ทุกคนค่อย ๆ เรียกสติกลับคืนมา ทว่าสีหน้ายังคงบ่งบอกถึงความตกตะลึงอย่างไม่อาจปิดบัง
พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะสังหารเยี่ยไป๋เหมยได้สำเร็จ ช่องว่างระหว่างระดับพลังของทั้งสองแตกต่างกันจนเกินไป ต่อให้ฉินอวี้โม่มีไพ่ตายอยู่มาก โดยหลักการแล้วนางก็ไม่ควรจะเอาชนะผู้อาวุโสใหญ่ที่มีพลังมากถึงขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวได้อย่างราบคาบเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ผลงานของฉินอวี้โม่ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนต่อสายตาของทุกคน นางไม่เพียงแต่เอาชนะเยี่ยไป๋เหมยได้เท่านั้น ทว่านางยังระเบิดร่างของเขาจนกลายเป็นเถ้าถ่านและสลายหายไปกลางอากาศ
ทุกคนก็ตระหนักดีว่าเยี่ยไป๋เหมยเป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตเทพสวรรค์ครึ่งก้าวและมีความแข็งแกร่งทางกายภาพที่เหนือกว่าคนทั่วไปมากนัก ซึ่งการสังหารผู้ที่มีพลังมากถึงระดับนี้มิใช่เรื่องง่ายเลย
“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”
หมิงฮ่วนผู้ซึ่งติดพันในการต่อสู้กับฉินเฟิงก็ตกตะลึงเช่นกัน เขามองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยแววตาบ่งบอกความรู้สึกที่ซับซ้อนเกินคาดเดาและเจือด้วยความหวาดหวั่นอย่างสังเกตได้
เห็นได้ชัดว่านางเป็นเพียงสตรีจอมยุทธ์ที่เพิ่งทะลวงพลังเข้าสู่ขอบเขตเทพยุทธ์เท่านั้น ทว่านางกลับวางข่ายอาคมที่ทรงพลังเช่นนี้ได้และถึงขั้นสังหารเยี่ยไป๋เหมยผู้เป็นจอมยุทธ์เทพสวรรค์ครึ่งก้าวได้สำเร็จ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากตัวเขาติดอยู่ในข่ายอาคมดังกล่าว หมิงฮ่วนก็ตระหนักได้ว่าตนอาจต้องเผชิญกับความตายภายในการโจมตีคราวเดียวเช่นกัน
ในเวลานี้ ความต้องการถอนตัวในหัวใจของเขาก็ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ อย่างมิอาจควบคุม
“คิดจะหนีงั้นรึ ? มันสายเกินไปแล้ว !”
ฉินเฟิงจับตาดูการเคลื่อนไหวของหมิงฮ่วนมาตลอด เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยายามถอยเพื่อหลบหนี เขาก็แสยะยิ้มเย้ยหยันและติดตามไปอย่างใกล้ชิดทันที
แม้ความแข็งแกร่งภายนอกของฉินเฟิงจะน้อยกว่าหมิงฮ่วนพอสมควร แต่เขาก็สามารถขัดขวางการหลบหนีของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
“นายหญิง เราไปช่วยในจุดนั้นเถอะ”
ซิวและมารยามองหน้ากันก่อนตรงเข้าไปโจมตีหมิงฮ่วนอย่างรวดเร็ว
“เราก็ด้วยเถอะ”
หลังจากเรียกสติคืนมาจากความตกตะลึง เยี่ยหมิงและเยี่ยหลิงซีก็มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนเริ่มปล่อยการโจมตีเข้าใส่หมิงฮ่วนจากระยะไกลอีกครา
