ในที่สุดอวี้ปิงชิงที่ถูกกู้ไป๋อีทำให้หวาดกลัวเสียจนตัวอ่อนก็โล่งอกออกไปได้เปลาะหนึ่ง นางล้มลงไปกองบนพื้นอย่างปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว
มู่เฉียนซีกล่าว “พวกเราเก็บเจ้าพวกนี้เอาไว้เป็นตัวประกันก่อน ถึงแม้คาดว่าจะไม่มีประโยชน์ใดก็ตาม แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย”
ผู้อาวุโสสูงสุดนั้นหนีตายไปก็เกรงว่าคงจะไม่เข้ามาติดข่ายเองเป็นแน่ คาดว่าในสายตาเขาทั้งลูกศิษย์และหลานสาวคงเป็นแค่เพียงหมากตัวหนึ่งก็เท่านั้น
เซียวเหยากล่าว “ขอรับ”
ในตอนนี้เอง เสียงอันอ่อนโรยเสียงหนึ่งก็ได้ดังลอยมา “นายท่าน นายท่าน…”
หม้อยาสีชมพูหม้อหนึ่งได้ลอยเข้ามา เจ้าหมอนี่ยังไม่ปรากฏตัวก็ดีอยู่แล้ว แต่ทันทีที่มันปรากฏตัวมาละก็ มู่เฉียนซีก็จะเกรี้ยวโกรธจนไฟพิโรธปะทุขึ้น
“เจ้ายังกล้าที่จะมาปรากฏตัวต่อหน้าข้า?”
“เจ้านาย เจ้าเป็นนายของข้า ข้ากลัวยิ่งนัก”
เสียงอันอ่อนโยนนี้อ่อนเสียยิ่งกว่าเสียงของสตรีผู้ทรงเสน่ห์หาเสียอีก
เมื่อเห็นผู้เป็นนายเข้าแล้ว นี่คือผู้เป็นนายของนายของมัน แน่นอนว่าก็ต้องเป็นนายของมันด้วย
สรุปแล้วมันทำอะไรผิดไปกันแน่ผู้เป็นนายถึงได้ดุดันกับมันเช่นนั้น
มู่เฉียนซีกล่าว “มังกรเพลิง เผาเจ้าหมอนี่เสีย”
มังกรเพลิงพุ่งออกไป การเผานิรันดร์นั้นมีความกดดันแก่มันอยู่เป็นอย่างมาก แต่การเผาเจ้าหมอนี่นั้นมังกรเพลิงไม่รู้สึกติดค้างในใจเลยแม้แต่น้อย
“อ๊าก”
“ร้อนนัก”
“อย่าทำเช่นนี้”
“ข้าเจ็บ”
เสียงนี้เข้าหูไปมันช่างทำให้คนทนฟังไม่ได้จริง ๆ
มู่เฉียนซีเตรียมนำเคียวคร่าชีวิตออกมา นางกล่าว “จิ่วเยี่ยช่วยสั่งสอนให้บทเรียนแก่หม้อยาบ้านี่เสียหน่อย”
ถ้าหากมิใช่ว่าเพราะหม้อหยินหยางสองขั้วก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น นางก็คงจะไม่ต้องเดินมาถึงจุดที่อันตรายเช่นนี้
เงาร่างเงาหนึ่งขยับพลัน หม้อหยินหยางสองขั้วก็ไม่กล้าที่จะร้องอีกต่อไป
พลังอันน่าพรั่นพรึงพลังหนึ่งได้โอบรัดทั้งตัวของมันไว้ มันอยากจะร้องแต่ก็ร้องไม่ออก และตอนนี้มันก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นที่สุด
