จินอวี้ลวี่ยังคงสวมเสื้อคลุมที่ปักด้วยด้ายสีทองแดง ราวกับผู้มีฐานะ เพียงแต่ตอนนี้ดูแล้วจนตรอกยิ่งนัก ทั้งตัวเต็มไปด้วยโคลนและเศษหิน ท่าทางของเสี่ยวเต๋อยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ คราบสีเหลืองของโคลนเหลวปกคลุมไปทั่วเสื้อผ้าของเขา สีของมันเข้มกว่าสีเหลืองอิฐที่ดูดุร้ายซึ่งอยู่ด้านในลูกตาดำสีนั้นเสียอีก ดูราวกับสิ่งชั่วร้ายบางอย่าง
เมื่อมองเห็นเฉินฉางเซิงยืนอยู่ด้านนอกของหน้าผา จินอวี้ลวี่ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่นานสีหน้าก็ปรากฏอารมณ์แห่งความปลื้มปีติ เนื่องจากไม่ต้องพิจารณาก็รู้ได้ว่าเฉินฉางเซิงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะลั่วลั่ว
เสี่ยวเต๋อมองเห็นแววตาของเฉินฉางเซิงมีความซับซ้อนเล็กน้อย ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา เขามักจะทำงานต่างๆ ตามลักษณะท่าทางของเฉินฉางเซิง
หรือจะเอ่ยได้ว่า เขากำลังเรียนรู้ศัตรูที่ตนเคยเกลียดที่สุดคนนี้ วันนี้จู่ๆ ต้องเเผชิญหน้า คนเย่อหยิ่งเช่นเขาภายในใจจึงมีความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
จินอวี้ลวี่เอ่ยถาม “ท่านใต้เท้าสังฆราชก็มาพบใต้เท้าหรือ”
เฉินฉางเซิงพยักหน้า พลางเอ่ยถาม “พวกท่านพบแล้วหรือ”
จินอวี้ลวี่ส่ายหน้า ดูเหมือนกับเหนื่อยล้ายิ่งนัก ก่อนเอ่ย “รู้ทั้งรู้ว่าอยู่ด้านใน แต่กลับเข้าไปไม่ได้”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ย “ท่านนักปราชญ์สบายดีหรือไม่”
จินอวี้ลวี่เอ่ยตอบ “ไม่ได้พบเจอ จึงไม่ทราบได้”
สีหน้าของเสี่ยวเต๋อมีความระมัดระวังปรากฏออกมา
เฉินฉางเซิงเอ่ยกับเขาว่า “ท่านหัวหน้าเผ่าชื่อเป็นคนบอกพิกัดนี้แก่ข้า”
เสี่ยวเต๋อฟังเข้าใจถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในประโยคนี้ เอ่ยว่า “อย่างนั้นยามนี้ก็คงต้องดูฝีมือท่านแล้ว”
หัวหน้าเผ่าชื่อเป็นที่รู้จักในเรื่องความมีไหวพริบและความรอบคอบ หากมิใช่เพราะแน่ใจว่าเสี่ยวเต๋อไม่มีหนทางสำเร็จได้แล้ว คงไม่ยินดีบอกพิกัดที่จักรพรรดิขาวกักตนบอกให้แก่เขาเป็นแน่
เฉินฉางเซิงมองไปยังหน้าผาสีดำสนิทผืนนั้น เขารับรู้ได้ถึงพลังพลานุภาพของค่ายกลกักกันนั้น จึงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
หากประสงค์จะจัดการปัญหาทั้งหมดแล้วละก็ ล้วนต้องเข้าใจสภาพของหน้าผาสีดำสนิทนี้เสียก่อน
เฉินฉางเซิงคิดอย่างนี้ หัวหน้าเผ่าชื่อก็คิดอย่างนี้
เสี่ยวเต๋อเองก็คิดอย่างนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงถอนตัวจากพิธีคัดเลือกสวรรค์ที่วางแผนมาหลายปี มาอยู่เบื้องหน้าหน้าผาสีดำนี้ ก่อนเริ่มขุดทางเข้าถ้ำ
จินอวี้ลวี่ก็คิดเยี่ยงนี้เช่นกัน เขามาถึงเร็วกว่าเสี่ยวเต๋อ จึงขุดได้เร็วกว่า
