ราชันเร้นลับ 1278 : เตือนความจำ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

สถานะเทพสมุทร รวมถึงระดับตัวตนและพลัง… ได้ยินตัวอย่างจากมิสเตอร์ฟูล แฮงแมนอัลเจอร์สมองขาวโพลนไปเกือบสองวินาที

นี่เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของมันโดยสิ้นเชิง!

จากมุมมองของมัน มิสเตอร์ฟูลที่ช่วงชิงพลังเทพสมุทรจากคาเวทูว่าผ่านเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ย่อมได้รับฐานสาวกไปเป็นจำนวนมาก เรียกได้ว่าเป็นกุญแจสำคัญในขั้นตอนการฟื้นฟูพลังของพระองค์ ดังนั้น คงเป็นเรื่องยากที่ตัวตนดังกล่าวจะยอมทิ้งสถานะและตัวตนของเทพสมุทร

แต่ผิดความคาดหมาย เมื่อครู่มันเพิ่งได้ยินมิสเตอร์ฟูลกล่าวว่า ทุกคนสามารถนำบางสิ่งมาแลกเปลี่ยนกับสถานะของเทพสมุทร รวมถึงระดับตัวตนและพลังได้

เมื่อพลังฟื้นคืนมาในระดับหนึ่ง สถานะและสาวกของเทพสมุทรก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป? นี่คือตัวตนที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัย สิ่งใดที่ไม่คู่ควรจะถูกใช้เพียงชั่วคราวและส่งต่อให้ผู้อื่น… แฮงแมนอัลเจอร์ถอนหายใจเงียบด้วยความตื่นเต้น มันสัมผัสได้ว่าคำพูดของมิสเตอร์ฟูลกำลังเพ่งเล็งมายังตน

ภายในโบสถ์รัตติกาล มันกลายเป็นครึ่งเทพได้ด้วยพลังจากภายนอก แม้จะตอนนี้จะไต่เต้าขึ้นมาเป็นสมาชิกระดับเบื้องบนได้ แต่ตำแหน่งของตนก็น่าจะถึงทางตันแล้ว และปัจจุบันก็ยังมองไม่เห็นโอกาสที่จะขโมย ‘หนังสือแห่งภัยธรรมชาติ’ ออกมา ส่งผลให้อัลเจอร์จำต้องข่มความทะเยอทะยานไว้ชั่วคราวและรอคอยโอกาสที่กำลังจะมาถึงอย่างอดทน

โอกาสที่ว่ามาถึงแล้ว แถมยังมาเร็วมาก!

ปัจจุบันอัลเจอร์เป็นพระคาร์ดินัลแห่งโบสถ์วายุสลาตันที่ดูแลมุขมณฑลหมู่เกาะรอสต์ หากเมื่อใดที่มันแอบกลายเป็น ‘เทพสมุทร’ สำเร็จและควบคุมอำนาจเหนือน่านน้ำดังกล่าว มันจะกลายเป็นราชาแห่งหมู่เกาะรอสต์ทันที ราชาตัวจริงเสียงจริง!

คิดถึงตรงนี้ แฮงแมนอัลเจอร์แทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการสงบจิตใจ

แม้ว่าออเดรย์ เดอร์ริค และคนที่เหลือจะค่อนข้างตกตะลึงกับเรื่องที่ชุมนุมทาโรต์เริ่มแลกเปลี่ยนสถานะและพลังของเทพ – ถึงจะเป็นเพียงเทพกำมะลอก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครอยากย้ายไปยังเส้นทางวายุ พวกมันจึงไม่มีทางรู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับอัลเจอร์ ทุกคนรีบข่มจิตใจและหันไปเพ่งมองมิสเตอร์แฮงแมน

อัลเจอร์สูดลมหายใจเงียบ กล่าวกับบุคคลในตำแหน่งประธานด้วยความนอบน้อม:

“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ สิ่งที่พระองค์เพิ่งยกตัวอย่าง ต้องแลกเปลี่ยนด้วยอะไร”

เดอะฟูลไคลน์ที่กำลังรอให้แฮงแมนถาม ยิ้มพลางกล่าว

“ภารกิจที่ข้าจะมอบให้ รวมถึงการสวดวิงวอนเพื่อขอพรจากก้นบึ้งเป็นครั้งคราว”

