หลังจากที่เปี๋ยยั่งหงสิ้นลมนั้น อู๋ฉยงปี้ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งไปเลย
นางนั่งผิงตรงกำแพง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง นำร่างของเปี๋ยยั่งหงกอดแน่นไว้ในอกตน มิอนุญาตให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้ และไม่ให้ผู้ใดขยับเขยื้อน
เฉินฉางเซิงและเซวียนหยวนผ้อยืนมองภาพนี้อยู่ที่ประตู ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไร
เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ถือเป็นผู้แข็งแกร่งในขั้นอาณาเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ นับได้ว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่มีชื่อเสียงที่สุดบนดินแดนนี้
ทั่วทั้งแผ่นดินต่างก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นแน่นแฟ้น แต่หามีผู้ใดรู้ไม่ว่าเหตุใดความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองจึงแน่นแฟ้นเพียงนี้
จะพูดให้ถูกต้องก็คือ ทั่วทั้งแผ่นดินไม่เข้าใจเปี๋ยยั่งหงเหตุใดจึงดีต่ออู๋ฉยงปี้เช่นนี้
จักรพรรดินีเทียนไห่เองก็ไม่เข้าใจ หวังผ้อเองก็ไม่เข้าใจ
เพราะด้วยความไม่เข้าใจ ดังนั้นพวกเขารวมทั้งคนบนโลกต่างก็เกิดความไม่พอใจแทนเปี๋ยยั่งหง
ก่อนจะสิ้นลมนั้น เปี๋ยยั่งหงได้เล่าเรื่องที่แสนธรรมดาให้เฉินฉางเซิงฟังอยู่หนึ่งเรื่อง แต่ว่าเฉินฉางเซิงก็ยังคงไม่เข้าใจ
เขารู้ว่าชอบคือความรู้สึกอย่างไร
เขาชอบสวีโหย่วหรงเป็นอย่างมาก แต่ต่อให้อยู่ในสวนโจวหรืออยู่ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำบนสะพานหน่ายเหอ หรือจะอยู่ท่ามกลางเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ยามสนธยา เมื่อชอบสวีโหย่วหรงเสียจนนอกจากนางแล้วเขาก็ไม่มีใจไปมองทิวทัศน์อื่นใดอีก แต่เขาเองก็กลับยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ
‘หากภรรยาเจ้าดีกับเจ้ามาก แต่นางนิสัยแย่มาก ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นเหมือนผู้ร้ายในสายตาทุกคน ท่านจะทำอย่างไร’
เขาคิดถึงคำถามนั้นของเปี๋ยยั่งหงขึ้นได้
ถ้าหากสวีโหย่วหรงเป็นคนชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ เขาควรจะทำเช่นไร
เขาเองก็ไม่รู้
เขามองไปในห้อง
ผมของอู๋ฉยงปี้กระเซิงอยู่บนร่างกาย เส้นผมสีดำนั้นก็กลายเป็นสีดอกเลา สีหน้าที่มองนั้นดูเหมือนพ่ายแพ้และสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นภาพฉากนี้ เฉินฉางเซิงรู้สึกสงสารนางมาก ทั้งยังรู้สึกไม่สบายใจ อย่างไรก็ตามจิตใจยังมีความซับซ้อนอยู่บ้าง
เซวียนหยวนผ้อเป็นคนง่ายๆ ไม่ค่อยคิดการณ์ซับซ้อน
ตอนอู๋ฉยงปี้คิดอยากทำลายสำนักฝึกหลวงในคราแรก เขาเป็นคนที่อยู่ใกล้เคียงกับความตายที่สุดแล้ว
แน่นอนว่าเขาไม่ชอบนักพรตหญิงผู้นี้
เวลาที่เขาคบค้าสมาคมกับเปี๋ยยั่งหงนั้นสั้นนัก แต่เขานับถือเปี๋ยยั่งหงเป็นอย่างมาก อยากจะสนิทสนมด้วย อยากจะมองอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ของตน
แต่เขาจะไม่มองอู๋ฉยงปี้เปลี่ยนไปด้วยเรื่องนี้ แต่จะกลับเกลียดชังอู๋ฉยงปี้เสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเมื่อได้การการทะเลาะเบาะแว้งนั้น