จวบจนกระทั่งตอนนี้ เสี่ยวเต๋อนั้นขุดได้สองวันสองคืนแล้ว ไม่ได้หยุดพักเลย จินอวี้ลวี่กลับขุดมาได้สี่วันสี่คืนแล้ว
เฉินฉางเซิงเมื่อครู่ก็เตรียมจะใช้วิธีรุนแรงในการทำลายหน้าผาเพื่อจะทะลวงค่ายกลกักกันนี้…วิธีการที่ใช้แรงอย่างเดียวนี้ดูเหมือนจะว่าจะมุทะลุหรือจะเรียกได้ว่าโง่งมได้เลย แต่เป็นทางเลือกที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
เสี่ยวเต๋อและจินอวี้ลวี่ที่เป็นผู้แข็งแกร่งอย่างนี้แน่นอนว่าก็ต้องเข้าใจหลักการนี้อยู่แล้ว
ที่น่าเสียดายก็คือ พวกเขาก็ยังล้มเหลวอีกด้วย
เฉินฉางเซิงไม่มีความจำเป็นต้องลองอีกครั้ง แต่เขายังอยากจะเข้าไปดู
……
……
ทางเข้าก็อยู่บนพื้นผิวของหน้าผาสีดำนั้นเอง แต่มันไม่ได้อยู่ในแนวตรง มันกลับเอียงขึ้นไปด้านบน ต้องเข้าไปในจุดที่ลึกที่สุดจึงจะขึ้นไปด้านบนต่ออีกครั้งได้
เฉินฉางเซิงเดินตามจินอวี้ลวี่และเสี่ยวเต๋ออยู่นานจึงจะเดินไปถึงสุดทาง
เมื่อมองไปยังรอยกรงเล็บที่อยู่รอบด้าน บนพื้นผิวผนังที่ชัดเจนและกดลึก รู้สึกได้ถึงไอปราณบ้าคลั่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ เรากับเขาสามารถมองเห็นภาพที่เกิดขึ้นจริงในหลายวันมานี้ได้เลย
จินอวี้ลวี่และเสี่ยวเต๋ออยู่ในสภาพฟั่นเฟือนอย่างเต็มที่ ร่างกายที่เหมือนกับภูเขาย่อมๆ กำลังโจมตีหน้าผาหินอันแข็งแกร่งอย่างบ้าคลั่ง
ไม่นานเขาก็รู้สึกถึงบางจุดที่ผิดปกติของผนังถ้ำ ผนังศิลาที่อยู่ด้านหน้าสุดเรียบเนียนยิ่งนัก ราวกลับหินหยกก็ไม่ปาน ไม่ได้มีร่องรอยขีดข่วนใดๆ แม้แต่สิ่งสกปรกก็ไม่มี
จินอวี้ลวี่เอ่ยว่า “พวกเราล้วนเคยเปลี่ยนทิศทางมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีทางใดที่จะอ้อมผนังหินนี้ไปได้ นั่นแสดงว่าพิกัดนี้ก็คือประตูกลสวรรค์ที่อยู่ในค่ายกล
เฉินฉางเซิงถามไปว่า “ผนังศิลานี้คืออะไร”
จินอวี้ลวี่เอ่ยตอบ “น่าจะเป็นศิลาดวงดาวที่เขาเล่าลือกัน มันมีน้ำหนักมากกว่าปริมาตรของตัวมันเองนับไม่ถ้วน ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยากจะเคลื่อนย้ายมัน”
เมื่อได้ยินชื่อของศิลาดวงดาว เฉินฉางเซิงก็นึกไปถึงสมบัติล้ำค่าของสำนักฝึกหลวงชิ้นนั้นที่นักพรตไป๋สือเป็นผู้ครอบครอง เขาเงียบอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้า หลังจากนั้นจึงใช้กระบี่ไร้ราคีสะบั้นอย่างแรงไปที่ผนังศิลา
เกิดเสียงกระทบดังกึกก้อง กระบี่ไร้ราคีเสียงแหลมคมเหมือนในตอนแรก แต่ผนังศิลานั้นก็มีเพียงแค่ร่องรอยจางๆ เท่านั้น
หากประสงค์จะใช้กระบี่ไร้ราคีในการหั่นผนังศิลานี้ให้เป็นชิ้นๆ ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด
เฉินฉางเซิงผิดหวังเล็กน้อย แต่เขากลับไม่รู้ว่าจินอวี่ลวี้และเสี่ยวเต๋อที่เห็นภาพนี้เข้า ในตาของพวกเขาแสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมา
ศิลาดวงดาวนอกจากความหนาแน่นและน้ำหนักที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้แล้ว มันยังมีคุณสมบัติที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือมีความแข็งแกร่งมาก
ทั้งจินอวี้ลวี่และเสี่ยวเต๋อต่างก็ทดสอบมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นกรงเล็บแหลมคมหลังความบ้าคลั่ง หรือว่าอาวุธระดับสูงที่พกติดตัวมา ล้วนไม่สามารถสร้างร่องรอยอะไรให้แก่ผนังศิลาได้เลย
เฉินฉางเซิงเพียงแค่โบกกระบี่ไปอย่างไปตั้งใจ ก็ทำให้เกิดรอยบนผนังได้แล้วหรือ กระบี่เล่มนี้จะแหลมคมเท่าใดกันนะ
เสี่ยวเต๋อต่อกรกับกระบี่ของเฉินฉางเซิงมาแล้วยามอยู่ที่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่ากระบี่เขานั้นน่ากลัวแต่อย่างไร เมื่อครู่ถึงได้เข้าใจ นี่น่าจะเป็นเพราะว่าทักษะกระบี่ของเฉินฉางเซิงเพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีมานี้
เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “ในเมื่อเป็นค่ายกลกักกัน ก็คงจะมีคนมาวางค่ายกลไว้ ผนังศิลาที่หนักเพียงนี้ ผู้ใดจะสามารถวางมันลงบนตำแหน่งของประตูกลสวรรค์ได้เล่า”
จินอวี้ลวี่เอ่ย “น่าจะเป็นจักรพรรดินีที่ใช้พลังแห่งคลื่นทะเลในการผลักดันเอาศิลาดวงดาวนี้ปิดที่นี่เอาไว้”
จู่ๆ เสี่ยวเต๋อเอ่ยขึ้นว่า “ศิลาดวงดาวนั้นสามารถดึงดูดเอาแสงดาวมาได้”
เฉินฉางเซิงไม่แน่ใจเล็กน้อยว่าเหตุใดเขาจึงเอ่ยคำนี้ ต่อมาถึงได้เข้าใจได้ สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที
แสงจากดวงดาวมิใช่แสงดาว แต่เป็นพลังงานที่มองไม่เห็นซึ่งถูกจับได้ด้วยการเชื่อมเอาดวงดาวอันไกลโพ้นและผู้บำเพ็ญเข้าไว้ด้วยกัน
ในกายของผู้บำเพ็ญ ปราณแท้นั้นก็คือแสงจากดวงดาว ต่อให้เป็นนักปราชญ์ก็หลีกหนีขอบเขตนี้ไม่พ้น
หากผนังศิลานี้สามารถดึงดูดเอาแสงจากดวงดาวไว้ได้ไม่หยุด นั่นก็หมายถึงว่ามันสามารถซึมซับพลังปราณแท้ของจักรรพรรดิขาวเอาไว้ได้
ต่อให้ระดับขั้นของจักรรพรรดิขาวลึกล้ำเกินคาดเดา ไม่ได้สนใจถึงผลการทบหรือการรบกวนจากศิลาดวงดาวแผ่น แต่เขาไม่ได้กำลังรักษาบาดแผลอยู่ภายในหน้าผาสีดำนี้หรอกหรือ เหตุใดจึงต้องเพิ่มความลำบากให้กับตัวเองเล่า
เบาะแสทั้งหมดเหล่านี้ ท้ายที่สุดก็ชี้นำให้เห็นถึงความเป็นไปได้นั้น
“ไม่ว่าในงานพิธีคัดเลือกสวรรค์หรือการเชื่อมสัมพันธมิตรระหว่างเผ่ามาร เดิมทีล้วนไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าปีศาจข้า แต่เป็นความละโมบของต้าซีโจว ถ้าหากว่าฝ่าบาทได้กลับไปยังมหาสมุทรดาราแล้วละก็”
ภายในระยะเวลาอันสั้น จินอวี้ลวี่ก็ชราลงไปถนัดตา แม้แต่เสียงของเขาก็สั่นเครือย่างมาก
