ตอนที่ 1323 เปลี่ยนคู่หมั้น

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

กู้ไป๋อีจากไปอย่างรีบร้อน มู่เฉียนซีก็มิได้รออย่างสงบใจแต่กลับแอบตามเขาไปด้วย

น้อยนักที่จะได้เห็นสายตาเช่นนั้นของเสี่ยวไป๋ จะต้องเกิดสถานการณ์ที่ไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน

กู้ไป๋อีรีบร้อนไปยังวังใต้ดินของตำหนักเป่ยหาน แน่นอนว่าจึงมิได้สังเกตถึงมู่เฉียนซีที่คอยติดตามไปอย่างระมัดระวังตัว

โลกแห่งหิมะและน้ำแข็งใต้ดินผืนนี้เมื่อเทียบกับกลุ่มสิ่งปลูกสร้างอันตระหง่านของตำหนักเป่ยหานแล้ว โลกแห่งหิมะและน้ำแข็งแห่งนี้เหมาะที่จะถูกยกให้เป็นตำหนักเป่ยหานเสียมากกว่า

ทะเลสาบน้ำแข็งยังคงเงียบสงบเป็นที่สุดอย่างเช่นเคย ในตอนที่กู้ไป๋อีได้ไปถึงแล้วนั้น สำแสงสีขาวอันเย็นยะเยือกก็ได้ปรากฏขึ้น

บนพื้นผิวของทะเลสาบมีเงาร่างสีขาวเงาหนึ่ง ฝ่ายตรงข้ามยังมิทันได้เอ่ยปากกู้ไป๋อีก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือก “ผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ที่ไหน?”

“เป็นครั้งแรกที่เห็นเจ้าร้อนรนใจเช่นนี้นะหาน”

น้ำเสียงของฝ่ายตรงข้ามนั้นอ่อนโยนและสนิทสนม แต่ทว่าสัญชาตญาณของมู่เฉียนซีกลับรู้สึกว่าคนผู้นี้นั้นมิได้ธรรมดาง่ายดายดังที่รูปลักษณ์ภายนอกเป็น

ดวงตาของกู้ไป๋อีเปลี่ยนเป็นเย็นชาไปพลัน ราวกับว่าหากฝ่ายตรงข้ามไม่พูดกล่าวอะไรกระบี่ก็จะโบกสะบัดไปทางนั้นอย่างไร้ปราณี แม้ว่าจะไม่อาจทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้ก็ตาม

เป่ยกงจั๋วกล่าวขึ้น “เจ้าเฒ่านั่นเป็นของข้าแล้ว และยังบอกเรื่องบางเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมากแก่ข้าด้วย”

กู้ไป๋อีจ้องมองอย่างไม่ละสายตา เป่ยกงจั๋วได้กล่าวออกมาสามคำ “มู่เฉียนซี”

“นางไม่ใช่ผู้ที่เจ้าจะสามารถแตะต้องได้” กู้ไป๋อีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ผู้ที่หานให้ความสำคัญ แน่นอนว่าก็เป็นผู้ที่ข้าให้ความสำคัญด้วย ข้ารู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ที่ใด ให้ข้าได้พบนางเสียหน่อยแล้วข้าจะบอกเจ้าเป็นเช่นไร?” เป่ยกงจั๋วกล่าวถาม

“นั่นเป็นไปไม่ได้” กู้ไป๋อีกล่าวปฏิเสธทันที

“แม้แต่ให้มองดูเจ้าก็ยังยอมให้ไม่ได้เลยหาน เช่นนั้นข้าก็เสียดายเป็นอย่างยิ่งที่ไม่สามารถบอกเจ้าถึงที่ที่เจ้าเฒ่านั่นอยู่ได้เสียแล้ว”

