ส่วนที่ 6 ภาคลมประจิมรุนแรง ตอนที่ 179 ใบหน้าที่สะท้อนจากกระจกทองเหลือง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

หลังจากได้รับจดหมายฉบับนั้น เฉินฉางเซิงกำชับจินอวี้ลวี่และเสี่ยวเต๋อสองสามประโยค หลังจากนั้นก็ขี่กระเรียนจากไป

ก่อนจากไปเฉินฉางเซิงได้บอกว่าจะไปจัดการธุระ หากทำธุระเสร็จสิ้นก็จะกลับมา สุดท้ายยังบอกด้วยว่าหวังว่าเรื่องที่ไปทำจะไม่สำเร็จ

คำพูดเหล่านี้แปลกมาก ยากจะเข้าใจ นั่นมันเรื่องอะไรกันนะ มันสำคัญกว่าเรื่องที่จักรพรรดิขาวจะหลุดพ้นจากความยากลำบากอีกหรือ

……

……

บนเทือกเขาหิมะลูกหนึ่งที่อยู่ห่างจากหน้าผาสีดำออกไปสิบกว่าลี้ ลมหิมะที่โปรยปรายแทบจะกลืนเป็นเนื้อเดียวกันอาภรณ์สีขาว

สวีโหย่วหรงยืนอยู่ที่นี่มาพักใหญ่ นางมองเฉินฉางเซิง จินอวี้ลวี่ และเสี่ยวเต๋อเดินเข้าไปในถ้ำสีดำ มองเห็นนกกระเรียนขาวมาถึง หลังจากนั้นเฉินฉางเซิงก็จากไป

นางพอจะคาดเดาได้ว่าในเมืองไป๋ตี้น่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น อารมณ์ในใจจึงได้รับอิทธิพลด้วยเล็กน้อย

ค่ายกลกักกันของหน้าผาสีดำนั้น นางเองก็สำรวจมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว จึงพอหาวิธีที่อาจจะทำลายค่ายกลได้แล้ว

นางหยิบเอากระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อตนแล้วพับเป็นรูปกระเรียน หลังจากนั้นจึงปล่อยมือให้มันลอยออกไป

กระดาษพับรูปนกกระเรียนนั้นลอยไปตามลม ลอยละล่องมายังเบื้องหน้าของหน้าผาสีดำ ไม่นานก็ตกลงบนพื้น

เสี่ยวเต๋อมองไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง เขามองไม่เห็นสิ่งใดอื่น จึงหยิบกระดาษพับรูปนกกระเรียนออกมากางดู เห็นเพียงตัวหนังสือสองคำบนนั้น ตัวอักษรงดงามนัก น่าจะเป็นลายมือของหญิงสาว

สองคำนั้นคือ “ค่ายกลกระบี่”

……

……

จากเทือกเขาลั่วซิงกลับไปยังเมืองไป๋ตี้ หากอ้างอิงตามความเร็วของสวีโหย่วหรงแล้ว ใช้เวลาสั้นมาก

นางไม่ได้ไปยังบ้านหลังนั้นที่อยู่หลังวัดเทียนซู่ เนื่องจากนางยังไม่อยากพบเจอเฉินฉางเซิง และก็เพราะว่าจิตใต้สำนึกนางไม่อยากไปพบเจอภาพเหล่านั้นเช่นกัน

นางกลับไปยังโรงเตี๊ยมหลังเมื่อวานหลังนั้น แต่นางไม่ได้กลับไปยังห้องพัก นางนั่งลงที่โถงด้านหน้าสั่งซาลาเปาขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยมแห่งนี้

บรรยากาศในเมืองไป๋ตี้เคร่งเครียดอย่างน่าประหลาด บนถนนเองก็ไม่มีผู้คนเดินไปมา กิจการในโรงเตี๊ยมก็แย่ไปด้วย คนที่มีอารมณ์เฉื่อยชาซึ่งมารับอาหารเช้าก็น้อยลงไปด้วย

ลูกค้าที่มาทานอาหารผู้ยังมีอารมณ์สั่งอาหารในเวลานี้ ก็คงเป็นคนที่ว่างเสียจนอยากอยู่รอดูความรื่นเริงอย่างแท้จริง กระหายความรื่นเริงแน่นอนว่าก็ต้องเพื่อจะได้มีเรื่องนินทาต่อได้แน่นอน

สวีโหย่วหรงผู้กำลังละเลียดซาลาเปาและโจ๊กเนื้อใส่ไข่อยู่นั้น ก็ได้ยินบรรดาแขกโต๊ะข้างๆ กำลังนินทาผู้อื่นอยู่

ช่วงนี้เรื่องรื่นเริงที่สุดในเมืองไป๋ตี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องพิธีคัดเลือกสวรรค์และการปรากฏตัวของราชามารกับเฉินฉางเซิงตามลำดับ

ในส่วนของเรื่องนินทาที่ฮือฮาที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่เซวียนหยวนผ้อหลุดปากหลังจากดื่มหนักหน้าเขตพระราชฐาน และองค์หญิงลั่วลั่วเองก็ยังทรงยอมรับในคำกล่าวนั้นด้วย

ก็ไม่ทราบว่าท่านใต้เท้าสังฆราชนั้นคิดเห็นเช่นใด แต่เมื่อดูจากที่เขาไม่สนใจในระยะทาง ขี่กระเรียนมา ไหนจะคำกล่าวนั้นอีก เขาเองก็น่าจะชื่นชอบในตัวองค์หญิงอยู่บ้างกระมัง

ได้ยินมาว่าทางฝั่งเผ่ามนุษย์นั้นถือเรื่องราวพรรค์นี้มาก แต่บรรดาเผ่าปีศาจอย่างพวกเขานั้นใส่ใจเรื่องพรรค์นี้เมื่อไรกันเล่า หากชอบพอก็หลับนอนด้วยกันไปเลย

ได้ยินมาว่าใต้เท้าสังฆราชผู้นี้มีพันธสมรสกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่บรรดาเผ่าปีศาจอย่างพวกเขานั้นใส่ใจเรื่องพรรค์นี้เมื่อไรกันเล่า หากแย่งมาไม่ได้จริงๆ ก็หลับนอนด้วยกันไปเลยสิ้นเรื่อง

……

……

อารมณ์ของสวีโหย่วหรงเดิมทีก็ตกต่ำเต็มที ยามทานอาหารก็ฟังคำนินทาเสียเต็มท้อง จึงแทบจะทานไม่อิ่มเลย อารมณ์จึงขุ่นมัวไปกันใหญ่

คำกล่าวที่ว่าจิตใจเบิกบาน สงบนิ่งดั่งนที ล้วนถูกนางลืมไปหมดสิ้นเสียตั้งนานแล้ว

นางหยิบเอาหมั่นโถวลูกหนึ่งกับอาจาดเดินกลับไปยังห้องตน

นางอาบน้ำผลัดผ้าอย่างง่ายๆ นั่งลงหน้าโต๊ะ มองไปยังคันฉ่องทองเหลือง เหม่อมองตนเองในกระจกทองเหลืองนั่น

กระจกทองเหลืองมิได้มองเห็นชัดเจนนัก มีความเลือนรางอยู่บ้าง แต่ความงดงามที่สะท้อนออกมาจากในกระจกนั้นยังคงงดงามอยู่เสมอ ดั่งที่มนุษย์โลกมักจินตนาการได้ถึงบุปผาที่งดงามที่สุดนั่นเอง

…ข้าเป็นอาจารย์ของนาง หากข้าไม่อนุญาตให้แต่งงาน นางก็แต่งไม่ได้

ช่างเป็นประโยคที่ยโสอวดดียิ่งนัก ความสัมพันธ์ฉันศิษย์ครูช่างดีอะไรอย่างนี้

นางคิดพลางเหยียดยิ้ม

นางแจ้งแก่ใจนัก สำหรับเฉินฉางเซิงแล้วมังกรดำถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวงที่ต้องทดแทน ที่น่ายุ่งยากใจก็คือลั่วลั่วนั่นเอง

ไม่ว่าจะพิจารณาจากมุมไหน ลั่วลั่วก็เป็นหญิงสาวแบบที่บุรุษชื่นชอบทั้งสิ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความปรารถนาที่นางมีต่อเฉินฉางเซิงทั้งบริสุทธิ์และไร้ซึ่งข้อเรียกร้องใดนั่นอีก

นางทำไม่ได้ถึงเพียงนั้น นางทำไม่ได้ชื่นชอบเฉินฉางเซิงมากกว่าตนเอง นางเองยังคิดไม่ตกว่าเหตุใดจึงมีผู้อื่นทำได้

นางรู้เพียงว่าตนนั้นอยากจะดำเนินไปบนหนแห่งการบำเพ็ญระยะทางร่วมพันปีนี้ไปพร้อมๆ กับเขา ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายที่สุดคืออะไร

นางยิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ เริ่มยกมุมปากตนขึ้น เผยสีหน้าของหญิงสาวที่ผู้คนด้านนอกล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน

นางมองไปที่ตนเองในกระจก กระซิบเสียงเบาว่า “เจ้างดงามถึงเพียงนี้ เจ้าสวยที่สุด เจ้าคือหญิงสาวที่สวยที่สุดในปฐพี เขามิใช่คนตาบอดเสียหน่อย”

เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ จู่ๆ นางก็ราวกับได้สติ รู้สึกละอายแก่ใจยิ่งนัก ก่อนจะส่งเสียงวีดเบาๆ ปิดหน้าตนเองเอาไว้

ในเวลานี้ ในกระจกทองเหลืองจู่ๆ ก็เกิดหมอกบางๆ ปกคลุมขึ้น

สวีโหย่วหรงสีหน้าหวาดกลัวเล็กน้อย นางรีบแสดงสีหน้าสงบนิ่งอย่างรวดเร็ว ในแววตาราวกับไม่มีเรื่องกลัดกลุ้ม ไม่มีเรื่องน่าเขินอายใดๆ อีก มีเพียงความสงบงดงาม

นางในเวลานี้เป็นถึงเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ คุณสมบัติสูงส่งราวกับป่าไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่เกิดขึ้นหลังพิรุณโปรยลง

หมอกบางในกระจกทองเหลืองค่อยๆ เปลี่ยนไป พวกมันจับตัวกันเป็นเส้นหนาบ้างบางบ้าง ราวกับมีใบหน้าคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นมา

ภาพนั้นยังคงเลือนราง มองไม่เห็นคิ้วหรือตาใดๆ แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดใบหน้านั้นกลับทำให้คนรู้สึกได้ว่างดงามหาใดเทียบ กลับปรากฏนิสัยเฉพาะตัวที่สูงส่งราวกับบรรพตสูง

สวีโหย่วหรงเอ่ยกับคนในกระจก “ข้าไปดูค่ายกลกักกันมาด้วยตนเอง ในเมื่อจักรพรรดิขาวยังมีชีวิตอยู่ เขาเองน่าจะมีวิธีออกมาได้ อย่างน้อยก็สามารถส่งข่าวอะไรออกมาบ้าง”

เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ คนที่อยู่ในกระจกก็เงียบไปนาน เห็นได้ชัดว่าประโยคนี้ดูราวกับเป็นคำพูดที่ผิดปกตินัก มันส่งผลกระทบต่อจิตใจเขานิดหน่อย

สวีโหย่วหรงก็ไม่ได้ถามอะไรอีก นางแค่รออย่างเงียบๆ

คนผู้นั้นถอนหายใจหนึ่งที เขาเกิดความรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก แม้กระทั่งดูเหมือนว่าจะเสียใจนิดหน่อยเลย

เขายังพูดอีกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ช่วยให้เขาออกมาเถิด”

สวีโหย่วหรงพูดต่อ “ข้าส่งสารไปบอกเฉินฉางเซิงแล้ว อาศัยความสามารถในการทำความเข้าใจของเขา คิดว่าไม่นานก็คงสามารถทำลายค่ายกลนั้นได้”

คนผู้นั้นยังเอ่ย “ในเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ พวกเจ้าก็ยิ่งต้องรอบคอบและระมัดระวังหน่อย”

สวีโหย่วหรงจู่ๆ ก็ถามต่อว่า “เหตุใดเขาถึงยินดีช่วยเหลือท่าน ท่านก็ไม่มีวิธีการอื่นแล้วหรือ ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านมีโอกาสมากมายสามารถกำจัดเขาได้”

คนผู้นั้นกลับถามต่อว่า “อย่างนั้นเหตุใดเจ้าถึงยินดีช่วยเหลือข้าเล่า”

สวีโหย่วหรงเอ่ยต่อ “มองภาพรวมเป็นหลัก”

คนพูดนั้นเลยตอบอย่างสงบนิ่ง “ล้วนเป็นเหตุผลใกล้เคียงกัน ดังนั้นเขาไม่ได้กำลังช่วยข้า ข้าเองก็ไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยเขา ฆ่าเขาให้ตาย…ในภายภาคหน้ายังมีโอกาสอีกมาก”

สวีโหย่วหรงถามคำถามสุดท้าย “ฝั่งท่านชายเปี๋ยนั้น… ไม่มีหนทางแล้วจริงๆ หรือ”

