนลงบนแผนที่แล้ว หลังจากนั้นก็มอบให้แก่เขา
แม้จะอยากไปทางไหน แต่สุดท้ายก็ต้องผ่านทางลับที่อยู่ในวังอยู่ดี
ตามความคิดเขา ถึงแม้ว่าลั่วลั่วจะสูงส่งเป็นถึงองค์หญิง แต่ภายในการกดขี่ของมู่ฮูหยินน่าจะไม่ได้มีอำนาจกดดันอะไรนักกับเขตพระราชฐานแห่งนี้
ลั่วลั่วกะพริบตาถี่ ก่อนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “อาจารย์ท่านวางใจเถิด ข้าเป็นนักเรียนของท่านเชียวนะ เรื่องเช่นนี้ถือว่ายังมีความสามารถอยู่บ้าง”
เฉินฉางเซิงรู้สึกว่าในคำกล่าวนี้มีน้ำเสียงของซูหลีและถังซานสือลิ่วอยู่บ้าง จึงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
……
……
จากสถานที่อับชื้นแต่ไม่หนาวเย็น กลับรู้สึกถึงความร้อนที่ออกมาจากด้านในของทางเดินศิลาด้วยซ้ำ ภูเขาน้ำแข็งและแสงตอนเช้าปรากฏในสายตาของเฉินฉางเซิง
ภูเขาสูงพันลี้ เบื้องล่างคือหน้าผาหินศิลาสีดำและป่าดิบชื้น ครึ่งบนนั้นปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ในยามเช้าที่ส่องแสงระยิบระยับ จู่ๆ มันก็ลอยขึ้นมาที่ริมทะเลสาบ และทอดตัวไปทางทิศเหนือ ซึ่งแทบจะมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลยแม้แต่น้อย นั่นมันยังทำให้ผู้คนกังขาว่ามันจะผ่านไปถึงจุดจบของโลกหรือไม่ มันดูยิ่งใหญ่อลังการราวกับเทพนิยาย
เฉินฉางเซิงทราบดีกว่าภูเขาน้ำแข็งที่ทอดยาวนับพันลี้นี้ก็คือเทือกเขาซิงลั่วซึ่งมักถูกเอ่ยถึงในหนังสือโบราณเสมอ
เทือกเขาซิงลั่วนี้ทอดยาวไปตามแนวทะเลซีไห่ จู่ๆ ก็เกิดขึ้นเองทางเหนือของเมืองไป๋ตี้ ทางด้านซ้ายมือตลอดทางยาวกว่าร้อยลี้นั้นล้วนเป็นมหาสมุทร ระหว่างเทือกเขานั้นมีหิมะที่ปกคลุมมานานกว่าหมื่นปี แนวเขานั้นทอดยาวไปกว่าหมื่นลี้ ไปจนถึงเขตเหนือสุด ตอนกลางมีที่ราบค่อนข้างราบมันถูกเรียกว่าจานหลิง
จากนั้นเดินต่อไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้อีกสิบกว่าวัน ก็จะมาถึงทางด้านตะวันตกสุดของศาลทหารเขตชงโจว
ระหว่างที่ราบจานหลิงและศาลทหารเขตชงโจวนั้นมีทุ่งหญ้าอยู่ นั่นคือต้นตระกูลของเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ ตอนนี้ตกเป็นของเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงแล้ว
เฉินฉางเซิงดำเนินมาถึงริมทะเลสาบ มองไปยังแนวเทือกเขาที่อยู่ตรงข้าม
เขานึกไปถึงคัมภีร์ลัทธิเต๋าได้บันทึกเอาไว้ว่าแม่น้ำแดงถือกำเนิดจากเทือกเขาน้ำแข็งบางเทือกเขา ทั้งยังคิดถึงที่ราบสูงนั้นที่มีความเชื่อมโยงกับตน พลันเกิดความรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย
นับตั้งแต่เผ่าปีศาจก่อตั้งขึ้น ณ แม่น้ำแดง จักรพรรดิขาวและจักรพรรดินีที่มีความเป็นมากว่าหมื่นปีล้วนถูกฝังพระศพไว้ ณ เทือกเขาซิงลั่วแห่งนี้
ตามกฎของวิญญาณบรพชน เพื่อป้องกันไม่ให้ปีศาจมองเห็นร่องรอยของอัฐิของปีศาจและโลหิตแท้ จักรพรรดิขาวในอดีตนั้นล้วนไม่มีผู้ใดมาสร้างสุสานไว้บนภูเขา เมื่อใกล้หมดอายุขัยเท่านั้นถึงจะดำเนินไปทางลับที่เฉินฉางเซิงเคยเดินมายังช่องเขานี้ เลือกมาสักที่เพื่อปิดตาลง จิตวิญญาณจะกลับไปยังมหาสมุทรดารา
