โอกาส… พาชา ไบลส์ และฟิลเผยความสุขทันทีที่ได้ยิน ราวกับพวกมันได้เห็นแสงสว่างหลังจากคลำหาท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดเป็นเวลานาน
“โอกาสแบบไหน?” รอยโพล่งขึ้นจากสภาพกึ่งอัมพาต
ไคลน์ไม่รีบร้อน เพียงยิ้มพลางบรรจงพูด
“พวกคุณไม่สังเกตเห็นกันหรือ… ประกาศดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย”
ในฐานะอดีตนักรบคีย์บอร์ด ไคลน์มักอ้างตัวว่าเป็น ‘ผู้ที่รู้ทุกเรื่องอย่างละนิด’ เสมอ และไม่เพียงเท่านั้น ในชีวิตปัจจุบันยังมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับนักกฎหมายหลายคน แถมยังเคยมีหุ่นเชิด ‘เคาต์แห่งการเสื่อมถอย’ ดังนั้นในแง่ของกฎหมายและข้อบังคับ ไคลน์นับว่ามีความรู้พื้นฐานค่อนข้างแน่น
จริงด้วย ในประกาศกล่าวถึงกงสุลใหม่เท่านั้น แต่ไม่ได้บอกว่าใครคือผู้บังคับใช้กฎหมาย… ที่พวกเราเคยพบล้วนมาในรูปแบบล่องหน… พาชาและคนที่เหลือเผยสีหน้าครุ่นคิด
ได้เห็นฉากตรงหน้า ไคลน์เหยียดมือออกไปลูบไล้ผิวกระจกวิเศษประหนึ่งหวีขนให้สัตว์เลี้ยง
“ภายใต้สถานการณ์ปรกติ ทุกคนต่างเข้าใจตรงกันว่าตำรวจคือผู้บังคับใช้กฎหมาย และหน่วยพิเศษคือผู้บังคับใช้กฎหมายในคดีเหนือธรรมชาติ นั่นคือข้อมูลที่ถูกกำหนดโดยกฎหมายอาณาจักรและเป็นที่เข้าใจตรงกันของสาธารณชน แต่ในคราวนี้ กฎหมายกลับมิได้แสดงความเข้มงวดในจุดดังกล่าว… หากส่วนที่ไม่ได้ระบุไว้ในกฎหมายใหม่ เป็นการหยิบยกกฎหมายเดิมของอาณาจักรมาใช้งาน ในตอนที่เรากระทำความผิด ก็ควรต้องได้เห็นหน้าตำรวจ เหยี่ยวราตรี หรือทูตพิพากษาไม่ใช่หรือ? แต่ที่นี่ไม่เป็นแบบนั้น… กล่าวคือ เนื้อหาในหมวดผู้บังคับใช้กฎหมายยังคงคลุมเครือและถูกปล่อยว่างไว้”
จากบรรดาผู้วิเศษทั้งสี่ พาชาซึ่งรอบรู้มากที่สุด ไตร่ตรองสักพักก่อนจะพูด
“บางที ผู้บังคับใช้กฎหมายอาจเป็นเพียงแนวคิดเชิงนามธรรม หรือบางทีอาจหมายถึงกงสุลใหม่โดยนัย”
“ถ้าเป็นกรณีหลังก็ยังไม่ชัดเจนเช่นกัน เพราะกฎหมายไม่ได้ระบุว่ากงสุลใหม่เป็นใคร ในกรณีนี้ใครก็สามารถเป็นได้ หรือถ้าเป็นกรณีแรก ก็หมายความว่ายังไม่มีใครถูกกำหนดให้เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย…” ไคลน์ตอบเรียบง่าย
ฟิลขมวดคิ้ว
“แต่ทั้งพวกเราและชาวเมืองต่างก็ไม่สามารถบังคับใช้กฎหมาย”
“กล่าวคือ อำนาจที่เกี่ยวข้องจะถูกกำหนดด้วยวิธีตัดผู้ที่มีคุณสมบัติที่ไม่ผ่านออกไป” ไคลน์ยิ้มพลางอธิบาย “คนต่างถิ่นที่ถูกกีดกันและถูกไล่ล่าย่อมไม่มีทางเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายได้ และสำหรับชาวเมือง พวกเขามีหน้าที่เพียงไล่ล่าคนต่างถิ่น เราสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้จากเหตุการณ์รอบป้ายประกาศ”
โดยไม่รอให้รอยและไบลส์พูด ไคลน์กล่าวต่อ