ยิ่งเขาชอบเปี๋ยยั่งหงมากเท่าใด ก็ยิ่งเกลียดอู๋ฉยงปี้มากเท่านั้น
ยิ่งดีงามเท่าใด ก็ยิ่งเกลียดชังเท่านั้น
ตำแหน่งตรงข้ามกันอย่างเห็นได้ชัด สรรพสิ่งบนโลกหรือแม้แต่ความรู้สึกล้วนตรงข้ามกัน
……
……
อู๋ฉยงปี้เงยหน้าขึ้นมองเซวียนหยวนผ้อ มองไปในอารมณ์ในแววตาของเขา ก่อนถามออกไป “เจ้าเกลียดข้าหรือ”
เซวียนหยวนผ้อเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนเอ่ย “ใช่ เนื่องจากข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านถึงยังหายใจอยู่ เขากลับต้องตายไป นี่มันไม่ยุติธรรมเลย”
อู๋ฉยงปี้แววตาเฉยเมย เอ่ยตอบ “คนดีมันชีวิตไม่ยืนยาว บุคคลที่เป็นบ่อเกิดของหายนะนั้นอยู่นับพันปี เหตุผลเช่นนี้เจ้าไม่เข้าใจหรือ”
เซวียนหยวนผ้อไม่รู้ว่าควรตอบคำถามนี้อย่างไรดี เขายิ่งเป็นทุกข์มากกว่าเดิมอีก
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า
สีหน้าของอู๋ฉยงปี้มีแววตาของความเยาะเย้ยพาดผ่าน นางเอ่ย “พวกเจ้าอยากรู้ใช่หรือไม่ว่าเหตุใดเขาต้องดีกับข้าถึงเพียงนี้”
สายตาเซวียนหยวนผ้อเลื่อนจากซาลาเปาไปทอดตกอยู่ตรงหน้าของเปี๋ยยั่งหง คิดแต่เพียงว่าจะแย่งชิงศพของท่านผู้อาวุโสมาจากมือของยายคนเสียสตินี้ได้อย่างไร เขาแทบไม่ได้สนใจนางเลย เฉินฉางเซิงเองก็มิได้เอ่ยอันใด
อู๋ฉยงปี้เอ่ยอย่างเย็นชา “เรื่องนี้มันนานมาแล้ว หากพวกเจ้าไม่ขอร้องข้า ข้าก็ไม่มีแก่ใจไปย้อนรำลึกถึงสิ่งพวกนั้น”
“เมื่อยามท่านยังหลับท่านเปี๋ยบอกกับพวกเราแล้ว”
เฉินฉางเซิงเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ย “หากเข้าอยากจะเพิ่มเติมอันใด เชิญเพิ่มเติมได้ตามสบาย”
“บิดาของข้าช่วยเขาออกมาจากในร้านไป๋จื่อ ขณะนั้นเขาผอมเหมือนลิง หิวจนลมออกหู หลอดลมก็ถูกเถ้าแก่ทำร้ายจนบาดเจ็บ ข้ายกซาลาเปาน้ำแกงที่ชอบที่สุดขึ้นมา เขายังทานไม่ลงเลย ท่าทางที่ทั้งหิวและทั้งเจ็บปวดนั้นตราบจนตอนนี้ยังไม่มีทางลืมได้ สุดท้ายข้านำซาลาเปาถาดนั้นฉีกออกทั้งหมด นำแกงทั้งหมดมาวางรวมในถ้วยเดียว ค่อยๆ ป้อนให้เขาดื่มเสีย ถึงได้ยื้อชีวิตเขากลับมาไว้ได้”
สีหน้าของอู๋ฉยงปี้ดูตกอับยิ่งนัก นางเอ่ย “ต่อมาเขาบอกข้าว่า ในตอนนั้นเขาได้ลั่นคำสาบานต่อหน้าเนื้อถ้วยนั้นแล้ว ชาตินี้จะดีต่อข้า ไม่ว่าข้าจะทำเรื่องอันใดล้วนจะไม่โทษข้า ไม่ว่าจะเจอเรื่องราวอันตรายเพียงใดจะปกป้องอยู่เบื้องหน้าเสมอ”
เฉินฉางเซิงเงียบอยู่นาน เอ่ยต่อ “ข้าคิดว่าเขาทำได้แล้ว”
“ไม่ผิด เขาทำได้แล้ว สิ่งที่ข้าดีกับเขาไม่เท่าหนึ่งในร้อยที่เขาดีกับข้าด้วยซ้ำ ข้ารู้ว่าไม่มีใครชอบข้า ข้ารู้ด้วยว่าเขาจะรับผิดชอบทุกสิ่งเอาไว้ที่ตนเอง เขาคงจะพูดว่าในตอนนั้นเขาอยู่ประจำการโดยปิดบังชื่อเสียงตนเองอยู่ที่ด่านยงหลันมากว่าเจ็ดสิบปีแล้ว กลับบ้านน้อยมาก ไม่ทันได้พบเจอบิดาก่อนตาย เมื่อยามที่ข้าแท้งลูกก็มิได้มาดูแลข้า ดังนั้นนิสัยและพฤติกรรมข้าจึงได้เปลี่ยน…”
จู่ๆ เสียงของอู๋ฉยงปี้ก็มีความโกรธเพิ่มขึ้นมา “แต่นั่นจะเป็นอย่างไรเล่า เขาบอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อนข้าในชาตินี้ ตอนนี้ก็มิใช่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วหรือ”
