ผ่านมาแล้วสองวัน มู่ฮูหยินน่าจะสังเกตเห็นจากรายละเอียดบางอย่างแล้วว่าเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ยังมีชีวิตอยู่ และพักอยู่ในบ้านหลังนี้
แต่นางลงจะไม่ลงมือกับเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้แน่นอน เนื่องจากเฉินฉางเซิงนั้นมาถึงแล้ว อีกประการหนึ่งก็คือมันมีร่องรอยของเผ่าปีศาจมากเกินไป
นอกเสียจากนางนั้นจะคลั่งไปแล้วจริงๆ มิได้สนใจใคร่ดีว่าสงครามภายในของเผ่าปีศาจนั้นจะเผาตัวพวกเขาจนหมดสิ้นเป็นผุยผงอย่างไร
ลมของแม่น้ำพัดเอาใบไม้ของต้นไม้ในวัดเทียนซู่พลิ้วไหว เกิดเสียงซ่าๆ ขึ้น หลังจากนั้นก็ตกลงไปในบ้านที่เงียบสงัดนั่น ฟังแล้วเด่นชัดยิ่งนัก
ช่วงเวลาที่แสนเงียบเช่นนี้ ช่างเหมาะกับการสนทนาหรือมอบหมายงานบางเรื่อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ เปี๋ยยั่งหงไม่รู้ว่าจะใช้วิธีใดในการจะให้อู๋ฉยงปี้เข้าสู่นิทราแสนหวาน
เฉินฉางเซิงเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสท่านมีสิ่งใดที่อยากรักษาไว้หรือไม่ หรือมีสิ่งใดที่อยากให้พวกเราทำหรือไม่”
เปี๋ยยั่งหงเอ่ย “ก่อนหน้าข้าคิดว่าจะเหลือเลือดเชื้อไขไว้เพื่อคนรุ่นหลัง ตอนนี้ในเมื่อไม่มีแล้ว ก็คงไม่ต้องกล่าวอันใดอีก”
เมื่อยามที่กล่าวคำนี้ สีหน้าเขาสงบนิ่งยิ่งนัก น้ำเสียงเองก็หนักแน่น แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนฟังออกถึงความเจ็บปวดล้ำลึกที่อยู่ภายในนั้นได้ทั้งสิ้น
ผู้แข็งแกร่งแห่งแผ่นดินใหญ่รุ่นแรก ก่อนตายยังไม่มีผู้ใดมาส่งศพ ซ้ำร้ายก่อนหน้านั้นยังต้องเห็นการตายของบุตรชายตนเอง ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็คงรู้สึกลำบากใจยิ่งนัก
เฉินฉางเซิงเอ่ย “เหลือความคิดของท่านไว้ให้แก่ผู้คนบนโลกก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี”
หลายคนคงทราบดี เปี๋ยยั่งหงเป็นผู้คงแก่เรียนท่านหนึ่งที่มาจากหอวั่นโซ่วเมืองซีหลิง แต่ประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์บำเพ็ญเพียรของเขากลับเป็นปริศนา
“ผู้คนบนโลกอยากรู้เรื่องในอดีตด้านใดของข้าที่สุด”
เปี๋ยยั่งหงมองไปยังอู๋ฉยงปี้เสียที ก่อนจะพูดอย่างทอดถอนใจว่า “ก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่าเหตุใดต้องแต่งนางเป็นภรรยากระมัง”
เฉินฉางเซิงคิดตาม ก่อนตอบอย่างจริงใจว่า “หลายคนก็ไม่เข้าใจในเรื่องนี้จริงๆ”
“ถึงแม้ว่าเดิมทีไม่มีใครกล้าเอ่ยเรื่องนี้ต่อหน้าพวกเราสามีภรรยา แต่ข้ารู้ว่าบรรดาโรงเตี๊ยมหรือเหลาสุราต่างๆ บนโลกต่างก็ล้วนมีคำนินทาด้านนี้ แม้กระทั่งมีนักวิชาการบางท่านก็เคยช่วยพวกเราคิดเรื่องราวพิสดารพันลึกต่างๆ มากมาย ช่วยข้าคิดสถานการณ์ เหตุการณ์ที่คนแซ่เปี๋ยในเรื่องราวเหล่านั้นต้องพานพบช่างน่าอดสูยิ่งนัก ข้าเองได้ฟังยังเกิดความเห็นใจ…”
เปี๋ยยั่งหงหัวเราะก่อนเอ่ยต่อ “ล้วนเป็นเรื่องไม่จริง คนเรามีชีวิตอยู่จะมีเรื่องที่ต้องจำใจมากอย่างนั้นที่ไหนกันเล่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนประเภทอย่างข้านี้เลย”
เฉินฉางเซิงคิดว่าก็เป็นเหตุผลเช่นนี้แล ผู้แข็งแกร่งขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์คู่หนึ่ง มีซึ่งพลังและอำนาจยากจะจินตนาการได้ ไม่ต่างอะไรกับจักรพรรดิขาวเลย ไฉนจะต้องอดทนนานนับหลายปีก็เพราะเรื่องจำใจเหล่านี้
