อู๋ฉยงปี้ทานซาลาเปาหมดแล้ว นางเงยหน้าขึ้นมองเฉินฉางเซิงและเซวียนหยวนผ้อ ก่อนเอ่ยออกมา
“พวกเจ้าล้วนบอกว่าข้าเป็นผู้ร้าย อย่างนั้นข้าก็จะเป็นผู้ร้ายต่อไป พวกเจ้าจะทำอะไรข้าได้”
ยามที่เอ่ยคำนี้ สีหน้านางไร้อารมณ์ใด ในตากลับเต็มไปด้วยความดูถูกและเหยียดหยาม
เซวียนหยวนผ้อเงียบขรึมลง เฉินฉางเซิงก็เงียบขรึมเช่นกัน
อู๋ฉยงปี้จู่ๆ ก็โกรธขึ้นมา นางตะโกนออกมาว่า “พวกเจ้าไม่กลัวหากข้ารักษาบาดแผลหายดีแล้ว จะไปสะบั้นมืออีกข้างของกวนไป๋นั่นหรือ!”
เฉินฉางเซิงยังคงเงียบไม่พูดจา เซวียนหยวนผ้อกล่าวอย่างไม่เชื่อว่า “ท่านนี่เหตุใดจึงได้ร้ายเช่นนี้”
อู๋ฉยงปี้พอใจในปฏิกิริยาของเขายิ่งนัก เอ่ย “ต่อให้ข้าเลวเพียงใด เขายังคงชอบข้าอยู่ดี มิใช่หรือ”
เมื่อกล่าวคำนี้จบ นางหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ
ใบหน้างดงามของนางนั้นซีดเผือดยิ่งนัก น้ำมันแดงที่ติดอยู่ก็ดูเหมือนคราบโลหิตยิ่งนัก มองแล้วน่าเวทนาน่ากลัวอย่างประหลาด
เฉินฉางเซิงจ้องไปที่ตานาง ราวกับจะเดาให้ได้ว่านางจะทำอะไร จู่ๆ รู้สึกว่าอารมณ์หดหู่ยิ่งนัก จึงลุกขึ้นเดินออกไปนอกบ้าน
มองตามเงาของเขา สีหน้าของอู๋ฉยงปี้ปรากฏสีหน้าหวาดกลัวออกมา นางเอ่ยว่า “เจ้าจะไปแล้วหรือ”
เซวียนหยวนผ้อมองน้ำมันแดงที่มุมปากนางที่กำลังหยดออกมาเพราะเอ่ยปากพูด รู้สึกโกรธนิดหน่อย จึงลุกขึ้นหยิบกระดาษสองใบยื่นไปตรงหน้านาง
อู๋ฉยงปี้ไม่ได้รับกระดาษไว้ แต่จ้องไปในดวงตาเขา ก่อนถาม “ซาลาเปาเนื้อวัวทั้งหมดล้วนมีน้ำมันเยอะเพียงนี้เลยหรือ
ไม่ว่าคำถามนี้หรืออากัปกิริยานางตอนนี้ล้วนดูเหมือนคนวิกลจริตเต็มที
เซวียนหยวนผ้อคิดว่านางน่าอนาถจริงๆ จึงกดอารมณ์ไว้ก่อนเอ่ย “นั่นเป็นเพราะน้ำมันเนื้อนั้นมีพริกผสม จึงได้หอมเพียงนี้”
“เจ้ารู้ทั้งรู้ว่าซาลาเปาเนื้อวัวหอม อย่างนั้นเหตุใดจึงให้ข้าทานแต่หมั่นโถวเล่า!”
เสียงของอู๋ฉยงปี้จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเสียงแหลมเล็ก ดูราวกับนางกำลังคลั่งแล้ว นางเริ่มตะโกนใส่เซวียนหยวนผ้อขึ้นมา
“เขาใกล้จะสิ้นใจแล้ว เจ้าให้เขาทานซาลาเปาเนื้อหน่อยจะเป็นไร!”
