อวี้ปิงชิงรู้ดีว่าหากตกไปอยู่ในกำมือของพวกเขาแล้ว นางต้องแย่แน่ มิสู้ให้คนเหล่านี้ฆ่าพวกเขาซะยังดีกว่า

“มหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์อยู่ในกำมือของพวกเขา” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของคนเหล่านั้นก็เปล่งประกายขึ้น

แต่ละคนเตรียมพร้อมที่จะโจมตีแล้ว!

แสงเย็นวาบผ่านแววตาของเซียวเหยา เซียวเหยาเอายาพิษเม็ดหนึ่งออกมาและยัดเข้าปากนาง

“เจ้าอย่าคิดที่จะอ้าปากพูดอีกต่อไปเลย”

“ฮือ ๆ ๆ!” ครั้นแล้ว อวี้ปิงชิงก็พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

เดิมทีนายน้อยใหญ่และพวกก็คิดที่จะยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งเช่นกัน แต่เมื่อเห็นความน่าเวทนานี้ของอวี้ปิงชิงแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าเปล่งเสียงกล่าวสิ่งใดออกมาเลย

มู่เฉียนซีจะรีบกลับไปจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่มีเวลามาสนใจพวกหมาแมวเหล่านี้

และแน่นอนว่าจิ่วเยี่ยก็ดูออกว่ามู่เฉียนซีกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ดวงตาสีฟ้าอันเย็นยะเยือกเหลือบมองไปที่พวกคนเหล่านั้นพลางกล่าวออกมาเสียงดังลั่น “ไสหัวไปให้พ้น!”

คำพูดเพียงแค่คำเดียวนี้ก็ทำให้หัวใจของพวกเขาแทบจะหยุดเต้นได้

พวกเขาร่นตัวถอยหลังไปหลายสิบก้าวด้วยความกลัว แต่ความละโมบโลภมากภายในใจนั้นกลับทำให้พวกเขาไม่อยากยอมแพ้ไปง่าย ๆ

นั่นมันมหาวัตถุศักดิ์สิทธิ์เทพเชียวนะ!

“ทุกคนไม่ต้องกลัว เจ้าหนุ่มนี่ยังเด็ก มันจะเก่งกาจสักเพียงใดกัน มันก็แค่จงใจเขียนเสือให้วัวกลัวก็เท่านั้น!”

“นั่นน่ะสิ! พวกเราร่วมมือกัน ไม่ต้องกลัวหรอก”

“……”

หลังจากที่พวกเขารวบรวมความกล้าให้ตัวเองแล้ว พวกเขาก็ลงมือทันที

เซียวเหยากล่าว “นายท่าน ข้าจัดการเอง!”

ทว่า ความเร็วของจิ่วเยี่ยนั้นเร็วกว่ามาก พลังอันแข็งแกร่งอย่างไม่สามารถจินตนาการได้ได้ซ่านออกมา

พลังดำมืด สามารถทำลายล้างได้ทุกสรรพสิ่ง!

อ๊า!

เสียงร้องโหยหวนอันน่าสังเวชดังออกมา พวกเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ทำได้เพียงแค่มองดูร่างของตัวเองค่อย ๆ กลายเป็นโครงกระดูกขาวไปเท่านั้น

นี่มันนรกชัด ๆ!

อวี้ปิงชิงเบิกตากว้างจ้องมองฉากนี้ด้วยความตกใจ เดิมทีคิดว่าหลังจากที่ท่านหัวหน้าตำหนักจากไปแล้ว ในกลุ่มของพวกเขาจะไม่มียอดฝีมือแล้ว และจะต้องถูกคนเหล่านี้กำจัดได้แน่นอน

กลับนึกไม่ถึงเลยว่าชายชุดดำผู้ลึกลับผู้นี้จะน่ากลัวถึงเพียงนี้

ชั่วพริบตาเดียวก็สามารถทำให้คนกลายเป็นโครงกระดูกขาวได้ อวี้ปิงชิงหวาดกลัวจนตัวสั่น นางตกใจจนเป็นลมหมดสติไป

ผัวะ! เซียวเหยายกขาเหยียบร่างของนาง “คิดจะเป็นลมตอนนี้เหรอ ฝันไปเถอะ!”

กระดูกข้อมือถูกเหยียบจนเจ็บอย่างรุนแรงทำให้อวี้ปิงชิงต้องฟื้นขึ้นมา นางกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ข้ายังไม่อยากตาย! ข้าไม่อยากตาย!”

ทางตรงหน้าถูกจิ่วเยี่ยกำจัดจนสิ้นแล้ว

เหล่าบรรดายอดฝีมือของสำนักต่าง ๆ มัวแต่จ้องเหยื่อข้างหน้าโดยไม่รู้ว่ามีภัยอยู่ด้านหลัง ภายในชั่วพริบตาเดียวพวกเขาก็ตายไปโดยไม่รู้ตัว

จิ่วเยี่ยจูงมู่เฉียนซีและกล่าวว่า “ซี ไปกันเถอะ!”