“เจ้า” กระบี่เฉียนหานที่อยู่ในฝักนั้นกำลังสั่น เวิง ๆ มันกำลังจะออกจากฝัก

“ถ้าหากว่าหานอยากจะลงมือกับข้าก็สามารถไปที่ซวนเทียนได้ ข้าจะรอคอยราชรถของเจ้า” มุมปากของเป่ยกงจั๋วยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง ๆ

“อย่างไรเสียข้าก็คิดถึงเจ้านัก”

ทั้งตัวของกู้ไป๋อีนั้นเหมือนดั่งกระบี่อันพบได้ยากที่เพิ่งออกจากฝักก็มิปาน ราวกับว่าจะฟาดฟันทุกสิ่งรอบตัวให้ขาดสะบั้นไป

ปราณกระบี่ได้กรีดวาดเป็นรอยลึกขึ้นมาที่พื้นน้ำแข็ง มันกำลังลังเลและกำลังดิ้นรนต่อสู้

มู่เฉียนซีไม่อยากที่จะเห็นการพัวพันที่รู้สึกแย่เช่นนี้อีกต่อไปแล้ว คนผู้นั้นต้องการที่จะพบนางมิใช่หรือ

นางเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเขาจะมีเป้าหมายอะไรกันแน่

เสียงอันชัดเจนดังขึ้นในวังใต้ดินที่หนาวเหน็บอันไร้ซึ่งความอบอุ่นแม้แต่น้อย “องค์รัชทายาทเป่ยกงต้องการพบข้า ข้าให้ท่านพบก็ควรแล้ว”

เงาร่างสีขาวเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่ข้างกายกู้ไป๋อี สีหน้าของกู้ไป๋อีเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก “ซีเอ๋อร์”

มู่เฉียนซีมองไปยังเงาร่างที่ยืนอยู่ตรงตำแหน่งบนทะเลสาบน้ำแข็งนั้น มันชัดเจนอย่างที่สุด

ชุดผ้าคลุมยาวสีขาว ที่บนชุดนั้นใช้สีทองปักเป็นรูปลายมังกร เมื่อดูแล้วช่างสง่างามและมีเกียรติ

ใบหน้าที่สมบูรณ์แบบนั้นกลับทำให้มู่เฉียนซีคุ้นเคยเสียจนไม่อาจจะคุ้นเคยไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว

สีหน้าของมู่เฉียนซีสาดแววแห่งความประหลาดใจออกมา จากนั้นก็หันไปมองยังเสี่ยวไป๋ที่อยู่ข้างตัวนาง

เสี่ยวไป๋กับองค์รัชทายาทเป่ยกงนั้นถึงแม้ว่ารูปลักษณ์จะไม่นับว่าเหมือนกันสิบเต็มสิบส่วน แต่ก็คล้ายคลึงกันถึงเก้าส่วน

แต่ทว่าบุลลิกของทั้งสองนั้นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เสี่ยวไป๋เหมือนดอกบัวบนยอดเขาหิมะที่เย็นยะเยือกและโดดเดี่ยว ถึงแม้ว่าจะเย็นชาแต่ก็กลับมีความบริสุทธิ์อย่างมิอาจหาสิ่งใดเปรียบได้

ส่วนองค์รัชทายาทเป่ยกงผู้นี้ดูสูงส่งมีเกียรติ เหมือนดั่งแสงสุริยันที่มอบความรู้สึกอบอุ่นให้แก่ผู้คน แต่ในใจนั้นกลับมีจุดด่างดำและซับซ้อนซ่อนลึกอยู่อย่างมิอาจจะหยั่งถึงได้

แน่นอนว่าเป่ยกงจั๋วเองก็มองออกว่าที่เบื้องหน้าของตนนั้นเป็นสาวน้อยที่แต่งตัวปลอมเป็นชาย “นี่มิใช่รูปลักษณ์ที่แท้จริงของเจ้า ข้าอยากจะเห็นรูปลักษณ์อันสวยงามที่แท้จริงของเจ้า”