แม้มีความแข็งแกร่งที่ด้อยกว่า แต่ทักษะยุทธ์ของพวกเขาก็ยังทำให้เป้าหมายบาดเจ็บได้ไม่มากก็น้อย
สำหรับฝั่งของผู้อาวุโสใหญ่ หลังจากที่เยี่ยไป๋เหมยตายไป แน่นอนว่าพวกเขาก็สูญเสียขวัญและกำลังใจไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาบางส่วนเลือกที่จะยอมจำนนโดยตรงเนื่องจากยังไม่อยากตายในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีคนตระกูลเยี่ยหลายคนก็ถูกบังคับให้เข้าร่วมกับฝ่ายของเยี่ยไป๋เหมยและแท้จริงแล้วพวกเขาไม่ได้ต้องการทรยศต่อตระกูลเยี่ย
ในเมื่อผู้อาวุโสใหญ่สลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว พวกเขาจึงเลือกที่จะเดินออกจากเส้นทางที่มืดมิดนั้นเพื่อเดินเข้าหาทางสว่าง
ต่อให้ไม่มีโอกาสอยู่ในจวนตระกูลเยี่ยอีกต่อไป มันก็ย่อมดีกว่าการต้องตายอยู่ที่นี่
เวลานี้ แม้แต่เยี่ยซีก็เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในระยะไกลอย่างเงียบ ๆ และไม่คิดเข้าร่วมการต่อสู้อีกโดยกังวลว่าเซิ่งเซียวและอวิ๋นซื่อเทียนจะตามไปสังหารตนได้
ขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่ก็ตรงเข้าไปปรากฏตัวไม่ไกลจากหมิงฮ่วนและเริ่มจัดวางข่ายอาคมอย่างรวดเร็วโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของนาง
อย่างไรก็ตาม ครานี้นางไม่เลือกใช้ข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพอีกต่อไป หากแต่เป็นข่ายอาคมมายาที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและการเคลื่อนไหวของหมิงฮ่วน
แม้พลังของข่ายอาคมเก้ามังกรทลายพิภพจะน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก มันก็มีข้อกำจัดที่ชัดเจนอยู่ เนื่องจากใช้มันไปครั้งหนึ่งแล้ว การใช้อีกครั้งก็อาจจะควบคุมหมิงฮ่วนไว้ไม่ได้ หากอีกฝ่ายไม่หลงกลเข้าไปในระยะรัศมีของข่ายอาคม ข่ายอาคมดังกล่าวก็ไม่สามารถปลดปล่อยพลังได้อย่างเต็มที่ เพราะเหตุนั้น การเลือกวางข่ายอาคมที่ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจและการเคลื่อนไหวของเขาจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า และภายใต้การปิดล้อมของทุกคน มันก็มากพอที่จะเอาชนะเขาได้
มารยาก็ได้รับคำสั่งผ่านการสื่อสารทางกระแสจิตจากฉินอวี้โม่และเริ่มวางข่ายอาคมรอบ ๆ เช่นกัน
ตอนนี้ทั้งสองก็กำลังจัดวางข่ายอาคมชนิดต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและข่ายอาคมที่พวกนางจัดวางไว้ก็ล้วนไม่ส่งผลกระทบต่อฝ่ายเดียวกัน ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับฝ่ายของพวกนางได้มาก
เมื่อเวลาผ่านไปเพียงครู่หนึ่ง ข่ายอาคมขนาดเล็กกว่าหลายสิบชนิดก็ปรากฏขึ้นทั่วบริเวณ
“บัดซบ !”