เซวียนหยวนผ้อเงียบไม่พูดจา ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่านางกำลังเป็นบ้า แต่เป็นเพราะเขาเองก็เสียใจกับเรื่องนี้เช่นกัน
หลายวันมานี้ที่เขาซื้อให้เปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้นั้นคือหมั่นโถวขาวธรรมดาๆ ตนเองนั้นทานซาลาเปาเนื้อวัว
มิใช่เพราะว่าซื้อไม่ไหว แต่เขาคิดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บ ควรทานอะไรที่เบาๆ หน่อย
แต่เปี๋ยยั่งหงก็ตายเสียแล้ว ในเมื่อเป็นอย่างนี้ มิสู้ทานซาลาเปาเนื้อให้เปรมปรีดิ์ไม่ดีกว่าหรือ
จู่ๆ อู๋ฉยงปี้ก็สงบนิ่งลงได้ มองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนเอ่ย “เจ้าไปตายเสียเถิด”
……
……
เกิดเสียงดังปังเบาๆ
อู๋ฉยงปี้ยกมือซ้ายขึ้น ยื่นนิ้วชี้ไปที่เซวียนหยวนผ้อ
นางแขนขาดได้รับบาดเจ็บสาหัส อ่อนแอมาก ถึงแม้ว่าเซวียนหยวนผ้อก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่อย่างน้อยก็เดินเหินสะดวก หากว่ากันตามหลักการแล้วควรจะหลบนิ้วนี้ได้ถึงจะถูก
แต่นิ้วนี้ราวกับมีมนตร์ขลังก็มิปาน มันไม่ได้สนใจในปฏิกิริยาตอบสนองตามจิตใต้สำนึกของเซวียนหยวนผ้อเลย นิ้วเพียงลากผ่านๆ แต่กลับตกลงกลางคิ้วของเขาอย่างแม่นยำหาใดเปรียบ
การชี้ของนิ้วอู๋ฉยงปี้ราวกับได้ใช้พลังงานทั้งหมดของนางไปแล้วหมด สีหน้าของนางซีดเผือด แม้กระทั่งดูราวกับจะโปร่งใสเลยทีเดียว
เซวียนหยวนผ้อกรีดร้องเสียงต่ำด้วยความเจ็บปวด ร่างกายเขาสั่นอย่างรุนแรง รูปร่างขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว เสื้อผ้าล้วนฉีกขาด ขนสีดำเป็นหย่อมทะลุออกมาตามรูขุมขน
เขาถูกนิ้วนี้ของอู๋ฉยงปี้คุกคามเสียจนแทบคลั่งในเวลาอันสั้น!
แต่เขายังคงไร้ซึ่งหนทางในการดิ้นหลุดจากนิ้วนี้ของอู๋ฉยงปี้ แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการสะบัดหน้ายังทำไม่ได้เลย
นิ้วนั้นยังคงหยุดนิ่งอยู่ตรงหว่างคิ้วของเขา เรากับมันติดแน่นอยู่ตรงนั้นก็มิปาน
เซวียนหยวนผ้อเดิมทีรูปร่างกำยำสูงใหญ่เรากับต้นอู๋ถง หลังจากคลั่งไม่ได้สติขึ้นมาแล้วยิ่งเหมือนกับภูเขาลูกใหญ่ๆ ลูกหนึ่ง หว่างคิ้วของเขาไร้หนทางจะหลีกหนีจากนิ้วของอู๋ฉยงปี้ได้เลย เขาประคองท่าทางก่อนหน้านี้ไว้ไม่ได้เลย พุ่งล้มตัวลงไปด้านหน้า
แต่เขาไม่ได้ล้มลงบนพื้น ตอนนี้เขากลับลอยขึ้นมา ดูเหมือนถุงหนังที่ถูกอัดไปด้วยลมร้อน และนิ้วมือของอู๋ฉยงปี้ก็ราวกับเชือกที่กำลังชักจูงถุงลมร้อนนั้นอยู่
เฉินฉางเซิงได้ยินเสียงผิดปกติ จึงรีบหมุนตัวเข้ามาในห้อง กลับเห็นภาพที่แปลกประหลาดฉากนี้เข้า
นิ้วของอู๋ฉยงปี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงนิ้วนั้นของเปี๋ยยั่งหงในเมื่อวาน
นิ้วนั้นของเปี๋ยยั่งหงนำเอาประสบการณ์การรบในสงครามเทพศักดิ์สิทธิ์และความรู้เกี่ยวกับการบำเพ็ญพรตมากมายใส่เข้าไปในดวงจิตของเขา
ตอนนี้ราวกับอู๋ฉยงปี้กำลังทำเรื่องราวที่คล้ายๆ แต่ก็มีจุดที่เห็นได้ชัดว่าไม่เหมือนกัน เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงพลังลมปราณเทพศักดิ์สิทธิ์ที่กดดันอย่างเทียบเทียมมิได้ ไหนจะปราณแท้อันแปลกประหลาดพรั่นพรึงนั้นอีกเล่า
ลมในฤดูเหมันต์แทรกซึมผ่านเข้ามาในตัวบ้าน โบกสะบัดอาภรณ์ของเปี๋ยยั่งหง ม้วนเอาเศษแตกหักของไม้และผลึกศิลาเหล่านั้นจากบนพื้นขึ้นมา พวกมันหมุนตัวเป็นเกลียวล้อมรอบอู๋ฉยงปี้และเซวียนหยวนผ้ออยู่
ภายในระยะเวลาสั้นๆ อู๋ฉยงปี้ผ่ายผอมลงไปหลายส่วน นางดูชราไปหลายร้อยปีเลยทีเดียว
ซอกผมนางเกิดร่องรอยของน้ำค้างแข็งผุดขึ้นมา สีหน้าซีดเผือดและผ่ายผอม ใบหน้านางโปร่งใสราวกับสามารถมองเห็นเลือดเนื้อและกระดูกที่อยู่ด้านในได้
อันที่จริงแล้วไม่สามารถมองเห็นได้หรอก ด้านในนั้นเป็นเพียงเส้นแสงเทพศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์มากมายที่อยู่ภายในนั้น
แววตาของนางเปลี่ยนเป็นดุดันอย่างถึงที่สุด มันเต็มไปด้วยความบ้าระห่ำ นางมองไปยังเซวียนหยวนผ้อก่อนแผดเสียงดังว่า “หากว่าเจ้าโชคไม่ดีอย่างนั้นก็ไปตายเสียเถิด!”