“อืม!”

เมื่อมู่เฉียนซีมาถึงเมืองเป่ยหาน ในเมืองเป่ยหานก็มีข่าวลือที่น่าตกใจข่าวหนึ่ง ผู้อาวุโสสูงสุดทรยศหักหลัง ลอบทำร้ายท่านหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน หลบหนีออกนอกเมืองไป ให้กองกำลังพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินทั้งแดนเหนือตามจับตัวผู้อาวุโสสูงสุดมาให้ได้

มีคำสั่งออกมาจากท่านหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน ไม่ว่าต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ต้องจับตัวผู้อาวุโสสูงสุดมาให้ได้

ในตำหนักเป่ยหาน ผู้อาวุโสสูงสุดมีคนสนิทและคนที่ไว้ใจไม่น้อย

พวกเขาคิดจะไปถามหาความจริงกับท่านหัวหน้าตำหนัก ผู้อาวุโสสูงสุดจะทรยศหักหลังได้อย่างไรกัน

แต่พวกเขากลับไม่ได้รับคำอธิบายใด ๆ พวกเขาไม่ได้ถูกท่านหัวหน้าตำหนักฆ่า แต่ถูกซ้อมจนได้รับบาดเจ็บสาหัสและถูกนำตัวไปขังไว้

พวกเขาพบว่าตอนนี้ท่านหัวหน้าตำหนักอารมณ์ไม่ดีอย่างมาก และรู้สึกว่าจะต้องไปในทิศทางที่เป็นทรราชแน่นอน คนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาต้องเชื่อฟังและทำตามเท่านั้น

มู่เฉียนซีไม่ได้เลือกที่จะไปตำหนักเป่ยหานก่อน แต่นางเลือกที่จะกลับไปที่หอหมอปีศาจ

นางแนะนำเซียวเหยาให้เยวี่ยเจ๋อรู้จัก นางกล่าว “ต่อไปเขาจะเป็นสหายร่วมงานกับเจ้า”

เซียวเหยามองเยวี่ยเจ๋ออย่างพิจารณา ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของเจ้านี่จะหล่อเหลา แต่หากเทียบกับความสวยงามแล้วเจ้านี่ไม่อาจสู้เขาได้เลย หากใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อให้ได้รับความโปรดปราน เจ้านี่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน

เซียวเหยายิ้มอย่างมีเสน่ห์พลางกล่าวว่า “เสี่ยวเจ๋อเจ๋อ ต่อไปโปรดช่วยชี้แนะด้วย”

เยวี่ยเจ๋ออดที่จะสะดุ้งตกใจไม่ได้ รีบอยู่ห่าง ๆ เขา

มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้าพาอวี้ปิงชิงไปขังไว้ในคุกนักโทษต้องประหารของหอหมอปีศาจเดี๋ยวนี้เลย”

ถูกขังในคุกนักโทษต้องประหารของหอหมอปีศาจ หากไม่ตายก็อาจรอดออกมาได้หากว่ายอมปริปากพูดออกมา

เยวี่ยเจ๋อกล่าว “ขอรับ!”

“กระจายคำสั่งออกไป ระดมกองกำลังทั้งหมดให้ตามหาตัวผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตำหนักเป่ยหานในแดนตะวันออก แดนเหนือ และแดนใต้ให้ทั่ว ต่อให้ต้องพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินตามหาทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศก็ต้องเอาตัวเขามาให้ได้”

“ขอรับ!”

หลังจากสั่งการเรื่องต่าง ๆ เสร็จสิ้น มู่เฉียนซีก็ไปหาเฟิงอวิ๋นซิว

และหลังจากที่ตรวจดูร่างกายของเขาเสร็จ มู่เฉียนซีก็กล่าวว่า “อาการของเจ้าหายดีแล้ว เจ้ากลับได้แล้ว”

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าจากตำหนักตงจี๋มานานมากแล้ว”

มู่เฉียนซีกล่าว “อวิ๋นซิว ข้าอยากจะให้เจ้าช่วยอะไรข้าสักอย่าง”

“ได้สิ!”

“หลังจากที่เจ้ากลับไปยังตำหนักตงจี๋ ข้าอยากให้เจ้าช่วยข้าตามหาตัวผู้อาวุโสสูงสุดแห่งตำหนักเป่ยหานให้ข้า หากเจ้าตกลง ขอให้เจ้าพยายามทำทุกอย่างอย่างเต็มที่! คำขอของข้ามันมากเกินไปข้ารู้ดี แต่หอหมอปีศาจของข้าจะตอบแทนโดยการมอบยาลูกกลอนให้เจ้าฟรีเป็นเวลาสามปี”

เงื่อนไขนี้เป็นเงื่อนไขที่พิเศษที่สุด

ต้องรู้เอาไว้เลยว่ายาลูกกลอนของหอหมอปีศาจมีคุณภาพยอดเยี่ยมกว่ายาลูกกลอนของนักปรุงยาอื่น ๆ มากมายหลายเท่านัก