“ดังนั้น ผมจึงอาศัยความขัดแย้งที่ซ่อนอยู่เพื่อทดสอบกับรอย และผลลัพธ์ก็เป็นไปตามคาด… ประการแรก กระจกวิเศษไม่ได้เป็นคนต่างถิ่น ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่คนท้องถิ่น เป็นเพียงสิ่งของที่มีสติปัญญาในระดับหนึ่ง ไม่สามารถจำแนกไว้ในหมวดหมู่ใดได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว เมื่อตัวตนของผู้บังคับใช้กฎหมายไม่ชัดเจน ในทางทฤษฎี ผู้ที่มีคุณสมบัติไม่ขัดกับข้อห้ามย่อมมีสิทธิ์บังคับใช้กฎหมาย…”
“ประการที่สอง กฎการลงโทษคนต่างถิ่น ประกาศดังกล่าวบ่งบอกเป็นนัยว่า ‘ทุกคนที่จัดการกับคนต่างถิ่นคือผู้บังคับใช้กฎหมาย’ …”
“ประการสุดท้าย กระจกวิเศษก็มีกฎการลงโทษเป็นของตัวเองเช่นกัน หมายความว่าก่อนที่กฎใหม่จะถูกเขียนเพื่อกลบช่องโหว่นี้ กระจกวิเศษในมือผมยังคงมีพลังในการลงโทษผู้คน…”
“จากเหตุผลสามข้อข้างต้น ผมเชื่อว่าตอนนี้ 0-02 คงรู้ตัวแล้วว่ากฎของมันมีความขัดแย้งในหลายเรื่อง ถัดไปจะต้องออกกฎใหม่มาเพื่อระบุตัวผู้บังคับใช้กฎหมายและอุดช่องโหว่ และเมื่อมีการกำหนดตัวผู้บังคับใช้กฎหมาย นั่นจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลจำนวนหนึ่งซึ่งช่วยให้เราล็อกเป้าหมายได้ง่ายขึ้น…”
“หึหึ ถ้า 0-02 ใช้การสร้างข้อห้ามแบบคลุมเครือ ตัวมันก็จะได้รับผลนั้นไปด้วยเนื่องจากมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับกระจกวิเศษ นั่นคงไม่ใช่ทางเลือกแรกแน่นอน”
ในเวลาเดียวกัน รอย พาชา และคนที่เหลือซึ่งกำลังฟังไคลน์พึมพำกับตัวเอง พลันเกิดความรู้สึกที่ยากอธิบาย เชื่อโดยสนิทใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้มากความรู้และฉลาดเป็นกรด
หรือว่ามิสเตอร์นักมายากลจะเป็นนักปราชญ์ในตำนานที่ชอบพเนจรไปในหมู่คนธรรมดา? ผู้วิเศษทั้งสี่อดไม่ได้ที่จะคาดเดา
ทันใดนั้นเอง กระจกวิเศษในมือไคลน์ส่องแสงในลักษณะหมอกวารี
ท่ามกลางคลื่นน้ำกระเพื่อม ภาพบนกระจกเปลี่ยนเป็นป้ายกระดานข่าวสาร
บนกระดาษสีขาวใบหลัก มีสองประโยคถูกเพิ่มเข้ามา:
“การบังคับใช้กฎหมายจะกระทำโดย ‘หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์’ หรือบุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น”
“กฎระเบียบส่วนตัวไม่สามารถแทนที่กฎหมายอย่างเป็นทางการได้”
หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์… ชื่อจริงของ 0-02? โอกาสมาถึงแล้ว! ไคลน์เข้าฌานด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทันที
มันบีบบังคับให้ 0-02 ต้องกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้ตนเข้าใจสถานการณ์ของสมบัติปิดผนึกสุดแกร่งรายนี้ได้มากขึ้นจากข้อมูลที่เพิ่มเข้ามา
จากการอนุมานของไคลน์ 0-02 น่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดบางชนิด เหมือนกับตนสมัยที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดอย่างแท้จริง
ดังนั้น การพยายามทำความเข้าใจมันอาจทำให้ต้องเผชิญการกัดกร่อนแบบย้อนกลับและสร้างการเชื่อมต่อบางอย่าง
ในบางแง่มุม แก่นแท้แห่งต้นกำเนิดจะมีค่าเท่ากับ ‘วันวาน’ ‘เทพภายนอก’ หรือไม่ก็ ‘อวกาศ’ !