สาระสำคัญอยู่ที่ประโยคในส่วนหลัง แต่มันเชื่อว่าสมาชิกชุมนุมทาโรต์คงมิได้ใส่ใจนัก

สำหรับวิธีเติมเต็มความปรารถนาของเป้าหมาย ไคลน์ในปัจจุบันคิดออกอยู่สองทาง วิธีแรก มันจะใช้พลังพิเศษเดิมของตัวเองเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่อีกฝ่ายปรารถนา เช่นการอัญเชิญฉากในประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่เหมือนกับที่ทำให้ ‘เจ้าของผับเลี้ยงเบียร์’ วิธีที่สอง อาศัยพลัง ‘ความปรารถนา’ ที่สั่งสมไว้เพื่อเสกให้ความปรารถนาง่ายๆ เป็นจริงในเชิงปาฏิหาริย์ ยกตัวอย่างเช่น การดีดนิวเพื่อเสกให้บ้านที่เคยพังกลับคืนสภาพเดิมในพริบตา

นอกจากนั้น บนมิติเหนือสายหมอก ไคลน์สามารถระดมพลังของปราสาทต้นกำเนิดซึ่งมีระดับตัวตนทัดเทียมราชาเทวทูตที่ปราศจากเอกลักษณ์ได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ไคลน์ตอบสนองการสวดวิงวอนได้ด้วยพลังและความแข็งแกร่งของลำดับ 1 อย่างบริวารเร้นลับ

หลังจากลองทดสอบในระยะหลัง มันค้นพบพลังสองชนิดที่เพิ่มเข้ามา:

หนึ่งคือพลังในการสร้างอาณาจักรเทพอย่างง่าย และสองคือพลัง ‘ปลูกถ่าย’

วลีการปลูกถ่ายเป็นสิ่งที่ไคลน์ตั้งชื่อเอง เพราะมันยังไม่ใช่บริวารเร้นลับตัวจริง ย่อมไม่มีข้อมูลของพลังดังกล่าว

พลังชนิดนี้จะช่วย ‘ปลูกถ่าย’ สิ่งต่างๆ ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกันโดยตรงภายใต้สถานการณ์ปรกติ เข้าด้วยกันจนเกิดเป็นผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์

ตัวอย่างที่เห็นภาพได้ง่ายก็คือ การผสานแนวคิดเกี่ยวกับ ‘จุดจบ’ และ ‘จุดเริ่มต้น’ ของถนนเข้าด้วยกัน ทำให้คนที่กำลังเดินบนถนนได้พบกับถนนที่ไม่มีวันสิ้นสุดและไม่มีทางออก

สำหรับผู้วิเศษ ยังมีพลังอีกหลายชนิดที่สามารถสร้างผลลัพธ์คล้ายคลึงกัน แต่การ ‘ปลูกถ่าย’ ของบริวารเร้นลับสามารถส่งผลกับ ‘แนวคิด’ ได้โดยตรง ไม่เพียงแต่จะมีระดับตัวตนที่สูงมากจนคล้ายกับการลงมือของทวยเทพตัวจริง แต่ยังผสมผสานความพิสดารและ ‘ซ่อนเร้น’ เข้าไปด้วย

เมื่อผนวกเข้ากับพลังในการจำลองของสมบัติปิดผนึกระดับ 0 อย่างไม้เท้าดวงดาว ไคลน์ที่อยู่บนปราสาทต้นกำเนิดสามารถตอบสนองคำสวดวิงวอนได้ทัดเทียมกับราชาเทวทูตตัวจริง และในบางกรณีก็อาจทำได้มากกว่านั้น

หลังจากได้ยินมิสเตอร์ฟูลเอ่ยถึงภารกิจ แฮงแมนอัลเจอร์ฉุกคิดถึงบางสิ่งพลางก้มหน้าถาม

“เรียนมิสเตอร์ฟูลที่เคารพ ท่านต้องการให้ผมสืบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับนายพลทั้งสามคนของฟุซัคที่เคยเข้าร่วมยุทธนาวีโคโนโต้ใช่หรือไม่?”

ก่อนหน้านี้มันประสบความสำเร็จในการรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นของกลุ่มบุคคลซึ่งน่าจะเคยเป็นเจ้าของยุบพองหิวโหย แต่อัลเจอร์ยังไม่พบสิ่งใดผิดปรกติเพิ่มเติม

เดอะฟูลไคลน์ส่ายหน้าแผ่วเบา

“ไม่ใช่”

เดิมทีไคลน์ต้องการจะใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อจับหางสภานักสิทธิ์สนธยา แต่เนื่องจากตอนนี้อาดัมน่าจะกลายเป็นเทพแท้จริงไปแล้ว หากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง

หลักการดำเนินชีวิตของไคลน์คือ ควรรู้จักทำตัวสำรวมต่อหน้าเทพแท้จริง ตอนไหนควรยอมก็ต้องยอม

โดยไม่รอให้แฮงแมนอัลเจอร์พูดต่อ เดอะฟูลไคลน์กล่าวเสียงสงบนิ่ง

“ภารกิจของเจ้าในตอนนี้ก็คือ ร่วมมือกับสาวกเทพสมุทรและคอยอำนวยความสะดวกให้ผู้คนที่อพยพมาจากดินแดนเทพทอดทิ้ง”

“ความประสงค์ของพระองค์คือความประสงค์ของกระผม!” แฮงแมนอัลเจอร์ตอบโดยปราศจากความลังเล

ได้ยินคำพูดดังกล่าว เดอะซันเดอร์ริคถอนหายใจโล่งอกทันที มันเลิกกังวล คลางแคลง และกระสับกระส่ายเกี่ยวกับอนาคตของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์

มันไว้วางใจฝีมือในการจัดการบริหารของมิสเตอร์แฮงแมนอย่างเต็มที่

ในเวลาเดียวกัน เดอะฟูลไคลน์กวาดตาและยิ้ม

“นอกจากสถานะ พลัง และระดับตัวตนของเทพสมุทร ข้ายังมีอีกหลายสิ่งให้แลกเปลี่ยน ยกตัวอย่างเช่น สูตรโอสถและตะกอนพลังของจอมเวทกฎหมาย”

มันมิได้ยกตัวอย่างพร่ำเพรื่อเพราะเกรงว่าอาจทำให้เสียบุคลิกภาพของเดอะฟูล สำหรับสิ่งที่เคยพูดออกไปมากมายเมื่อครู่ มันทำให้ทุกคนเข้าใจโดยนัยว่านั่นเป็นเพราะเดอะฟูลกำลังมีความสุขที่ฟื้นตัวกลับมาได้หลายระดับ

มรดกเกี่ยวกับ ‘จอมเวทกฎหมาย’ ล้วนมาจากเมืองจันทรา ไคลน์สามารถร้องขอได้ง่ายดายหลังจากเติมเต็มความปรารถนาของชาวเมืองด้วยการ ‘ช่วยให้รอด’ ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่แน่นอน ถึงจะไคลน์เรียกร้องให้ชาวเมืองจันทราสังเวยสูตรโอสถกับตะกอนพลังทันที อีกฝ่ายก็คงเต็มใจเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากได้ลิ้มรสพรและการคุ้มครองไปแล้ว

สิ่งที่พวกมันหวาดกลัวยิ่งกว่าคือการที่เดอะฟูลละทิ้งเมืองจันทราและไม่ยอมรับการเซ่นสังเวย

นอกจากนั้น ไคลน์ยังมีหุ่นเชิดอัศวินสีเงิน; ตะกอนพลังลำดับ 9 ถึง 3 ของเส้นทางนักทำนาย; สมบัติปิดผนึก แม้ทัพไร้รูม่านตา; หยดเลือดที่เปี่ยมไปด้วยพรของดวงจันทร์บรรพกาล รวมถึงยันต์และกระสุนอีกหลายชนิดที่สร้างจากหนอนวิญญาณ

และถ้าผู้ขอพรต้องการสิ่งอุปโภคบริโภค หรือยืมใช้บางสิ่งชั่วคราว ไคลน์ก็สามารถดึงออกจากช่องว่างประวัติศาสตร์ได้ง่ายดาย

สูตรโอสถและตะกอนพลังของจอมเวทกฎหมาย… จัดจ์เมนต์ซิลรู้สึกคล้ายกับมิสเตอร์ฟูลกำลังมองมาทางตน

ด้วยความสัตย์จริง ในระยะหลังเธอขาดแรงกระตุ้นที่จะเลื่อนลำดับไปมาก ในแง่หนึ่ง เธอเป็นเพียงสมาชิกระดับกลางของ MI9 โอกาสไต่เต้าไปจนถึงครึ่งเทพนั้นยากเย็นแสนเข็ญ และอีกแง่หนึ่ง ชื่อเสียงของบิดาเธอถูกฟื้นฟูมาถึงระดับที่น่าพึงพอใจ จึงไม่มีเหตุผลให้ต้องเร่งตัวเอง

ขณะเดียวกัน สงครามจบลงแล้ว แม่และน้องชายกำลังจะย้ายกลับมายังเบ็คลันด์เพื่อเริ่มต้นชีวิตปรกติ รายได้ในปัจจุบันของซิลเพียงพอที่จะจุนเจือครอบครัวให้มีชีวิตที่มั่งคั่ง

ด้วยเหตุผลข้างต้นประกอบกัน ซิลรู้สึกว่าชีวิตในปัจจุบันของตนค่อนข้างดีแล้ว และไม่อยากเปลี่ยนแปลงมัน