มุมปากของมู่เฉียนซียกขึ้นเล็กน้อย “ข้าว่าองค์รัชทายาทเป่ยกงมีความต้องการมากเกินไปแล้วกระมัง ท่านต้องการพบข้า ข้าก็มาพบท่าน ส่วนรูปลักษณ์ที่แท้จริงนั้นข้ามีหน้าตาที่สามารถพบปะผู้คนได้ก็แล้วกัน”

สาวน้อยตรงหน้าผู้นี้นั้นไม่เชื่อฟังอยู่ในกรอบ ถึงแม้ว่าจะรู้ถึงสถานะตัวตนของเขา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ถือว่ามันสำคัญอะไร

ดวงตาที่อบอุ่นคู่นั้นกลายเป็นหมองคล้ำลงไปบ้าง เขายิ้มแล้วกล่าว “ที่พูดมามันก็ใช่”

“ในเมื่อข้ามาแล้ว เช่นนั้นก็จงบอกข้ามาว่าผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ที่ใด เจ้าหมอนั่นเป็นลูกสมุนของเจ้ากระมัง ถูกข้าเล่นเสียเจ็บเสียพิการ ก็คงจะไปฟ้องร้องแก่เจ้าแล้วมิใช่หรือ?”

แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีผู้ที่กล้ากล่าววาจาไร้มารยาทเช่นนี้กับเขา กับเป่ยกงหานที่พูดจาเย็นชาเช่นนั้นก็ช่างเถอะ แต่เจ้าเด็กสาวนี่กลับกล้าพูดจาหยาบคายไร้มารยาทเช่นนี้

เป่ยกงจั๋วกล่าว “เจ้าสวะนั่นมาขอความช่วยเหลือจากข้า แต่ว่าข้าจะไปประมือกับพี่ชายเพื่อขี้ข้าผู้หนึ่งได้อย่างไร แน่นอนว่าข้าก็ได้ปฏิเสธไป เขาไปเข้าพึ่งพิงตำหนักตงจี๋แล้ว”

มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “ขอบคุณข่าวสารจากองค์รัชทายาทเป่ยกงเป็นอย่างมาก เสี่ยวไป๋ พวกเราไปจับตัวเขาที่ตำหนักตงจี๋กัน”

มู่เฉียนซีไม่พูดกล่าวอะไรก็ดึงตัวกู้ไป๋อีจากไป ส่วนเป่ยกงจั๋วนั้นไสหัวมาจากไหนก็ไสหัวกลับไปที่นั่นเถอะ

ใบหน้าอันสมบูรณ์แบบของเป่ยกงจั๋วนั้นแข็งทื่อไปพลัน เด็กสาวผู้นี้หลังจากใช้ประโยชน์ในเรื่องข่าวสารจบก็ได้สลัดเขาทิ้ง ไฉนเลยมันจะมีเรื่องที่ง่ายดายเช่นนั้น

เป่ยกงจั๋วกล่าว “ช้าก่อน”

“ช้าก่อนทำอะไร ข้าไม่ได้มีเวลาว่างเช่นนั้น”

ในตอนนี้นับได้ว่าเป่ยกงจั๋วที่ได้รับการอบรมดูแลอย่างดีมาโดยตลอดได้พบเข้ากับคู่ปรับแล้ว

เขากล่าว “ในเมื่อเจ้าสวะนั่นไปตำหนักตงจี๋แล้วก็แน่นอนว่าเขาต้องมีที่พึ่ง หากจะไปจับตัวเขาจริง ๆ เช่นนั้นก็จะต้องเป็นศัตรูกับทั้งตำหนักตงจี๋”

“เป็นศัตรูกับตำหนักตงจี๋ เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า” มู่เฉียนซีกล่าวถาม

“หานเป็นเจ้าตำหนักแห่งตำหนักเป่ยหาน แต่เจ้าตำหนักอีกผู้หนึ่งกลับเป็นข้า ไม่มีคำสั่งของข้า หานก็เคลื่อนย้ายกำลังพลได้ไม่มากเท่าไร รึว่าเจ้าคิดจะให้หานไปท้าทายยอดฝีมือของตำหนักตงจี๋ทั้งหมดเล่า?”