ความเป็นไปได้นี้น้อยมาก ผู้แข็งแกร่งระดับขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์คืนกลับไปยังมหาสมุทรดารา ทั้งแผ่นดินล้วนจะเกิดปฏิกิริยาตอบสนองกับสิ่งนี้ นั่นเรียกว่าสัญชาตญาณสวรรค์
ในตอนนั้นชูชิงอีเค้อเพิ่งจะเสียชีวิตลง มู่ฮูหยินที่แม้นอยู่ไกลถึงแปดหมื่นลี้ก็ทราบข่าวทันที ในตอนที่นางลอบทำร้ายเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้นั้น มู่ฮูหยินก็ล้วนใช้ค่ายกลแม่น้ำแดงล่วงหน้า นั่นก็ล้วนเป็นหลักการเดียวกัน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจักรรพรรดิขาวหรือนักปราชญ์ในปัจจุบันเลย หากเขากลับสู่มหาสมุทรดาราจริง ต่อให้เป็นค่ายกลกักกันที่แข็งแกร่งเพียงใด ก็มิอาจปิดกั้นข่าวสารได้ ทั้งฟ้าและดินก็จะต้องสั่นสะเทือนแน่นอน
เสี่ยวเต๋อสีหน้าหนักใจ เขาเอ่ย “ต่อให้ฝ่าบาทตอนนี้มิเป็นอะไร แต่สถานการณ์ตอนนี้ก็อันตรายยิ่งนัก การรบกับราชามารทำให้พระองค์ได้รับบาดเจ็บสาหัส ยามนี้จักรพรรดินียังใช้วิธีนี้อีก เกรงว่าอาการบาดเจ็บของฝ่าบาทไม่เพียงจะไม่ดีขึ้นแต่อาจจะแย่ลงไปอีก หากเวลาผ่านไปอีกหลายวันก็ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุดขึ้นจริงๆ”
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นั้น สีหน้าของจินอวี้ลวี่และเสี่ยวเต๋อก็ดูย่ำแย่ไปมาก เฉินฉางเซิงกลับสงบนิ่งกว่าก่อนนี้
อย่างที่เขาคิดก่อนที่จะเข้าไปในหน้าผาสีดำนี้ จักรรพรรดิขาวสิ้นแล้วหรือว่ายังมีชีวิตอยู่ ก็ถือเป็นข่าวร้ายอย่างมากสำหรับเผ่ามนุษย์ทั้งนั้น ถ้าเป็นอย่างแรก นั่นก็แสดงว่าไม่มีใครในเผ่าปีศาจสามารถเอาชนะความทะเยอทะยานของมู่ฮูหยินได้ หากเป็นฝ่ายหลัง นั่นหมายความว่าความเห็นของจักรรพรรดิขาวกับมู่ฮูหยินตรงกัน นั่นก็คือเขาต้องการเป็นพันธมิตรกับเผ่ามาร หากมีนักปราชญ์เช่นนี้เฝ้าดูอยู่ในเงามืด เขายังจะทำอะไรได้อีกหรือ
ตอนนี้อนุมานว่าจักรรพรรดิขาวนั้นอาจจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกมู่ฮูหยินใช้กลวิธีกักขังเอาไว้และอ่อนแอลงทุกที สถานการณ์นี้กลับเป็นเรื่องดีที่สุด
นั่นแสดงว่าคืนนั้นหัวหน้าเผ่าเซี่ยงกำลังเสแสร้งว่าเป็นพระประสงค์ของจักรรพรรดิขาว แต่ที่จริงแล้วจักรรพรรดิขาวนั้นยังคงสนับสนุนเผ่ามนุษย์อยู่
อย่างนั้นขอเพียงช่วยเหลือเขาออกมาได้ เรื่องทั้งหมดก็คงแก้ปัญหาได้อย่างง่ายดาย
เวลานี้ ด้านนอกถ้ำจู่ๆ ก็เกิดเสียงกระเรียนกรีดร้องดังขึ้น
เฉินฉางเซิงออกไปนอกถ้ำ หยิบจดหมายออกมาดู สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
กระเรียนขาวนำข่าวล่าสุดมาให้
ข่าวดีหนึ่งเรื่อง ข่าวร้ายหนึ่งเรื่อง
เซวียนหยวนผ้อฟื้นแล้ว เปี๋ยยั่งหงหมดสติไปแล้ว