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ก็แค่ตามหาคนคนเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมายเลย! ส่วนเรื่องให้ยาลูกกลอนฟรีเป็นเวลาสามปี เจ้าเสียเปรียบมากเกินไปแล้ว ต่อไปหากข้ามาซื้อยาลูกกลอนที่หอหมอปีศาจ เฉียนซีก็แค่ลดราคาให้ข้าสักหน่อยก็พอแล้ว”

เฟิงอวิ๋นซิวรู้ดีว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว และเรื่องที่กู้ไป๋อีระดมกองกำลังของตำหนักเป่ยหานเพื่อตามหาคนผู้นั้น เขาก็รับรู้แล้ว

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “แต่คนของตำหนักตงจี๋ ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อฟังข้า กองกำลังที่ข้าระดมได้อาจจะมีจำกัด”

“คนที่นายน้อยอวิ๋นซิวสามารถระดมได้ก็มีไม่น้อย เจ้าอย่าได้ถ่อมตนไปหน่อยเลย”

เฟิงอวิ๋นซิวก็รับรู้ได้ว่าการตามหาตัวผู้อาวุโสสูงสุดนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับนาง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้อยู่เอ้อระเหยในแดนเหนือต่อ จึงได้กล่าวลามู่เฉียนซี

เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “ข้าจะไปตำหนักเป่ยหานบอกลาเฉียนเยี่ยสักคำและค่อยเดินทาง”

มู่เฉียนซีไม่อยากให้เขาไปเสียเวลาเปล่า นางจึงกล่าวว่า “หลังจากกลับมา เขาก็เก็บตัวบำเพ็ญไปแล้ว เกรงว่าเจ้าไปก็ไม่ได้เจอเขา”

เฟิงอวิ๋นซิวรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย เขากล่าว “งั้นก็รอเจอในโอกาสหน้าก็ได้!”

หลังจากที่เฟิงอวิ๋นซิวกลับไป ก็ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสสูงสุดได้กลายเป็นนักโทษหมายเลขหนึ่งแห่งดินแดนสี่ทิศไปแล้ว

ทว่า เจ้าหมอนี่ซ่อนตัวได้อย่างลึกลับมาก นึกไม่ถึงเลยว่าจะไร้ซึ่งข่าวคราวใด ๆ ของเขา

สีหน้าของมู่เฉียนซีเคร่งขรึมลง หากเจ้าเฒ่านั่นไปตายอยู่ที่ไหนสักแห่งต้องแย่แน่ และนางก็จะไม่มีวันหาดวงวิญญาณของเขาเจอ

หลายวันที่ผ่านมานี้มู่เฉียนซีมัวแต่ตามข่าวรอบด้านอย่างบ้าคลั่งจนจิ่วเยี่ยทนดูต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ เขาจึงอุ้มนางขึ้น

เขากระซิบข้างหูมู่เฉียนซีเบา ๆ “ข้าจะกลับแล้ว ซีไม่อยากใช้เวลาอยู่กับข้าสักหน่อยเหรอ?”

มู่เฉียนซีตกใจขึ้นเล็กน้อย “เจ้าจะกลับแล้วเหรอ?”

“จื่อโยวส่งข่าวมาว่าได้ข่าวของเผ่าหงส์แล้ว ข้าจะกลับไปดูสักหน่อย”

มู่เฉียนซียิ้มพลางกล่าวว่า “เยี่ยมไปเลย ในที่สุดก็ได้เบาะแสแล้ว”

หลายวันที่ผ่านมานี้นางเคร่งเครียดมาโดนตลอด ในที่สุดวันนี้ก็ได้เห็นรอยยิ้มของนางแล้ว จิ่วเยี่ยจูบริมฝีปากอันแดงระเรื่อนั้นของนาง

อือ!

มู่เฉียนซียังอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ถูกจิ่วเยี่ยขยี้จูบเสียก่อน

จิ่วเยี่ยพามู่เฉียนซีกลับเข้าไปในห้องของนาง และวางร่างของนางลงบนเตียง

มู่เฉียนซีจ้องมองดวงตาที่ขุ่นมัวคู่นั้นพลางกล่าวว่า “จะ เจ้า บอกว่าจะกลับแล้วไม่ใช่เหรอ ขะ ข้า ข้าจะให้สุ่ยจิงอิ๋งไปส่ง…”

จิ่วเยี่ยขยับเข้าใกล้มู่เฉียนซีพลางกล่าว “เมื่อไหร่ที่ซีอยากจะกินข้า ซีก็เรียกข้ามาได้ ตอนนี้ใช้ข้าเสร็จแล้วก็จะถีบหัวส่ง เจ้าคิดว่าข้าจะยอมง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ?”

มู่เฉียนซีตกใจผงะไปครู่หนึ่ง “ขะ ข้าเรียกเจ้ามาเหรอ?”

นางเรียกเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

.