หลังจากเสียงที่แผดกร้าวนั่น เส้นแสงที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์นั้นก็ทะลุผ่านผิวหนังของนาง กลายเป็นเศษละเอียดสีทองมากมายนับไม่ถ้วน พุ่งเข้าไปในกายของเซวียนหยวนผ้อ
ร่างกายของเซวียนหยวนผ้อเริ่มสั่นเทาขึ้นอีกครั้ง แขนด้านขวาของเขาที่เหี่ยวเฉาเอาแต่หักงอไม่หยุด หลังจากนั้นก็ซ่อมแซมตัวเอง เกิดเสียงแตกหักดังลั่น จนทำให้ผู้คนใจแข็งไม่พอจะฟัง
สีหน้าของเขายิ่งดูเจ็บปวดจนถึงที่สุด
เฉินฉางเซิงรับรู้ได้ถึงความอันตรายสุดขีด แต่ภายใต้สถานการณ์อย่างนี้เขาไม่กล้าลงมือทำอะไรเลย ทำได้เพียงรอคอยอย่างหวั่นวิตก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด อู๋ฉยงปี้จึงได้ถอนนิ้วกลับ
เซวียนหยวนผ้อตกลงมากระแทกพื้นอย่างรุนแรง เกิดบาดแผลลึกมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีโลหิตมากมายกระเซ็นออกมา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็สลบไป
เฉินฉางเซิงรุดเข้าไปดูบาดแผลของเขา ตะโกนใส่อู๋ฉยงปี้ด้วยความโมโหว่า “ท่านเสียสติไปแล้วหรือ!”
เขาไม่รู้ว่านางส่งทอดอะไรให้กับเซวียนหยวนผ้อกันแน่ แต่เห็นได้ชัดว่าวิธีการนี้อันตรายกว่าวิธีการของเปี๋ยยั่งหงมากมายหลายเท่านัก
หรือจะพูดอีกอย่างได้ว่า ที่นางบอกว่าอยากให้เซวียนหยวนผ้อตายเสีย นี่ไม่ได้กำลังโกหกอยู่จริงๆ
เฉินฉางเซิงชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด คำพูดที่นางพูดเมื่อครู่เดิมทีคงอยากจะกระตุ้นตน อยากจะให้ตนสังหารนางเสีย
อย่างเช่นคำพูดเหยียดหยันของนางที่ว่าตนตาสว่างและกลับตัวกลับใจได้อย่างถ่องแท้ อย่างเช่นว่านางเอ่ยว่าจะไปสะบั้นแขนอีกข้างของกวนไป๋ให้ขาดเสีย
หนังเสียสติไปแล้วจริงๆ แต่ต่อให้อยากตายเพียงใด เหตุใดต้องใช้วิธีการอย่างนี้เล่า
อู๋ฉยงปี้นั่งพิงกำแพงยังมึนงง จู่ๆ ก็ตะโกนออกมาด้วยเสียงเย็นยะเยือกว่า “เขาไปแล้ว ข้าเองก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว แต่ข้า…ข้ากลัวตายนี่ ข้ากลัวตายจริงๆ!”
หลังจากนั้นนางก็หันศีรษะกลับไปอย่างยากลำบาก นั่งมองไปยังเปี๋ยยั่งหงที่หมดลมหายใจไปตั้งนานแล้ว และเอ่ยออกมาด้วยเสียงสั่นเทาว่า “แต่ข้าก็ยังอยากจะอยู่กับเจ้า”
เมื่อเอ่ยคำนี้จบนางก็เริ่มหลั่งน้ำตา นางร้องไห้อยู่นาน จนตอนหลังกลายเป็นเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น สุดท้ายก็ไม่มีเสียงอะไรอีก
ร่างกายของเฉินฉางเซิงแข็งทื่อไปหมด เขายื่นออกไปตรงใต้จมูกนาง
อู๋ฉยงปี้หลับตาลง และแนบอิงผู้ชายของตน นางสิ้นเสียแล้ว
เฉินฉางเซิงเก็บนิ้วกลับมา มองไปทางนอกบ้าน
ในลานบ้านเงียบมาก
จู่ๆ เขาก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก