บทที่ 1124 ก่อนสงครามปะทุ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,124 ก่อนสงครามปะทุ

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย

หลินเป่ยเฉินก็เดินไปที่ลานฝึกวิชาด้านหน้าตึก

การออกกำลังกายยังคงดำเนินไปภายใต้บรรยากาศที่เข้มข้น

สำหรับเหล่าลูกศิษย์สำนักกระบี่อมตะ การออกกำลังกายภายใต้ภารกิจของแอป Keep คือสิ่งที่ดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของตนเองที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นี่จึงแทบไม่ต่างจากการเข้าบ่อนแล้วชนะการพนัน ทุกคนไม่สามารถหยุดออกกำลังกายได้อีกต่อไป…

และอากวงก็ยังคงเดินถือแส้คอยตรวจตราทุกคนอย่างเข้มงวด

ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนี้

เวลาสองวันจึงผ่านไปในพริบตาเดียว

เหลืออีกเพียงวันเดียวก็จะถึงกำหนดเสร็จสิ้นภารกิจกอบกู้ความรุ่งเรืองของสำนักกระบี่อมตะแล้ว

ยังขาดศิษย์ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายอีกหนึ่งคนเท่านั้น

บัดนี้ หลินเป่ยเฉินได้มาแล้วสี่คน

แต่ดูจากความคืบหน้าในการเลื่อนขั้นพลังของทุกคน เด็กหนุ่มก็มั่นใจว่าภารกิจครั้งนี้ย่อมเสร็จสิ้นได้โดยไม่มีปัญหา

หลินเป่ยเฉินถึงกับเลือกลูกศิษย์ที่อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนกลางมาห้าคน พวกเขาต่างเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติในการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายกันทุกคน และพวกเขาก็ได้รับประทานอาหารเสริมรวมถึงผลกวนเจี๋ยมากกว่าศิษย์คนอื่น ๆ เป็นพิเศษอีกด้วย

ส่วนลูกศิษย์ที่เคยเป็นผู้อ่อนแอที่สุดในสำนักนามจ้าวจื่อหมิง ก็ได้รับการดูแลดีเป็นพิเศษเช่นกัน และนั่นก็ทำให้เขาสามารถกลายเป็นยอดปรมาจารย์ตอนปลายคนที่สี่ได้สำเร็จ

และยังเหลือเวลาอีกหนึ่งวันก็จะถึงกำหนดการประลองกระบี่รอบชิงชนะเลิศแล้ว

บรรยากาศภายในเมืองไป๋หยุนปกคลุมไปด้วยความตึงเครียด

ทุกคนต่างก็เฝ้ารอการประลองนัดชิงชนะเลิศด้วยจิตใจอันลุ้นระทึก พวกเขาไม่ทราบเลยว่าผู้ใดจะได้รับตำแหน่งเซียนกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุนไปครอบครองในท้ายที่สุด

แต่ทันใดนั้น การปรากฏตัวของแขกที่ไม่ได้รับเชิญก็ทำให้บรรยากาศในเมืองไป๋หยุนเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง

พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน

เงาร่างหลายสายปรากฏขึ้นบนท้องถนนในตัวเมือง

“ข้าพเจ้าเยวียนเฟิง เป็นศิษย์ของสำนักกระบี่หางขาวผกผัน ขอสอบถามว่าตัวแทนของสำนักเราที่เดินทางมาประลองกระบี่ในเมืองนี้ ยังคงพำนักอยู่ที่นี่หรือไม่?”

มือกระบี่หนุ่มจากสำนักกระบี่หางขาวผกผันเที่ยวเดินสอบถามผู้คนในตัวเมือง เพื่อสอบถามถึงที่อยู่ของคนจากสำนักตนเอง

“พวกเขาไม่ใช่เดินทางกลับไปตั้งแต่ห้าวันก่อนแล้วหรือ?”

“ข้าจำได้ว่าพอพวกเขาตกรอบ ทุกคนก็เดินทางกลับไปทันทีเลยนะ”

ชาวเมืองบางคนให้คำตอบ

เยวียนเฟิงได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา “เป็นไปไม่ได้ หากออกเดินทางจากที่นี่ตั้งแต่ห้าวันก่อน พวกเขาก็สมควรกลับมาถึงสำนักเรานานแล้ว เหตุไฉนถึงยังไม่มีผู้ใดพบเห็นตัวคนอีก?”

“บางทีข้าอาจจะมองข้ามอะไรบางอย่างไป”

เมื่อคิดได้ดังนั้น

เยวียนเฟิงก็ออกค้นหาเบาะแสของคนจากสำนักของตนเองไปทั่วเมือง

ในไม่ช้า คนจากหุบเขาผีเสื้อพิษที่มีปีกสีสันสวยงามบนแผ่นหลังก็ปรากฏตัวขึ้นที่เมืองไป๋หยุนเช่นกัน

พวกเขาต่างก็มาตามหาคนของตนเอง

หลังจากนั้น เหล่าลูกศิษย์ของสำนักมหากระบี่ก็นำผู้คนมาตามหากลุ่มผู้อาวุโสของตนเองเป็นกลุ่มที่สาม

“ผู้อาวุโสของสำนักเราอยู่ที่ใด?”

ยอดมือกระบี่จากสำนักมหากระบี่เดินสอบถามผู้คนตามท้องถนน

บัดนั้นเอง บรรดามือกระบี่ที่พำนักอยู่ในตัวเมืองก็รับรู้แล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

ปรากฏว่าตัวแทนจากหุบเขาผีเสื้อพิษ ตัวแทนจากสำนักมหากระบี่ และตัวแทนจากสำนักกระบี่หางขาวผกผันซึ่งเป็นสามกลุ่มคนที่ตกรอบจากการประลอง ยกเว้นแต่ผู้ที่เสียชีวิตบนสังเวียน สมาชิกของพวกเขาทุกคนที่เดินทางออกจากเมืองไป๋หยุนกลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

คนเป็นไม่พบตัว คนตายไม่พบศพ

เมืองไป๋หยุนที่ถูกปกคลุมด้วยม่านรัตติกาลจึงเกิดความปั่นป่วนครั้งใหญ่

หรือว่ากลุ่มมือสังหารที่เคยลอบฆ่าเผ่ามนุษย์ปักษากับสำนักอื่น ๆ เหล่านั้นจะกลับมาอาละวาดอีกครั้ง?

แต่สตรีปริศนาจากคณะทูตของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางยืนกรานว่ามือสังหารเหล่านั้นได้ฆ่าตัวตายไปหมดสิ้นแล้วไม่ใช่หรือ?

แล้วเหตุใดพวกมันถึงกลับมาลงมือได้อีก?

ผู้คนจำนวนมากจึงเริ่มทำการสืบสวนอีกครั้ง

และระหว่างสืบสวน พวกเขาก็ได้ค้นพบข้อมูลที่น่าตกตะลึง

ปรากฏว่าบรรดายอดมือกระบี่ที่เดินทางมาเพื่อรับชมความบันเทิงของงานประลองและได้เดินทางกลับไปก่อนด้วยความหวาดกลัวนั้น เดิมทีผู้คนเคยเข้าใจว่าคนกลุ่มนี้สามารถเดินทางออกจากเมืองไป๋หยุนไปได้อย่างปลอดภัย แต่แท้ที่จริงแล้ว พวกเขาก็หายสาบสูญไปหมดสิ้นเช่นกัน

เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน ยิ่งมีผู้คนมาปรากฏตัวในเมืองไป๋หยุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

“ข้าได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่ จึงรีบเดินทางมาที่เมืองไป๋หยุนโดยทันที”

“พวกเราเป็นผู้อาวุโสจากสำนักสามกระบี่ทะลวงฟ้ากับผู้อาวุโสจากสำนักกระบี่ฟ้าคำรน ต่างได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือจากศิษย์ของตนเองเช่นกัน พวกเขาต่างก็ร้องเรียนว่าพบเจอปัญหาในเมืองไป๋หยุน… ไม่ทราบว่ามีสหายท่านใดพบเห็นพวกเขาบ้างหรือไม่?”

“ข้าพเจ้ามีนามว่ากัวอวิ๋นเกอ เป็นอาจารย์สอนวิชากระบี่อยู่ในจักรวรรดิต้าเกี๋ยน ได้รับจดหมายขอความช่วยเหลือจากลูกศิษย์ของตนเอง จึงรีบเดินทางมาที่นี่… พวกเขามาร่วมรับชมการประลอง ไม่ทราบมีผู้ใดพบเห็นบ้าง?”

ในหอเจ็ดดาราขณะนี้ มีผู้คนจากสำนักต่าง ๆ มารวมตัวกันอยู่มากมาย

พวกเขามาถึงเมืองไป๋หยุนแทบจะในเวลาเดียวกัน

และสาเหตุที่พวกเขาเดินทางมาเมืองแห่งนี้ก็ยังเหมือนกันอีกด้วย เนื่องจากว่าลูกศิษย์ของทุกคนที่เดินทางมารับชมงานประลองกระบี่นั้น ได้ส่งจดหมายขอความช่วยเหลือให้อาจารย์ของตนเองรีบเดินทางมาที่นี่เป็นการเร่งด่วน

เมื่อได้สอบถามรายละเอียดจากกันและกัน หัวใจของผู้อาวุโสจำนวนมากก็กระตุกวูบ

แปลกประหลาดมากเกินไป

ประการแรก ผู้คนในเมืองไป๋หยุนล้วนบอกว่า บรรดาลูกศิษย์ที่พวกเขามาตามหานั้นได้เดินทางออกไปจากเมืองนี้นานแล้ว

ประการที่สอง ทุกคนล้วนมาจากต่างที่ต่างทางทั่วแผ่นดินตงเต้า แต่กลับมาถึงเมืองไป๋หยุนแทบจะในเวลาเดียวกัน นี่หมายความว่าอย่างไร?

จดหมายขอความช่วยเหลือเหล่านั้นถูกส่งออกไปหาพวกเขาพร้อมกันใช่หรือไม่?

ชัดเจนแล้วว่าจดหมายพวกนั้นเป็นของปลอม

และนั่นก็นำมาสู่คำถามใหม่อีกครั้ง

ผู้ใดส่งจดหมายปลอม? แล้วทำไมถึงต้องให้กลุ่มผู้อาวุโสจากดินแดนต่าง ๆ เหล่านี้มาถึงเมืองไป๋หยุนพร้อมกันด้วย?

เกิดข่าวลือแพร่สะพัดเป็นจำนวนมาก

ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินกำลังนั่งอยู่บนหลังของเจ้าเสือมีปีกอยู่ในสำนักกระบี่อมตะ พร้อมกับอ่านจดหมายที่อาจารย์ติงทิ้งเอาไว้ให้ ในจดหมายนั้นมีข้อความสั้น ๆ เพียงประโยคเดียวว่า…

‘รีบมาพบข้าที่สุสานกระบี่ อย่าให้ผู้ใดรู้โดยเด็ดขาด’

หืม?

หรือว่าที่อาจารย์ติงนิ่งเงียบมาหลายวันก็เพราะกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง และบัดนี้ ก็ได้เวลาที่พวกเขาจะลงมือแล้ว?

หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ

หรือว่าอาจารย์ของเขาคิดแย่งชิงบัลลังก์ท่านเจ้าเมืองกับฉู่อวิ๋นซุน?

ในที่สุด อาจารย์ติงก็เริ่มมีความทะเยอทะยานขึ้นมาบ้างแล้วหรือ?

หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น

เขารีบไปที่ลานฝึกวิชาด้านหน้าตึก กำชับให้อากวงและเซียวปิงคอยดูแลทุกคนให้ออกกำลังกายอย่างเข้มงวด หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินกลับไปที่ห้องนอนของตนเองและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดพรางตัวยามราตรี

เขาย่อมออกจากสำนักกระบี่อมตะได้โดยไม่มีผู้ใดพบเห็น

หลินเป่ยเฉินมุ่งหน้าไปที่สุสานกระบี่

เนื่องจากในจดหมายอาจารย์ติงกำชับให้เขาไปที่สุสานกระบี่โดยไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่ได้เดินทางด้วยการใช้กระบี่บิน แต่เขาเลือกที่จะเดินทางด้วยการใช้สองเท้าแทน

ท้องถนนยามราตรีของเมืองไป๋หยุนมีเพียงความว่างเปล่าและความโดดเดี่ยว

หลินเป่ยเฉินพยายามหลีกเลี่ยงถนนสายหลัก

เขาอยากรู้นักว่าติงซานฉือกำลังตั้งใจจะทำสิ่งใดกันแน่

ทันใดนั้น สัญชาตญาณของเด็กหนุ่มพลันร้องเตือนว่ามีอันตรายกำลังคุกคามเข้ามา

โดยปราศจากสัญญาณเตือน เงาของชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดมิดเบื้องหน้าก็พุ่งออกมายืนขวางทางหลินเป่ยเฉิน

“นี่ก็ดึกมากแล้ว”

เสียงพูดที่แปลกประหลาดคล้ายเสียงโลหะเสียดสีกันดังออกมาจากหัวหน้ากลุ่มฝ่ายตรงข้าม “จงลงนรกไปเถอะ”

แล้วพวกมันก็เริ่มโจมตี

ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้สามารถเคลื่อนไหวในความมืดได้อย่างคล่องแคล่ว ร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร กระบี่ในมือของพวกมันล้วนพุ่งตรงไปที่กลางหว่างคิ้วของหลินเป่ยเฉินอย่างหมายมั่นที่จะทำให้เขามอดม้วยในกระบวนท่าเดียว

และในเวลาเดียวกันนี้ ได้ปรากฏเงาร่างของชายฉกรรจ์ชุดดำอีกหลายคนโอบล้อมเข้ามาจากทางด้านหลังของหลินเป่ยเฉิน พวกมันไม่ต่างจากงูพิษราตรีที่พร้อมโจมตีเหยื่อได้ทุกเมื่อ กระบี่ถูกชักออกมาโจมตีใส่หลินเป่ยเฉินทั้งซ้ายและขวา ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง กระบี่ทุกเล่มต่างก็เล็งมาที่จุดตายบนร่างกายเขาทั้งสิ้น

ในค่ำคืนอันมืดมิด นี่คือแผนลอบสังหารที่ถูกจัดวางมาเป็นอย่างดี

มือสังหารเหล่านี้มีพลังอยู่ในขั้นเซียนทั้งหมด!!