แน่นอน นอกจากยามใกล้จะเสียชีวิต ในราชวงศ์ที่ผ่านมาจักรพรรดิขาวมักจะมาที่เทือกเขาซิงลั่วเพื่อไว้ทุกข์บรรพบุรุษ หรือไม่ก็ชื่นชมทัศนียภาพ หรือไม่ก็เสาะหาโอกาสที่จะทะลวงระดับขั้น แน่นอนว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสร้างสิ่งปลูกสร้างที่จะพักระหว่างยอดเขานี้ เพียงแค่ภายนอกของสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้นล้วนมีค่ายกลร้ายกาจอยู่ หากไม่ใช่จักรพรรดิขาวก็จะเข้าไม่ได้
จักรพรรดิขาวองค์ปัจจุบันเคยเปิดฉากรบที่สั่นสะเทือนฟ้าดินกับราชามาร ณ ทุ่งหิมะทางตอนเหนืออันหนาวเหน็บ ราชามารได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นก็ถูกคนชุดดำและผู้คุมกฎเผ่ามารร่วมมือกันโต้กลับ บาดแผลของจักรพรรดิขาวนั้นสาหัสนัก หลายปีมานี้จึงมากักตนรักษาตัวที่เทือกเขาซิงลั่วแห่งนี้ตลอด นอกเสียจากมู่ฮูหยินและหัวหน้าเผ่าเซี่ยงแล้ว น้อยคนนักจะทราบว่าเขาอยู่ที่ใดกันแน่
เฉินฉางเซิงมีแผนที่ที่หัวหน้าเผ่าชื่อมอบให้ แน่นอนว่าจึงไม่หลงทางแน่นอน เขาใช้ย่างก้าวหยั่งเทวาในการเดินทางบนหิมะ ใช้เวลาไม่นานก็ค้นหาสถานที่นั้นพบ
ก่อนหน้าจะเจอต้นสนเก่าแก่ที่เขียวชอุ่มทั้งสองต้น มีหน้าผาสีดำสนิทขนาดใหญ่อยู่
หน้าผานั้นมีหิมะน้ำแข็งที่ไม่ละลายมากว่าหมื่นปีแล้ว มองดูแล้วเยือกเย็นหาใดเทียบ ล้วนไร้พลังชีวิต แทบจะมองแทบไม่เห็นความแปลกประหลาดใดๆ เลย
ตำแหน่งที่ทำสัญลักษณ์บนแผนที่นั้นขอบเขตกว้างมาก เฉินฉางเซิงไม่รู้ตำแหน่งทางเข้า เขาใช้ดวงจิตสำรวจไปรอบด้าน กลับพบเพียงค่ายกลกำบังเท่านั้น
ค่ายกลกำบังนั้นราวกับกำลังลมชั้นหนึ่งที่กั้นดวงจิตเขาเอาไว้เสีย แต่อารมณ์เขาตอนนี้กลับสงบนิ่งยิ่งนัก เนื่องจากแน่ใจยิ่งแล้วว่าเป็นที่นี่
ภายใต้หน้าผาสีดำและน้ำแข็งหิมะเย็นยะเยือก มีค่ายกลซ่อนอยู่ หลังจากได้รับรู้เพียงช่วงเวลาอันสั้น เขาก็ค้นพบจุดที่ร้ายกาจของค่ายกลนี้
ค่ายกลนี้กับค่ายกลในวังถงที่อยู่ในพระราชวังของเมืองหลวงน่าจะมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน ทั้งลึกลับและอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างความเป็นตายมีความลึกลับซ่อนอยู่ภายใน เพียงแต่ว่าอาจจะเป็นเพราะมันดึงดูดเอาไอปราณมาจากทะเลสาบเทือกเขาหิมะมากเกินไป ค่ายกลนี้จึงเย็นชาและโหดเหี้ยมกว่าวังถงมากนัก และมักจะแผ่รังสีสังหารออกมาด้วย ทั้งยังมีไอปราณของราชวงศ์ที่เข้มข้นมาก
ค่ายกลนี้หากถูกกระตุ้นจริง เกรงว่าอานุภาพจะไม่ร้ายแรงไปกว่าค่ายกลกักกันของแม่น้ำแดงเท่าใดเลย แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับภาพราชรถของเมืองหลวงแล้ว ยังห่างชั้นอีกมาก
วันก่อนขณะที่เฉินฉางเซิงทำลายค่ายกลกักกันของแม่น้ำแดง พลังเจิดจรัสของไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์สำนักฝึกหลวงถูกใช้ไปมากนัก ตอนนี้ยังไม่สามารถใช้มันอีกครั้งได้ อย่างนั้นควรใช้วิธีอันใดทำลายค่ายกลดีเล่า
ในเมื่อโลกนี้มีค่ายกล แน่นอนว่าก็ต้องมีเคล็ดทลายค่ายกลที่เหมาะสมกัน