มู่เฉียนซีกล่าวถาม “เช่นนั้นเจ้าว่ามาว่าต้องทำเช่นไรเจ้าจึงจะยอมตอบรับ”

เป่ยกงจั๋วกล่าวตอบ “ข้ามีสัญญากับมู่หลินหลาง แน่นอนว่าจะไม่ลงมือกับตำหนักตงจี๋อย่างเปิดเผย ถึงแม้ว่าหานจะเป็นพี่ชายของข้า แต่มู่หลินหลางนั้นก็เป็นคู่หมั้นของข้า”

มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้าน “หากไม่ช่วยละก็ เช่นนั้นข้าคิดหาหนทางอื่นก็ได้แล้ว”

เป่ยกงจั๋วกล่าว “ถ้าหากแตะต้องตำหนักตงจี๋ มู่หลินหลางจะไม่อยู่นิ่งเฉยดูดายเป็นแน่ ไม่นานนักผู้อาวุโสสูงสุดก็จะเผยข้อมูลเรื่องที่เจ้ามีกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ออกไป มู่หลินหลางจะต้องส่งยอดฝีมือมาจำนวนไม่น้อย เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ต้องการให้ข้าช่วยเหลือ?”

มู่เฉียนซีกล่าว “เจ้ากับมู่หลินหลางก็ร่วมกันทำเรื่องชั่วมาตั้งแต่แรกแล้วนี่ ดูเหมือนว่าพวกเราจะไม่ได้ยืนยันให้เจ้าช่วยเหลืออยู่ตลอดกระมัง”

ถึงแม้ว่าการกล่าวออกปากของเขาแต่ละคำนั้นจะเรียกเสี่ยวไป๋ว่าพี่ชาย แต่ทว่าการแสดงออกบนใบหน้านั้นกลับไม่มีความรู้สึกอยู่เลยแม้แต่น้อย

เป่ยกงจั๋วกล่าว “ข้ามีข้อเสนอหนึ่ง ไม่ทราบว่าแม่นางมู่จะตอบรับหรือไม่?”

“ลองพูดมาฟังดู”

“ถ้าหากแม่นางมู่กลายเป็นคู่หมั้นของข้า ข้าก็สามารถที่จะยกเลิกสัญญาหมั้นกับมู่หลินหลางได้ เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะต้องยืนอยู่ฝั่งเจ้าอย่างแน่นอน”

กู้ไป๋อีกล่าวเสียงแข็ง “เป่ยกงจั๋ว!”

ในตอนนี้ดวงตาอันเย็นยะเยือกคู่นั้นของกู้ไป๋อีได้แผ่จิตสังหารออกมา “เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด”

เป่ยกงจั๋วกล่าว “หาน นี่ข้ากำลังถามความคิดเห็นของแม่นางมู่ มิได้ถามความคิดเห็นเจ้า”

มู่เฉียนซีมองไปทางเป่ยกงจั๋วแล้วกล่าว “ข้านั้นมีคู่หมั้นแล้ว ดังนั้นเจ้าจงล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ”

บนใบหน้าของเป่ยกงจั๋วเผยแววของความเสียดายออกมา จากนั้นก็กล่าวอย่างช้า ๆ “น่าเสียดายจริง ๆ ถ้าหากข้าบอกว่าข้ามิเพียงแต่จะช่วยเจ้าฆ่าล้างทำลายตำหนักตงจี๋ รวมถึงช่วยเจ้าจับตัวผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว ข้ายังจะช่วยตระกูลเจ้าล้างแค้นอีกด้วยเล่า?”

.