ย้อนกลับไปในอดีต ไคลน์เคยใช้วิธีนี้เพื่อระบุตำแหน่งของหมาป่าอสูรทมิฬโคทาร์ แต่ปัจจุบัน มันกำลังทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม
ตามความเห็นของชายหนุ่ม 0-02 น่าจะถูกแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดกัดกร่อนรุนแรงยิ่งกว่าตน เพราะต้องไม่ลืมว่า สมบัติปิดผนึกคือสิ่งที่อยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่งตลอดเวลา เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันต้องถูกผนึกอย่างแน่นหนา
ภายใต้คุณสมบัติดังกล่าว การทำความเข้าใจ 0-02 ย่อมโอกาสสูงที่จะถูกกัดกร่อน
และสมมติฐานของไคลน์ก็ได้รับการพิสูจน์แล้ว!
ด้วยอันตรายข้างต้น ชายหนุ่มจึงไม่ได้แสดงเนื้อหาใหม่บนผิวกระจกวิเศษให้ผู้วิเศษทั้งสี่เห็น
ภายในการเข้าฌาน ไคลน์ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าตนสร้างการเชื่อมต่อล่องหนเข้ากับสถานที่แห่งหนึ่ง ขณะเดียวกัน การกัดกร่อนที่ยากจะอธิบายก็กำลังถาโถมเข้าใส่
กิ๊ง!
ขณะดีดเหรียญทองขึ้นฟ้า ชายหนุ่มใช้ออร่าของปราสาทต้นกำเนิดเพื่อตัดการเชื่อมต่อและปิดกั้นการกัดกร่อน
ทันทีหลังจากนั้น ภาพที่ชัดเจนปรากฏขึ้นในใจ
ไคลน์ใช้มือซ้ายคว้าเหรียญทองที่กำลังร่วงหล่นลงมา และเมื่อถุงมือกลายเป็นสีใส มันหายตัวไปจากบ้านของไบลส์ ไปโผล่ในห้องโถงที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือ
ณ ด้านข้างของห้องโถง ริมหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดเพดาน โต๊ะสี่เหลี่ยมจำนวนมากตั้งเรียงราย ภายในนั้นมีหนังสือที่เกิดจากการนำทองเหลืองแผ่นบางมาประกอบเข้าด้วยกัน
เจอตัวแล้ว! ใบหน้าไคลน์ฉาบด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
มันใช้การเชื่อมต่อสั้นๆ เพื่อเป็นสื่อกลางในการทำนาย จากนั้นก็อาศัยแรงดึงดูดระหว่างแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดเพื่อเทเลพอร์ตมาอย่างแม่นยำ!
จริงอยู่ กฎการดึงดูดระหว่างแก่นแท้แห่งต้นกำเนิดอาจช่วยให้ใครบังเอิญเดินเข้ามาในห้องสมุดแห่งนี้และพบหนังสือทองเหลืองระหว่างการค้นหา แต่นั่นอาจต้องใช้เวลานานถึงสองวัน สองสัปดาห์ หรือแม้กระทั่งสองปี สายเกินกว่าจะยับยั้งสิ่งใดได้ และนั่นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า 0-02 ไม่ได้ก่อกวนหรือแทรกแซงให้กฎแรงดึงดูดมีอิทธิพลน้อยลง
เพี๊ยะ!
เสื้อผ้าบนหลังไคลน์ถูกแหวกเป็นทางยาว รอยแดงของเลือดปรากฏขึ้น
นี่คือบทลงโทษของการบุกรุกสถานที่สาธารณะซึ่งยังไม่เปิดให้บริการ
เพี๊ยะ!
โชคดีที่ความผิดนี้มีโทษเบา… และเราจะไม่โดนลงโทษซ้ำในข้อหาเดิมภายในหนึ่งถึงสองนาที เพราะกฎต้องมอบเวลาให้ผู้บุกรุกถอนตัวกลับ… ไคลน์เหยียดแขนออกไปจับอากาศสองสามหนทันที
มันไม่ได้ลากผู้นำนักบวชอาเรียนน่าออกมาจากความว่างเปล่า นั่นเพราะการใช้งานภาพฉายต่อหน้า ‘บุคคล’ ที่ไม่สมัครใจถือเป็นความผิดในข้อหาหลอกลวง แต่ไคลน์ทำไปเพื่อแจ้งข้อมูลของตำแหน่งปัจจุบันไปยัง ‘บริวารอำพราง’
ด้วยเหตุผลเดียวกัน ชายหนุ่มได้ปลดถุงมือหนังมนุษย์ออกจากมือซ้าย
ทันใดนั้นเอง หนังสือทองเหลืองเริ่มพลิกหน้าและเผยให้เห็นกฎเกณฑ์:
“…เมื่อสติสัมปชัญญะลดต่ำกว่าสองในสิบส่วน ผู้วิเศษจะเริ่มส่งสัญญาณของภาวะคลุ้มคลั่ง…”
“…ปราชญ์โบราณมีพลังในการอัญเชิญภาพฉายจากช่องว่างประวัติศาสตร์ อัตราความสำเร็จของการอัญเชิญจะขึ้นอยู่กับระดับความสนิทสนมและเป็นมิตรของเป้าหมาย…”
“…”
“…หนังสือทองเหลืองทรันซอสต์เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด สิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้อง ผู้ใดที่ละเมิดจะถูกตัดสินประหารชีวิต!”
“…สถานะของหนังสือทองเหลืองทรันซอสต์คือสิ่งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ผู้ใดที่ละเมิดจะถูกตัดสินประหารชีวิต!”
“…”
กฎเหล่านี้ทำให้เปลือกตาไคลน์กระตุกแผ่วเบา มันพบว่าสติสัมปชัญญะของตนเริ่มลดลง
และนั่นส่งผลให้ตราประทับทางจิตของมหาต้นกำเนิดในตัวไคลน์ได้รับอำนาจมากขึ้น
กฎในส่วนแรกเป็นสีเทาเข้ม ดูเหมือนว่าจะอยู่ในสถานะที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้… หรือต้องรอให้ 0-02 ลืมตาตื่นมากกว่านี้? ถ้ามันตื่นขึ้นมาถึงจุดที่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎในส่วนแรกได้ สถานการณ์ของเราจะยิ่งแย่ลง… บางทีมันอาจจะลดอัตราความสำเร็จในการอัญเชิญภาพฉาย หรือไม่ก็ทำให้เราแสดงสัญญาณของภาวะคลุ้มคลั่งหลังจากสูญเสียสติสัมปชัญญะไปเพียงเล็กน้อย… เป็นวิธีแก้ทาง ‘นักทำนาย’ ที่ทรงพลังเกินไป? สมแล้วที่เป็น 0-02… รหัสนี้ไม่ได้มาเพราะจับสลาก…
ข้อความถัดมาเป็นสีเงิน… หมายความว่ากฎในส่วนนี้ยังถูกแก้ไขได้?