แต่แน่นอน หากสบโอกาสที่จะได้เป็นครึ่งเทพ ซิลจะคว้าเอาไว้อย่างแน่นอน เพราะในสงครามล่าสุด เธอได้ลิ้มรสความไร้พลังของผู้วิเศษลำดับ 5 กับตัวเอง และนอกจากนั้น ภายในชุมนุมทาโรต์ หากไม่นับเธอและฟอร์ส ทุกคนล้วนกลายเป็นครึ่งเทพกันหมดแล้ว ซิลเองก็ไม่อยากถูกทิ้งห่างสักเท่าไร

ท่ามกลางกระแสความคิด จัดจ์เมนต์ซิลชำเลืองมองเมจิกเชี่ยนฟอร์สด้านข้าง ก่อนจะก้มศีรษะให้กับตำแหน่งประธานโต๊ะทองแดงยาวเป็นนัยว่าตนจะทำงานให้หนักขึ้น

เมจิกเชี่ยนฟอร์สคาดเดาความคิดเพื่อนสนิทได้ เพราะเธอเองก็กำลังคิดในสิ่งเดียวกัน

หากไม่ใช่เพราะว่าลำดับ 4 สามารถต่อกรกับเสียงเพรียกในคืนจันทร์เต็มดวงได้ดี ทำให้เธอไม่ต้องรบกวนเดอะฟูลอีก รวมถึงเรื่องที่ตระกูลอับราฮัมเตรียมสูตรโอสถและตะกอนพลังให้เธอรีบร้อยแล้ว ฟอร์สก็คงไม่รีบร้อนที่จะเลื่อนลำดับเป็นจอมเวทลึกลับสักเท่าไร

นักท่องเที่ยวอย่างเธอสามารถไปได้ทุกที่ที่อยากไป เทเลพอร์ตไปกินอะไรก็ได้ตามแต่จะนึกออก เพียงเท่านี้ก็เติมเต็มความคาดหวังของเธอในตอนที่ก้าวเข้าสู่โลกผู้วิเศษได้แล้ว

แน่นอนว่าฟอร์สยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่เป็นแรงจูงใจในการพัฒนาตัวเอง นั่นก็คือ หลังจากกลายเป็นครึ่งเทพ เธอสามารถช่วยเหลืออาจารย์และตระกูลอับราฮัมได้

เมื่อเห็นมิสเตอร์ฟูลผู้ปกคลุมไปด้วยม่านหมอกเอนหลังพิงเก้าอี้โดยไม่กล่าวสิ่งใดต่อ จัสติสออเดรย์ลังเลสักพักก่อนจะเปิดปากพูด

“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ดิฉันมีคำถาม… หากมีสักเรื่องที่คุณไม่มีทางเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใด โดยที่เรื่องดังกล่าวเปรียบดังเกมซึ่งผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับอารมณ์ของบางตัวตนเท่านั้น พวกคุณจะทำเช่นไร”

ทันทีที่กล่าวจบ อัลเจอร์ขำในลำคอ

“ทุกคนต้องตายในสักวันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะพยายามสักเพียงใดก็คงยากที่จะเปลี่ยน เช่นนั้นแล้ว ชีวิตของเขาไร้ความหมายอย่างนั้นหรือ?”

ประหนึ่งอัลเจอร์เคยขบคิดคำถามเชิงปรัชญาข้อนี้ จึงเสริมอีกหนึ่งประโยค

“ถ้าคุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ในปัจจุบัน ให้พยายามปรับปรุงตัวเอง ครอบครองพลังที่มากขึ้น มีอำนาจมากขึ้น จนกระทั่งคุณกลายเป็นส่วนหนึ่งของเกมได้ในสักวัน ถึงจะต้องตายไประหว่างนั้น แต่ก็คงดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

ถ้อยคำที่จริงใจที่สุดเท่าที่มิสเตอร์แฮงแมนเคยพูด… ดูเหมือนว่าจะออกมาจากก้นบึ้งของเขา… สิ่งเล็กๆ ก็สามารถยิ่งใหญ่ได้ในสักวันสินะ… ออเดรย์ที่เกิดความซาบซึ้งพยักหน้าแผ่วเบา

ทันใดนั้นเอง เดอะเวิร์ล เกอร์มัน·สแปร์โรว์กวาดตาพลางกล่าว

“ทุกคน ผมมีบางสิ่งต้องการจะเตือน”

เมื่อสมาชิกชุมนุมทาโรต์หันมาโดยพร้อมเพรียง ไคลน์บังคับให้เดอะเวิร์ลจำลองกล่าวเสียงทุ้มต่ำ

“วันสิ้นโลกกำลังจะมาถึงในอีกสิบกว่าปีข้างหน้า ทุกคนอาจดับสูญ ไม่เว้นแม้กระทั่งทวยเทพ”

……………