เซวียนหยวนผ้อฟังคำพูดเหล่านี้ไม่เข้าใจ ในใจคิดว่าท่านผู้อาวุโสตายไปแล้ว มิใช่ทิ้งท่านไปไม่สนใจเสียหน่อย อย่างนี้ก็ควรถูกตำหนิด้วยหรือ
เฉินฉางเซิงเข้าใจ เอ่ยตอบ “แต่ก่อนเขาตายเขาก็ยังเป็นห่วงท่าน”
“ดังนั้นเขาจึงพูดคำนั้น หากจะให้ข้าเปลี่ยนนิสัยเสีย ให้ข้าเชื่อคำพูดท่านหรือ”
อู๋ฉยงปี้มองเขาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าจะซาบซึ้งไปด้วยเรื่องพวกนี้แล้วตาสว่าง และกลับตัวกลับใจได้อย่างถ่องแท้หรือ”
เซวียนหยวนผ้อได้ฟังแล้วยิ่งโมโห เฉินฉางเซิงเองก็หมดคำจะพูด ไม่เข้าใจแม่นักพรตหญิงผู้นี้ว่าคิดอะไรอยู่อีกต่อไป
อู๋ฉยงปี้ประคองเปี๋ยยั่งหงให้นั่งตัวตรง นางนำซาลาเปาในถาดออกมาทาน
ในซาลาเปาไส้เนื้อใส่หัวหอมนั้นมีน้ำมันแดงมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ร้อนกรุ่นแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับแข็งกระด้างไป
น้ำมันแดงไหลออกจากปากนางเป็นสองสาย มันไหลลงมาราวกับโลหิตก็มิปาน ดูแล้วน่าขัน น่ารังเกียจ น่ากลัวยิ่งนัก
อู๋ฉยงปี้ก้มหน้า เฉินฉางเซิงและเซวียนหยวนผ้อล้วนมองไม่เห็นว่าตอนนี้สีหน้าของนางปรากฏความรู้สึกดุร้ายออกมา
ตอนนี้เฉินฉางเซิงเอาแต่คิดถึงคำพูดเมื่อครู่ของนาง
สิ่งเหล่านั้นที่เปี๋ยยั่งหงติดค้างนางและครอบครัว นั่นน่าจะเป็นเรื่องจริง เพียงแต่ว่าเหตุใดเปี๋ยยั่งหงไม่ได้เล่าออกมาเล่า
ไม่นานเขาก็เข้าใจถึงความคิดและความห่วงใยนั้น อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง
อู๋ฉยงปี้เข้าใจว่าเปี๋ยยั่งหงคงจะต้องพูดเรื่องนี้เป็นแน่ เพื่อแสดงว่าเขานั้นติดค้างในตัวนางและครอบครัว ทำให้คนทั้งโลกให้อภัยนางเสีย
แต่นางไม่เข้าใจ หากว่าเปี๋ยยั่งหงทำอย่างนั้นจริงๆ คนทั้งโลกจะยิ่งมองนางในแง่ร้ายมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุญคุณที่ได้ช่วยเหลือเมื่อนานมาแล้วหรือว่าเรื่องเหล่านั้นในตอนหลัง ล้วนทำให้ผู้คนรู้สึกว่านางนั้นถือเอาบุญคุณมาบังคับให้เขาตอบแทน
วิธีการของเปี๋ยยั่งหงนั้นจะดีเสียกว่า เขาแทบจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย เล่าเพียงเรื่องที่ธรรมดามากเรื่องเดียวเท่านั้น
เขานั้นชื่นชอบนางมาก นางเป็นภรรยาของเขา เขาก็ควรจะปกป้องนาง
อย่างนี้เมื่อเขาได้จากโลกนี้ไปแล้ว นางเองยังสามารถอาศัยความเป็นภรรยาเขาได้รับความเคารพอยู่บ้าง วันคืนต่อไปก็คงไม่ลำบากมาก
ความตายใกล้จะมาถึง ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเปี๋ยยั่งหงยังคงคิดแต่ว่าจะทำเช่นไรให้นางอยู่อย่างสบายที่สุด แล้วยังทำเรื่องต่างๆ มากมายเพื่อสิ่งนี้
แน่นอนว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เฉินฉางเซิงค่อนข้างมีความห่วงใยที่ท้อใจ
เขาเหมือนเดาได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ ยังคงเกี่ยวพันกับคำถามนั้น
นางชื่นชอบเขา นางดีกับเขา เขาก็ชอบนาง อย่างน้อยก่อนหน้านี้ก็ชอบนางมาก แล้วนั่นจะทำอย่างไรได้เล่า
อาศัยความชอบธรรมกำจัดคนใกล้ตัวหรือ
ซูหลีมิได้สังหารองค์หญิงเผ่ามารผู้นั้น เปี๋ยยั่งหงจะทำอะไรอู๋ฉยงปี้ได้เล่า
ต่อให้ทั้งโลกนี้ต้องแตกสลายไป แล้วนั่นจะทำอย่างไรได้เล่า