เราสัมผัสมันไม่ได้ เปลี่ยนสถานะก็ไม่ได้… หมายความว่าไม่สามารถนำออกไปได้ และไม่สามารถใช้พลัง ‘ปกปิด’ กับมันได้โดยตรง… บางทีเราอาจลองใช้ไม้เท้าดวงดาวหรือกล่องวันวานเพื่อเชื่อมต่อห้องสมุดแห่งนี้เข้ากับอวกาศ จากนั้นก็ปล่อยให้ 0-02 คุยกับเทพภายนอก… แต่ถ้ามีเทพภายนอกตนใดได้ครอบครองสมบัติวิเศษชิ้นนี้ สถานการณ์ในอนาคตจะยิ่งแย่ลง… ไคลน์ลังเลเป็นเวลานาน ไม่กล้าเสี่ยงอัญเชิญสมบัติปิดผนึกระดับ 0 เนื่องจากกังวลถึงบทลงโทษ
วินาทีถัดมา ชายหนุ่มได้ยินเสียง ‘เพี๊ยะ’ ข้างหู
อาเรียนน่าในชุดผ้าลินินเรียบง่าย แต่งกายด้วยเข็มขัดเปลือกไม้ ปรากฏกายขึ้นด้านข้างไคลน์อย่างรวดเร็ว แผ่นหลังของเธอถูกแส้ล่องหนเฆี่ยนจนเลือดไหลเป็นทางยาว
“ปัญหาแรกถูกสะสางแล้ว ตอนนี้ต้องหาวิธีแก้ไขปัญหาที่สอง นั่นคือการผนึกเจ้านี่” ไคลน์รีบกล่าวสรุป
เพราะอีกไม่นานมันจะถูกลงโทษเป็นครั้งที่สอง
อาเรียนน่าส่ายศีรษะ
“ข้อมูลที่เกี่ยวข้องถูกทำลายไปหมดแล้ว พวกเราทำได้แค่ลองผิดลองถูก”
ฟังดูอันตรายอยู่นะ… แม้พวกเราจะไม่รู้ แต่ใครบางคนต้องรู้แน่… หัวใจไคลน์เริ่มบีบคั้น จากนั้นก็นำร่างวิญญาณเข้าไปในโลกวิญญาณ
ชายหนุ่มตะโกนผ่านบาเรียล่องหนที่สร้างโดย 0-02 เพื่อสนทนากับราชาคณะแห่งโบสถ์เทพสงครามซึ่งกำลังรอให้ม่านหายไป:
“มาเจรจากันไหม”
“อยากได้วิธีผนึก 0-02 สินะ” ลาร์เรี่ยนหันมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “คิดว่าข้าจะยอมบอกหรือ”
“อันที่จริง ข้าไม่ค่อยเข้าใจนัก เหตุใดเจ้าถึงยังอุทิศตัวให้เทพสงครามที่ร่วงหล่น? หากเข้าร่วมโบสถ์รัตติกาล เจ้ายังได้เป็นเทวทูต ได้รับพร และมีชีวิตที่ยืนยาวเหมือนเดิม” ไคลน์ไม่ตอบคำถามอีกฝ่าย
สีหน้าลาร์เรี่ยนพลันดำมืด
“สัตว์ในตำนานที่ปราศจากศรัทธาอย่างแรงกล้าเยี่ยงเจ้า ไม่มีวันเข้าใจข้า”
…ก็เราเป็น ‘เทพมาร’ จำเป็นต้องศรัทธาใครอย่างแรงกล้าด้วยหรือ? ไคลน์รำพันในใจ
นี่คือส่วนที่ยังเป็นมนุษย์ของชายหนุ่ม
……………………………