ท่ามกลางการโจมตีจากคู่ต่อสู้หลายคน หมิงฮ่วนก็อดสบถเสียงดังอย่างไม่สบอารมณ์ไม่ได้ในขณะที่สีหน้าบิดเบี้ยวเหยเกมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ว่าการโจมตีของเยี่ยหมิงและคนอื่น ๆ จะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสไม่ได้ ทว่ามันก็ยากที่จะป้องกันการโจมตีจากคู่ต่อสู้จำนวนมากเช่นนี้ ในขณะเดียวกัน การโจมตีของฉินเฟิงและซิวก็น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือซิวที่ไม่อยู่ในสายตาของหมิงฮ่วนในตอนต้น
จนกระทั่งเพลิงลุกโชนของซิวลุกลามขึ้นมาในมุมหนึ่งของอาภรณ์ของหมิงฮ่วนจนไหม้เกรียมไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น เขาจึงตระหนักได้ถึงความทรงพลังของมันและเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา
เพลิงร้อนระอุที่น่าสะพรึงกลัวนี้ทำให้จิตวิญญาณของหมิงฮ่วนสั่นสะท้านได้ไม่น้อย เขาทราบดีว่าหากเพลิงดังกล่าวโจมตีมาถึงตัว มันจะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน
หมิงฮ่วนรีบปล่อยการโจมตีออกไปรอบตัวติดต่อกันชุดใหญ่เพื่อผลักคู่ต่อสู้รอบ ๆ ให้กระเด็นออกไป อย่างไรก็ตาม จอมยุทธ์ทุกคนที่โจมตีเขาจากทุกทิศทางล้วนหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย
ความแข็งแกร่งของหมิงฮ่วนในตอนนี้เหนือกว่าฉินเฟิงเพียงไม่มากและไม่อาจควบคุมอีกฝ่ายได้อย่างเด็ดขาดนัก กอปรกับเพลิงแห่งชีวิตของซิว ฉินเฟิงจึงกลายเป็นผู้ได้เปรียบอย่างชัดเจน เวลานี้ ผู้อาวุโสตระกูลหมิงไม่สามารถเอาชนะหรือทำให้เยี่ยหมิงและคนอื่น ๆ บาดเจ็บได้เลย
“นี่มัน…?!”
ทันใดนั้น วิสัยทัศน์รอบตัวก็เปลี่ยนแปลงไปในขณะที่ซิวและฉินเฟิงซึ่งโจมตีประชิดตัวเขาอย่างต่อเนื่องหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยและหมิงฮ่วนพบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางม่านหมอก
แน่นอนว่าปฏิกิริยาตอบสนองของหมิงฮ่วนก็รวดเร็วอย่างยิ่งและตระหนักได้ทันทีว่าตนติดอยู่ในวงล้อมของข่ายอาคมมายาของฉินอวี้โม่เสียแล้ว เขาไม่รอช้าและแผ่พลังมายาออกไปรอบตัวเพื่อควบแน่นกลายเป็นม่านป้องกันให้กับตนเอง
ตูมมม !
เปรี๊ยะ !เปรี๊ยะ !เปรี๊ยะ !
เสียงการโจมตีดังขึ้นและการโจมตีนับสิบกระบวนท่ากระทบม่านป้องกันของหมิงฮ่วนส่งผลให้มันแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว
และเมื่อม่านหมอกรอบตัวหายไป ร่างของซิว ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ก็ปรากฏรอบตัวหมิงฮ่วนอีกครั้ง
“อ๊ากก ! บัดซบ บัดซบชะมัด !”
หมิงฮ่วนฉุนเฉียวมากขึ้นเรื่อย ๆ และกรีดร้องเสียงดังออกมา ทว่าเมื่อเขากำลังจะปลดปล่อยการโจมตีออกไป วิสัยทัศน์ตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครา
ครานี้เขาติดอยู่ท่ามกลางภูเขาไฟที่กำลังปะทุและเพลิงร้อนระอุใต้ฝ่าเท้าก็ทำให้เขารู้สึกราวกับจะถูกแผดเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่านได้ทุกเมื่อ เหนือศีรษะของเขาก็มีลูกเพลิงที่ร่วงหล่นลงมาอย่างต่อเนื่องและโจมตีตรงไปที่เขาเป็นจุดเดียว
“เหอะ ก็แค่ข่ายอาคมลวงตา อย่าคิดจะตบตาข้าซะให้ยาก !”