มันเป็นถึงมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพที่นายท่านนิรันดร์สร้างขึ้นมาเชียว แต่ในชั่วขณะนี้มันกลับรู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่หายใจไม่ออก ราวกับว่าสามารถหายไปจากฟ้าดินได้ทุกชั่วขณะก็มิปาน
น่าหวาดกลัว บุรุษผู้นี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว
มันรู้สึกทรมานและสั่นระริกอย่างไร้เรี่ยวแรง พลังอันน่าพรั่นพรึงนั้นทรมานมันเสียจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
ในที่สุดก็นับได้ว่าเงียบสงบลงไปเสียที
มู่เฉียนซีกล่าว “เซียวเหยา เจ้ายังมีเรื่องอะไรที่ต้องจัดการอีกหรือไม่ หากไม่มีละก็จงเตรียมตัวที่จะออกเดินทางเถอะ”
เซียวเหยากล่าว “ข้าเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว พวกเราสามารถออกเดินทางได้ทุกเมื่อ”
มู่เฉียนซีกล่าว “เช่นนั้นก็ออกเดินทางตอนนี้เลย”
นางรอไม่ไหวคิดอยากที่จะหาตัวเจ้าเฒ่านั่นให้พบเสียแล้ว หากมิหาตัวเจ้าเฒ่านั่นให้พบ ไฉนเลยนางจะสามารถสบายใจอย่างแท้จริงได้ ในตอนนี้เอง บุคคลหนึ่งที่สาดลำแสงแห่งความสุขสะอาดก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของมู่เฉียนซี
จิ่วเยี่ยพุ่งผ่านเข้ามาพลันและกอดมู่เฉียนซีเอาไว้ในอกเพื่อป้องกันนางจากคนตรงหน้าผู้นี้
ทั้งตัวเขานั้นห่มคลุมไปด้วยชุดผ้าสีเหลืองอ่อน ที่ตัวเขานั้นสาดส่องประกายแห่งพระพุทธออกมา มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับพลังแห่งความมืด
มู่เฉียนซีเอ่ยขึ้น “โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอิน ครั้งนี้ดีที่ได้เจ้าออกโรงช่วยเหลือเอาไว้ เมื่อครั้งก่อนหน้าสิ่งของที่ข้าหลอกลวงเจ้า ซ้ำยังล่วงเกินเจ้าเอาไว้มาก ข้าจะคืนให้”
มู่เฉียนซีได้นำสิ่งของที่หลอกลวงอินรั่วเฉินเมื่อคราไปเดินถนนเมื่อครั้งก่อนส่งมอบออกมา
อินรั่วเฉินกล่าว “สิ่งของเหล่านี้เป็นเพียงแค่ของนอกกาย การสบโอกาสเข้าช่วยเหลือนั้นเป็นสิ่งที่อาตมาควรจะทำ วันนี้อาตมามาบอกลา อาตมาควรที่จะกลับไปแล้ว”
“เจ้าจะกลับแคว้นฟ้านอินแล้ว?”
“ใช่แล้ว” อินรั่วเฉินกล่าวตอบอย่างราบเรียบ
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เจ้ารู้สถานะตัวตนของข้าตั้งแต่แรกแล้ว?”