เปี๋ยยั่งหงเอ่ยต่อ “เรื่องนี้ธรรมดากว่าที่พวกเจ้าคิดเอาไว้มาก ยามข้ายังเด็กครอบครัวยากจนมาก ได้รับการอุปการะจากท่านอาจารย์ เลี้ยงดูให้เติบใหญ่ ข้านั้นเติบโตมาพร้อมกับศิษย์น้องหญิง นางให้ความเคารพข้ารักข้า ไม่เคยมีเรื่องใดที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่มีความสุขเลย แน่นอนว่าข้าเองก็ต้องรักนางเอ็นดูนาง จวบจนเราต่างเติบใหญ่ แน่นอนว่าก็ต้องแต่งนางเป็นภรรยาอยู่แล้ว”
เฉินฉางเซิงไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้จะธรรมดาถึงเพียงนี้
เปี๋ยยั่งหงยังเอ่ยต่ออีกว่า “ถึงแม้ว่าตอนที่ข้าแต่งงานกับนาง นางนั้นไม่ได้เป็นเยี่ยงนี้ แต่เมื่อมาพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ไฉนจะไม่ใช่ข้าเล่า”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ที่ท่านผู้อาวุโสตามใจนางอย่างมากมันเท่ากับส่งเสริมให้ท้ายนาง”
เปี๋ยยั่งหงตอบว่า “ดังนั้นข้ามิใช่วีรบุรุษอะไรหรอก และก็ไม่ใช่คนดีด้วย”
เฉินฉางเซิงยังคงรับไม่ได้ เขาเอ่ยต่อ “ข้ายังรู้สึกว่านี่มันไม่ถูกต้อง”
เปี๋ยยั่งหงมองเขาก่อนเอ่ยต่อ “หากภรรยาเจ้าดีกับเจ้ามาก แต่นางนิสัยแย่มาก ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นเหมือนผู้ร้ายในสายตาทุกคน ท่านจะทำอย่างไร”
คำถามนี้ดูราวกับจะตอบได้ง่ายมาก แต่เมื่อพิจารณาไปอย่างลึกๆ แล้วกลับพบว่ามันค่อนข้างซับซ้อน เฉินฉางเซิงก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อน แน่นอนว่าเขายังไม่รู้คำตอบ
อู๋ฉยงปี้ตื่นขึ้นมาในตอนนี้พอดี ประโยคนี้เข้าพอดีแน่นอนว่านางก็ต้องเข้าใจว่าเปี๋ยยั่งหงนั้นกำลังหมายถึงตัวนางเอง
ทันใดนั้นนางก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เริ่มผรุสวาท “เพียงแต่เคยสังหารเจ้าคนไร้ค่าที่ไม่เคารพผู้ใหญ่ไปสองสามคนเท่านั้น นี่ก็เรียกว่าเป็นผู้ร้ายแล้วหรือ เจ้านี่มันไม่มีคุณธรรมจริงๆ”
ความสงบเงียบในบ้านหลังนั้นจู่ๆ ก็ถูกทำลายลง ทั้งหมดดูราวกับเสียงจ้อกแจ้กจอแจก็ไม่ปาน
เปี๋ยยั่งหงไม่ได้อธิบายอะไรอีกมองด้วยสายตาแห่งความจริงใจและพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ต่อไปอย่าทำเรื่องเช่นนี้แล้วได้หรือไม่”
เหมือนกับหลายวันก่อนหน้านั้น อู๋ฉยงปี้เริ่มที่จะกังวลใจขึ้นมาแล้ว นางพูดช้าๆ อย่างระมัดระวังว่า “ข้าก็มิได้รับปากท่านแล้วหรือ จะพูดถึงเรื่องนี้บ่อยๆ กันทำไมเล่า”
เปี๋ยยั่งหงมองนางก่อนยิ้มแล้วเอ่ยต่อว่า “ศิษย์น้อง ขอโทษจริงๆ ที่ไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนเจ้าได้แล้ว”
อู๋ฉยงปี้ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม นางยื่นมือออกไปคว้าเสื้อผ้าเขาเอาไว้ กรีดร้องออกมาว่า “ท่านพูดจาเลื่อนเปื้อนอันใดกัน!”
เปี๋ยยั่งหงถอนใจยาวก่อนเอ่ย “ข้ามิได้พูดจาเลื่อนเปื้อน”
อู๋ฉยงปี้สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เนื่องจากตื่นตระหนกจนลิ้นแข็งค้าง นางพูดจาติดๆ ขัดๆ “อย่างนั้นท่านก็ห้ามพูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า”
เปี๋ยยั่งหงพูดต่อว่า “ข้าไม่ได้พูดจาสุ่มสี่สุ่มห้า”
อู๋ฉยงปี้ตะโกนออกไปอย่างหวาดกลัวว่า “ข้าไม่ให้ท่านไป ไม่อย่างนั้น…ข้าจะไปสะบั้นมือข้างนั้นของกวนไป๋เสีย! ไม่อย่างนั้น…ข้าก็จะไปอยู่กับเผ่ามาร!”
“ข้าเคยคิดว่าจะขอร้องให้ท่านใต้เท้าสังฆราชนำข้าไปเสีย จะเหลือไว้ให้เจ้าก็เพียงแต่จดหมายลาเท่านั้น แต่ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องเดาได้แน่ว่าข้าสิ้นชีวิตเสียแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่สู้พูดให้ชัดเจนไปเลยดีกว่า…”
เปี๋ยยั่งหงลูบใบหน้าของนางอย่างสงสารแผ่วเบา ก่อนเอ่ย “เนื่องจากเจ้ารู้ว่าข้าไม่มีทางไม่ต้องการเจ้า”
เซวียนหยวนผ้อที่ยืนอยู่หน้าประตู เอาแต่ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาไม่หยุด แต่เช็ดอย่างไรก็เช็ดไม่สะอาดเสียที
เขาไม่ได้เข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าใดนัก แต่รู้สึกว่าคำพูดของผู้อาวุโสผู้นี้ฟังแล้วเจ็บปวดใจยิ่งนัก
“รบกวนเจ้าไปซื้อซาลาเปามาสักหน่อยได้หรือไม่”
เปี๋ยยั่งหงมองเขาก่อนเอ่ยอย่างเกรงใจ “ข้าอยากทานไส้เนื้อวัวใส่หัวหอม”
เซวียนหยวนผ้อตกใจ ก่อนรีบวิ่งออกจากบ้านไป มิได้สนใจเลยว่าตนนั้นก็มีบาดแผลฉกรรจ์ที่เพิ่งรักษา แถมยังอ่อนแออย่างที่สุด
ท่ามกลางหมอกยามเช้าและไอน้ำนึ่ง เขามุ่งหน้าไปร้านซาลาเปาหูจี้ เกิดความรู้สึกละอายใจ ในใจเขาคิดว่าก่อนหน้านี้ตั้งหลายวันเหตุใดจึงดูไม่ออกนะว่าท่านผู้อาวุโสอยากทานซาลาเปาเนื้อ
เซวียนหยวนผ้อประคองซาลาเปาทั้งเข่งกลับมาภายใต้การคุ้มกันของนักพรตสิบกว่าคนและมือดีเผ่าหมี
ซาลาเปาถามนี้ยังคงร้อนกรุ่น หากฉีกแป้งซาลาเปาออก ต้องได้กลิ่นที่หอมกรุ่นของเนื้อวัวและหัวหอมทั้งยังมีน้ำมันแดงอีกเป็นแน่
น่าเสียดายที่มาช้าเกิดไป
เปี๋ยยั่งหงหลับตาอยู่ เขาไม่มีลมปราณเสียแล้ว
เซวียนหยวนผ้อชะงักเกร็ง เข่งซาลาเปาในอ้อมกอดยังคงมีไอร้อนอยู่ ไอร้อนนั้นลอยไปตามท้องฟ้าอันมืดมน และมันก็ตกลงบนหน้าเขาเช่นกัน นั่นทั้งร้อน แล้วก็เปียกชุ่ม
เฉินฉางเซิงก้มหน้าอย่างเงียบๆ มือที่ตกอยู่ข้างลำตัวสั่นเล็กน้อย กระบี่ในฝักก็สั่นไหวตาม
เซวียนหยวนผ้อคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเปี๋ยยั่งหง ดันเข่งซาลาเปาไปไว้ตรงหน้า หลังจากนั้นก็โขกศีรษะตนเสียงดังหลายที น้ำตาไหลไม่หยุด
อู๋ฉยงปี้ไม่มีความคิดอื่นใด นางมองไปที่เปี๋ยยั่งหงอย่างงุนงง แววตาค่อยๆ หรี่ลง ร่างกายนางเริ่มสั่นเทา
เหง่ง หง่าง เหง่ง หง่าง! ระฆังของวัดเทียนซู่ส่งเสียงดังขึ้น
อู๋ฉยงปี้ได้สติกลับมา ขอบตานางแดงก่ำ ริมฝีปากสั่นเทา ในที่สุดนางก็ราวกับเข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
เฉินฉางเซิงเดินออกมาด้านนอก ได้ยินเสียงระฆังที่ลอยมาจากวัดเทียนซู่ จึงคิดถึงคืนนั้นที่ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาจะสิ้นชีวิต
ในคืนนั้น ในเมืองหลวงก็มีเสียงระฆังเช่นกัน
เสียงระฆังนั้นคือสัญญาณบอกถึงการกลับหวนคืนสู่บ้านหรือ
ในมหาสมุทรแห่งดวงดาวนั่นคือบ้านเกิดของทุกวิญญาณหรือ
ไม่ว่าจะสูงส่งหรือว่าต่ำต้อย งดงามหรืออัปลักษณ์
ก็เหมือนกับเสียงร้องไห้อย่างนั้นหรือ
ไม่ว่าจะฟังดูแย่เพียงใด แต่ก็ทำให้คนเศร้าได้เพียงนี้เชียวหรือ