ครานี้หมิงฮ่วนไม่สร้างม่านป้องกันขึ้นมารอบตัวอีกต่อไป ทว่าควบแน่นก้อนพลังมายาขึ้นมาตรงหน้าและหลับตาลงก่อนโยนมันออกไปยังจุดที่ซิวและฉินเฟิงยืนอยู่ก่อนหน้านี้
“อ๊ากกก !”
ทันใดนั้น เขาก็แผดเสียงร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดเมื่อลูกเพลิงเหนือศีรษะร่วงลงมาเฉียดใกล้จนเส้นผมของเขาลุกไหม้ในพริบตา หากมิใช่เพราะตอบสนองอย่างรวดเร็ว เกรงว่าหนังศีรษะทั้งหมดของเขาก็คงไหม้เกรียมไปแล้วเช่นกัน
ใบหน้าของเขาเป็นแถบรอยดำเนื่องจากความร้อนของลูกเพลิง เวลานี้เสื้อผ้าอาภรณ์ของเขาก็ขาดวิ่นไปหลายจุดและเพลิงแผดเผาร่างกายจนเป็นสีแดงน่าขนลุก กล่าวได้ว่าตอนนี้หมิงฮ่วนได้รับบาดเจ็บมากพอสมควรแล้ว
ก่อนที่เขาจะปรับลมหายใจและสภาวะพลังให้คงที่ได้ ภาพบรรยากาศรอบตัวหมิงฮ่วนก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ครานี้เขาพบว่าตนเองอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะเยือกเย็นซึ่งมีเพียงหิมะขาวโพลนกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาและมีภูเขาหิมะลูกหนึ่งปรากฏอยู่ไม่ไกลโดยที่ไม่มีสิ่งใดอีกเลย
หมิงฮ่วนไม่กล้าประมาทอีกต่อไปและเตรียมปล่อยพลังมายาเพื่อก่อตัวเป็นม่านป้องกันรอบร่างกายของตน อย่างไรก็ตาม จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าทั้งร่างของตนเย็นยะเยือกจนแข็งทื่อ ร่างกายที่ร้อนระอุก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นเยือกเย็นอย่างกะทันหันและทั้งร่างสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุม เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องก่อนเกิดพายุหิมะที่โถมกระหน่ำเข้ามา
ในเวลานี้ จิตใจของหมิงฮ่วนใกล้ที่จะล่มสลายเต็มทีและเขาไม่สามารถแยกแยะความจริงและภาพลวงตาได้อีกต่อไป
ทันใดนั้น หัวใจของเขาก็เกิดความรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตน หากทราบว่าตระกูลเยี่ยมีจอมยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวถึงเพียงนี้ เขาก็คงไม่กล้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง…
ในเวลานี้ จู่ ๆ ก็มีพลังประหลาดที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายของเขาอย่างกะทันหันโดยที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว
ภาพบรรยากาศรอบตัวกลับสู่สภาวะปกติ ตรงหน้าของเขาในตอนนี้คือฉินเฟิงและซิวที่มองตรงมาด้วยแววตาเย้ยหยัน ฉินอวี้โม่ก็กำลังเดินเข้ามาจากระยะไกลอย่างช้า ๆ และมีรอยยิ้มลึกลับประดับใบหน้าซึ่งไม่อาจคาดเดาความคิดของนางได้เลย
คนอื่น ๆ ที่รวมตัวกันอยู่รอบ ๆ ก็เดินทอดน่องเข้ามาเช่นกัน
“พวกเจ้า…”
หมิงฮ่วนอ้าปากเพื่อจะกล่าวบางอย่าง ทว่าจู่ ๆ ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด
เขาค้นพบว่าจุดตันเถียนของตนถูกปิดผนึกไว้และพลังมายาภายในร่างกายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เวลานี้เขาไม่สามารถใช้ทักษะยุทธ์และพลังในขอบเขตเทพสวรรค์ได้อีกต่อไป