“ใช่”
“เช่นนั้นแล้วเจ้ามีเป้าหมายอะไรที่อยากจะได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์รึไม่?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม
อินรั่วเฉินส่ายหัวกล่าว “กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไม่ใช่อะไรที่อาตมาจะสามารถบังคับควบคุมให้อยู่ได้ ก่อนที่จะจากไปอาตมาอยากจะบอกเรื่องหนึ่งแก่แม่นางมู่ สิ่งที่เจ้าต้องการก็คือสิ่งที่อาตมาต้องการ เราจะไม่เป็นศัตรูกับเจ้า”
สายตาของอินรั่วเฉินนั้นใสสะอาดอีกทั้งจริงใจ มู่เฉียนซีอ่านพระผู้นี้ไม่ออกจริง ๆ แต่ก็นับได้ว่าเขามีบุญคุณต่อนาง
มู่เฉียนซีได้รื้อยาเม็ดในคลังออกมาอยู่ไม่น้อยแล้วกล่าวขึ้น “ของเหล่านี้เป็นสิ่งที่ข้าทำขึ้น ถึงแม้ว่าด้วยสถานะตัวตนอันสูงส่งของเจ้าจะไม่ขาดแคลนสิ่งของเหล่านี้ แต่ของของข้านั้นไม่เลวเลย หากไม่รังเกียจละก็จงรับไว้เถิด”
ที่มู่เฉียนซีนำออกมาจากคลังนั้นมีอยู่มิน้อย แน่นอนว่าอินรั่วเฉินก็รู้ว่าน้ำยาและยาเม็ดเหล่านี้นั้นไม่เหมือนกับโอสถธรรมดาทั่วไป
ความตั้งใจนี้เขาได้รับเอาไว้แล้ว
เซียวเหยาอดไม่ได้ที่จะกล่าวแทรกขึ้นมา หัวหน้าตระกูลผู้นี้ใจกว้างมือเติบยิ่งนัก ต้องรู้เอาไว้ว่ายาเม็ดจำนวนมากมายเช่นนั้นมีราคาเท่ากับเมืองทั้งเมือง
อินรั่วเฉินรับยาเม็ดเหล่านั้นเอาไว้จากนั้นก็กล่าว “อาตมาขอลา”
อินรั่วเฉินจากไปอย่างรวดเร็ว จิ่วเยี่ยกอดมู่เฉียนซีเอาไว้แน่น “จากนี้ไปซีอยู่ให้ห่างหน่อย”
มู่เฉียนซีตะลึงค้าง “จิ่วเยี่ย เจ้ามองออกหรือว่าอินรั่วเฉินมีปัญหาอะไร?”
โอรสศักดิ์สิทธิ์ฟ้านอินผู้นี้นั้นใสสะอาด สูงส่งและมีเมตตา ดูเหมือนว่าจะเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมอันดีงามทั้งหมดของโลกนี้
หากมิใช่เพราะการแย่งชิงวิญญาณกระบี่เมื่อครั้งก่อนหน้าที่เกิดการเผชิญหน้ากัน นางก็ยังจะคิดว่าเขาเป็นคนดีผู้หนึ่ง
จิ่วเยี่ยส่ายหน้าแล้วกล่าว “ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ว่าข้าเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง ซีเชื่อหรือไม่?”
จิ่วเยี่ยนั้นเป็นยอดฝีมือที่ลึกซึ้งอย่างมิอาจหยั่งได้ถึง พลังความสามารถก็แข็งแกร่งเสียจนวิปริต ในเมื่อเขากล่าวเช่นนี้ก็แน่นอนว่าคงไม่ไร้เหตุผล
มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าเชื่อว่าเจ้าหมอนั่นกลับไปแคว้นฟ้านอินที่อยู่ห่างไกลออกไปนั้น คาดว่าคงมิได้มีโอกาสพบหน้ากันอีก”
ในตอนนี้เองกู้ไป๋อีก็เอ่ยขึ้น “ซีเอ๋อร์ ข้าต้องกลับไปคุมสถานการณ์ที่ตำหนักเป่ยหานก่อน และข้าจะส่งยอดฝีมือให้ออกตามหาล่าจับผู้อาวุโสสูงสุดทั่วทั้งแดนตะวันออก”
สถานการณ์ในตอนนี้เขาไม่สามารถที่จะอยู่ข้างกายนางต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าหวงจิ่วเยี่ยใกล้ชิดกับนาง
จะต้องทำเรื่องอะไรเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจเสียหน่อย
มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นก็ดี เสี่ยวไป๋เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย”
“อืม”
กู้ไป๋อีไปแล้ว เขาใช้ความเร็วอย่างรวดเร็วที่สุดหายไปจากตรงหน้ามู่เฉียนซี
อินรั่วเฉินกับกู้ไป๋อีจากไปแล้ว มู่เฉียนซีเรียกให้เซียวเหยามามัดตัวประกันทั้งห้าเอาไว้แล้วกล่าว “พวกเราไปกันเถอะ”
พวกเขาได้ออกจากเหวพิษของตระกูลเซียว และแทบจะไม่มีผู้ใดสนใจหม้อหยินหยางสองขั้วเลยแม้แต่น้อย
“รอด้วย รอด้วย” มันที่เจ็บปวดอย่างที่สุดก็ได้เริ่มกัดฟันและตามไป
หลังออกจากเหวพิษตระกูลเซียวแล้วก็ได้ออกจากป่าแห่งความตาย มู่เฉียนซีก็พบว่าที่ด้านหน้านั้นยังมีคนอยู่อีกไม่น้อย
ที่แท้ก็เป็นสำนักใหญ่ต่าง ๆ ที่ยังไม่ยอมลามือนี่เอง ดังนั้นจึงได้ดักรออยู่ที่ด้านนอกป่าแห่งความตายไม่ไปไหนเช่นนี้
รออยู่หลายวันพวกเขาก็ยังไม่ออกมา คนของสำนักใหญ่เหล่านี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าต้องเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับพวกผู้อาวุโสสูงสุดเป็นแน่ นี่เป็นโอกาสอันดีอย่างแน่นอน
ในที่สุดก็ได้เห็นว่ามีคนออกมาแล้ว ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้านั้นเป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่พวกเขาไม่รู้จัก แต่ทว่านายน้อยเซียวนั้นพวกเขาก็ยังรู้จักอยู่
ที่ด้านหลังนายน้อยเซียวนั้นกลับลากตัวสี่ชายหนึ่งหญิง หญิงสาวผู้นั้นทั้งใบหน้าเปลี่ยนไปเป็นดั่งผีร้ายก็มิปาน พวกเขาไม่สามารถจำได้
แต่คนหนุ่มทั้งสี่เหล่านั้นที่สีหน้าดูหดหู่มิใช่ว่าเป็นสี่นายน้อยจากทั้งเจ็ดแห่งตำหนักเป่ยหานหรือ?
รึว่านายน้อยเซียวใช้แผนการเล่ห์เหลี่ยมอะไรทำให้คนของตำหนักเป่ยหานตายไปทั้งหมด และยังจับเชลยได้มากมายเช่นนี้อีก
พวกฝีมือยอดเยี่ยมของตำหนักเป่ยหานรับมือกับพวกเขาไม่ได้ แต่กับเซียวเหยาเพียงผู้เดียวนี้พวกเขาร่วมมือกันก็คงสามารถที่จะรับมือได้ เช่นนั้นแล้วคนเหล่านี้จึงได้กระโดดออกมา และได้ล้อมมู่เฉียนซีกับเซียวเหยาเอาไว้
ผู้ชราหนึ่งในนั้นยิ้มแล้วกล่าว “ฮ่า ๆ ๆ นายน้อยเซียว ช่างบังเอิญเสียจริงพวกเราเจอกันอีกแล้ว คาดว่านายน้อยเซียวคงได้มาอยู่ไม่น้อยกระมัง”
เซียวเหยายิ้มเยาะพลางกล่าว “ได้มาไม่น้อยอยู่ พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”
“เกรงว่านายน้อยเซียวก็คงคาดไม่ถึงว่าพวกเราจะทำดั่งเช่นสำนวนที่ว่าตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นรอโฉบอยู่ด้านหลังกระมัง ส่งสมบัติมีค่าที่ได้มาออกมาให้หมด แล้วพวกเราจะไว้ชีวิตเจ้า”
ในตอนนี้เอง ดวงตาของอวี้ปิงชิงได้สาดประกายอันตรายที่ร้ายกาจออกมา หัวหน้าตำหนักจากไปแล้ว ฝ่ายตรงข้ามก็มีคนจำนวนมาก ในตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีโอกาสหนึ่ง
นางเอ่ยปากกล่าวขึ้น “ทุกท่าน ข้าคือธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักเป่ยหาน อวี้ปิงชิง หม้อเทพนั้นอยู่ในมือของพวกเขา”
.