เฉินฉางเซิงเชี่ยวชาญคัมภีร์เต๋า ภายหลังจากบำเพ็ญพรตแล้วก็เคยศึกษาเรื่องค่ายกลต่างๆ แต่ก็ยังไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องค่ายกลนี้ หลังจากพินิจพิจารณาอยู่นานก็นึกความเป็นไปได้ออกเพียงอย่างเดียว
เมื่อมองไปยังหน้าผาสีดำหิมะน้ำแข็งที่อยู่ตรงหน้า ในใจของเขามีความรู้สึกลึกซึ้งชนิดนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
หากว่าในตอนนั้นไม่ได้เข้าใจผิดคิดว่านางเป็นหญิงสาวจากเผ่าจิตวิญญาณพรสวรรค์ พวกเขาก็คงจะได้อยู่ด้วยกันเร็วกว่านี้ใช่หรือไม่ หากว่าวันนั้นที่ริมแม่น้ำถงเจียง ตอนที่ตนอ่านจดหมายจบแล้วหากอดทนรอไปอีกครึ่งวันได้ นางจะขี่กระเรียนร่วมทางมาพร้อมกับตนได้หรือไม่นะ หากตอนนี้นางอยู่ที่นี่นางจะมองเพียงสองครั้งก็เห็นช่องโหว่ของค่ายกลนี้หรือไม่
เสียงกังวานของโลหะดังขึ้นเสียงหนึ่ง กระบี่กว่าสิบเล่มปรากฏขึ้นในอากาศ เจตจำนงกระบี่อันเข้มข้นหาใดเปรียบถือเอาร่างกายของเฉินฉางเซิงเป็นศูนย์กลางพุ่งตัวออกไปทุกทิศทาง ทันใดนั้นเองก็เกิดเกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนปลิวร่วงลงในอากาศ
เฉินฉางเซิงจับกระบี่ไร้ราคีไว้เสียแน่น เขามองไปยังเบื้องล่างหน้าผาสีดำสนิทตรงหน้าที่กำลังปะทุขึ้นอย่างระมัดระวัง
เกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาจากหิมะน้ำแข็งด้านบนของหน้าผาสีดำ เป็นเพราะมันได้รับแรงสั่นสะเทือน ก็เหมือนกับที่เท้าทั้งสองข้างของเขารับรู้ได้ถึงสิ่งนั้นอย่างชัดเจนเช่นกัน
ด้านล่างของหน้าผาสีดำสนิทนั้นปะทุขึ้นราวกับจะปริออก มีบุคคลสองคนกำลังปีนออกมาจากด้านใน
กระบี่กว่าสิบเล่มสั่นคลอนเล็กน้อย เกิดเสียงดังหึ่งๆ ที่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว แต่กลับไม่ได้เปิดฉากการโจมตีแต่อย่างไร เนื่องจากเฉินฉางเซิงจำฐานะของสองคนผู้นี้ได้
สองคนผู้นี้คือจินอวี้ลวี่และเสี่ยวเต๋อ
จินอวี้ลวี่นั้นเคยเป็นคนเฝ้าประตูที่สำนักฝึกหลวง เคยจัดการเรื่องยุ่งยากมากมายแทนเฉินฉางเซิง หลายปีไม่ได้พบเจอ แต่ความรู้สึกดียังคงอยู่
เสี่ยวเต๋อแม้ว่าจะมีความเป็นศัตรูกับเฉินฉางเซิง แต่เขาและความสัมพันธ์กับเผ่ามนุษย์นั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็ใกล้ชิดกัน เมื่อสุสานเทียนซูเกิดการเปลี่ยนแปลง เขาและเซียวจางต่างก็บุกเข้าไปในวังหลวงด้วยกันเพื่อช่วยเหลือคุณชายรองตระกูลถังแย่งชิงอำนาจการปกครองของฮวงเหนียนถู สามารถคิดได้ว่า ในตอนนั้นเขาก็เป็นผู้ร่วมมือกับซางสิงโจว
ทัศนคติมั่นคงที่แสดงออกมาของหัวหน้าเผ่าชื่อในพิธีคัดเลือกสวรรค์และหลังจากนั้นสองวันก็พิสูจน์สิ่งนี้ได้ทางอ้อม
แน่นอนว่าเฉินฉางเซิงต้องไม่โจมตีพวกเขาเป็นแน่ เพียงแต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะมุดออกมาจากหน้าผาสีดำนั้น
หากจักรพรรดิขาวกักตนในส่วนลึกของหน้าผาจริง อย่างนั้นพวกเขาพบเห็นหรือไม่
เวลานี้ เขานั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนอยากจะได้ยินคำตอบอันไหนก่อนกันแน่ เนื่องจากดูเหมือนว่าคำตอบไหนก็ไม่ดีทั้งนั้น