คนผู้นั้นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย “ถ้าหากว่าลูกศิษย์นอกคอกผู้นั้นยังรักษาไม่ได้ อย่างนั้นก็คงไม่มีวิธีแล้ว”

……

……

สถานการณ์ภาพรวมที่ว่า แน่นอนว่าก็ต้องเป็นเรื่องที่เผ่ามนุษย์เหตุใดจึงสามารถมีชีวิตอยู่ได้บนดินแดนแห่งนี้ สืบทอดเผ่าพันธุ์ไม่หยุดหย่อน

สวีโหย่วหรงต้องการจะพิจารณาคำถามนี้ คนผู้นั้นที่อยู่ในกระจกทองเหลืองก็ต้องพิจารณาคำถามนี้เช่นกัน เฉินฉางเซิงท่านสังฆราชของเผ่ามนุษย์ในยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าก็ต้องขบคิดปัญหานี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาเองจะคิดว่าตนนั้นก็ไม่ได้มีความสามารถเช่นนี้เลยก็ตาม

ยังคงมีหลายเรื่องที่เขาเองล้วนๆ ไม่มีความสามารถในการแก้ไข ต่อให้เป็นเรื่องทางการแพทย์ที่เขาเชี่ยวชาญมากที่สุดก็ตาม ในบางครั้งบางเวลามองดูแล้วก็ช่างไร้ประโยชน์เสียอย่างนั้น

นกกระเรียนขาวบินข้ามฟ้าผ่านต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ในวัดเทียนซู่ มันโถมลงในบ้านหลังเล็กที่ทัศนียภาพย่ำแย่นั่น

เซวียนหยวนผ้อสีหน้าซีดขาว มือขวาของเขาห้อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง เมื่อเห็นเฉินฉางเซิง จึงยิ้มออกมานิดหนึ่งอย่างฝืนแรงตน

เฉินฉางเซิงเดินเข้าไปโอบเขาไว้ในอ้อมกอด ตบไปที่แผ่นหลังบึกบึนของเขาสามที แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากความอีกก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

เปี๋ยยั่งหงนั่งพิงอยู่ที่กำแพง เขาหลับตาลง สีหน้าก็ดูราวกับปกติ ดูราวกับว่ากำลังนอนหลับอยู่เสียอย่างนั้น

เฉินฉางเซิงเงียบเชียบไม่พูดจากำลังเดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าเขา พลางหยิบเข็มสีทองออกมาแล้วเริ่มรักษาเขาอีกครั้ง

ล้วนพูดกันว่ายาจูซาของเขาสามารถสร้างกระดูกและชุบชีวิตคนตายได้ แต่คำพูดเหล่านั้นที่จริงแล้วล้วนเป็นคำร่ำลือที่พูดเกินจริง ยาจูซาที่มีส่วนผสมของโลหิตศักดิ์สิทธิ์ สามารถช่วยเหลือได้เพียงบาดแผลภายนอกประเภทเสียเลือดมากกระดูกหักหรือกระเพาะทะลุเช่นนั้น

บาดแผลของเปี๋ยยั่งหงได้มาจากทูตสวรรค์ฃดินแดนเซิ่งกวงสองตนนั้น วิญญาณกับร่างกายถูกทำร้ายอย่างรุนแรงจนไม่อาจหวนคืน แทบจะไม่มีทางรักษาได้เลย

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว อาภรณ์นักพรตเต๋าของเฉินฉางเซิงแทบจะชุ่มไปด้วยเหงื่อ โชคดีที่หลังจากชีพจรถูกสร้างขึ้นใหม่โดยจักรพรรดิเทียนไห่แล้ว ก็ไม่มีกลิ่นหอมอื่นใดที่สามารถทำให้คนทั้งโลกคลุ้มคลั่งได้อีกแล้ว

เปี๋ยยั่งหงค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น ในที่สุดเขาก็ตื่นแล้ว

เฉินฉางเซิงมองเห็นไอปราณสีเทาจาง ๆ น่าหดหู่ในส่วนลึกของดวงตาของเขาอีกครั้ง

ไอปราณสายนั้นแผ่วเบามาก ราวกับหิมะใหม่ที่เพิ่งตกลงมาบนทุ่งหิมะ แล้วราวกับเม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาบนภูเขา

หากไม่ใช่บุคคลที่มีดวงจิตเข้มแข็งอย่างเขา ก็คงยากจะค้นพบ

ไอปราณสายนี้หมายถึงความตายนั่นเอง