เหนือหมอกสีเทา ภายในวังโบราณ ร่างของไคลน์ปรากฏขึ้น
แต่ในเวลาเดียวกัน อีกร่างหนึ่งก็กำลังนั่งบนเก้าอี้เดอะฟูล รายล้อมด้วยหมอกสีเทา
เมื่อไคลน์กลับมายังปราสาทต้นกำเนิด ร่างดังกล่าวพลันสลายตัวกลายเป็นหนอนวิญญาณโปร่งใสและบิดเบี้ยว ลอยกลับมาหาร่างต้นไคลน์และผสานเป็นหนึ่งเดียว
โชคดีที่ข้อห้ามของ 0-02 มีแค่การ ‘ห้ามออกจากเบลดัน’ และ ‘ห้ามแพร่งพรายความลับ’ ไม่ได้ตัดการเชื่อมต่อกับโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้น หากเราขาดการเชื่อมต่อกับหนอนวิญญาณที่คอยปกป้องปราสาทต้นกำเนิด หมอนี่จะคลุ้มคลั่งและกลายเป็นสัตว์ประหลาด… ไคลน์รำพันด้วยอารมณ์เข้มข้น เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตำแหน่งเดอะฟูลและหยิบไพ่เย้ยเทพที่เพิ่งสังเวยขึ้นมา
เนื่องจากไพ่เย้ยเทพใบนี้ถูกเปิดใช้งานแล้ว ไคลน์จึงไม่จำเป็นต้องหาคาถามาปลดผนึก ชายหนุ่มสามารถมองเห็นรายละเอียดบนไพ่ได้ทันทีขอเพียงถ่ายพลังวิญญาณเข้าไป
ไพ่เดอะฟูลกลายเป็นหนังสือมายาเล่มเล็กในพริบตา และตามเจตจำนงของไคลน์ มันพลิกรวดเดียวไปจนถึงสองหน้าสุดท้าย
“ลำดับ 1: บริวารเร้นลับ”
“นี่คือเทวทูตผู้คอยรับใช้ความเร้นลับ สามารถถือครองอำนาจในขอบเขตที่เกี่ยวข้องกันได้เบื้องต้น สามารถปลุกด้ายวิญญาณขึ้นมาจากวัตถุ และสามารถผสานสิ่งของทางกายภาพหรือแนวคิดเชิงนามธรรมเข้าด้วยกัน…”
“สูตรโอสถ:”
“วัตถุดิบหลัก: ตะกอนพลังบริวารเร้นลับหนึ่งก้อน”
“วัตถุดิบเสริม: วัตถุท้องถิ่นของโลกวิญญาณเก้าชนิด”
“พิธีกรรมเลื่อนลำดับ: สร้างเมืองที่มีประชากรเป็นหุ่นเชิดล้วน และออกแบบชะตากรรมกับเส้นทางชีวิตให้หุ่นเชิดทุกตัว คอยกำกับควบคุมให้พวกมันโต้ตอบกันเองเพื่อสร้างภาพของสังคมที่สมจริง จนกระทั่งถือกำเนิดพื้นที่บนโลกวิญญาณในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกัน”
“ยิ่งเมืองมีขนาดใหญ่ ยิ่งมีจำนวนหุ่นเชิดมาก ยิ่งมีชีวิตประจำวันที่ละเอียดอ่อน ยิ่งมีโชคชะตาที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ของพิธีกรรมจะยิ่งยอดเยี่ยม”
“ลำดับ 0: เดอะฟูล”
“นี่คือเทพแท้จริง ในแง่หนึ่ง พระองค์เป็นร่างอวตารของอำนาจในขอบเขตที่สอดคล้องกัน… พระองค์เก่งกาจด้านการปั่นหัวผู้คนด้วยวิธีการอันหลากหลาย และสร้างสิ่งที่น่าอัศจรรย์ได้ทุกประเภท…”
“สูตรโอสถ:”
“วัตถุดิบหลัก: เอกลักษณ์ของเดอะฟูล, ตะกอนพลังบริวารเร้นลับอีกสองก้อนนอกเหนือจากของตัวเอง”
“วัตถุดิบเสริม: ควบคุมสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ให้ได้อย่างน้อยหนึ่งในสี่”
“พิธีกรรมเลื่อนลำดับ: ปั่นหัวประวัติศาสตร์ กระแสแห่งเวลา หรือชะตากรรมหนึ่งครั้ง”
หลังจากอ่านจบ ไคลน์ค่อยๆ ขมวดคิ้วพลางพึมพำกับตัวเอง
เมื่อเทียบกับพิธีกรรมเลื่อนลำดับของบริวารเร้นลับ พิธีกรรมของเดอะฟูลฟังดูเป็นนามธรรมเกินไป… การปั่นหัวประวัติศาสตร์ กระแสเวลา หรือชะตากรรมคืออะไร? พิจารณายังไงว่าสำเร็จ?
การควบคุมสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ราวหนึ่งในสี่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเรา… แง่หนึ่ง เรามีความลับโบราณมากพอที่จะทำให้ชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์จำนวนมากสว่างไสว ในอีกแง่หนึ่ง เราสามารถใช้ปราสาทต้นกำเนิดเพื่อสร้างอิทธิพลกับสายหมอกแห่งประวัติศาสตร์ได้โดยตรง…
คงต้องพับเก็บคำถามเกี่ยวกับเดอะฟูลไปก่อน ตอนนี้ควรเพ่งความสนใจไปยังบริวารเร้นลับ คนเราต้องเดินไปทีละก้าว แต่ก็มีพวกวาสนาดีบางคนสามารถบินไปได้ทันที…
การค้นหาวัตถุท้องถิ่นของโลกวิญญาณเก้าชนิดไม่ใช่เรื่องยาก จะฝากให้มิสผู้ส่งสารช่วยหรือถามเอาจากเจ็ดแสงพิสุทธิ์ก็ได้ทั้งนั้น… พิธีกรรมเลื่อนลำดับมีลักษณะคล้ายคลึงกับสถานการณ์รอบตัวบรรพบุรุษของซาราธและอันทีโกนัส แถมยังสอดคล้องกับพูดของเจ็ดแสงพิสุทธิ์ที่ระบุว่าเราต้องเชื่อมโยงกับโลกวิญญาณอย่างใกล้ชิด ตอนนี้ยืนยันได้แล้วว่าพวกเขาพูดจริง…
คิดถึงตรงนี้ ไคลน์ถอดจี้บุษราคัมออกจากข้อมือซ้าย ใช้พลังทำนายเพื่อยืนยันความถูกต้องของสูตรโอสถบริวารเร้นลับ
ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มไม่เชื่อใจจักรพรรดิโรซายล์ แต่ก่อนที่จะสร้างไพ่เย้ยเทพ เพื่อนข้างห้องรายนี้อาจได้รับอิทธิพลบางอย่างจากมิสเตอร์ประตู หรือไม่ก็เป็นผลพวงจากการสำรวจดวงจันทร์และถูกมารดาเทพธิดาแห่งความเสื่อมทรามกัดกร่อนจนความทรงจำบิดเบือน
ด้วยเหตุผลข้างต้น จึงมีความเป็นไปได้ที่โรซายล์จะแอบวางกับดักไว้ในไพ่เย้ยเทพบางใบ
สำหรับเรื่องทำนองนี้ ไคลน์ไม่เคยประมาท
เมื่อกล่าวถึงตัวจริงของดวงจันทร์บรรพกาล วันวานที่ทรงพลังที่สุด พิจารณาจากหนึ่งในตัวตนของพระองค์ มีโอกาสสูงมากที่จักรพรรดิจะถูกกัดกร่อนโดยไม่รู้ตัว… บนดวงจันทร์อาจมีพี่น้องแบร์นาแดตที่พลัดพรากอาศัยอยู่ก็เป็นได้ แน่นอนว่าแนวคิดเรื่องการจำแนกเพศคงไม่จำเป็น…
หุ่นเชิดที่จำเป็นสำหรับพิธีกรรมของบริวารเร้นลับ เราสามารถหาได้จากดินแดนเทพทอดทิ้ง ที่นั่นมีสัตว์ประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งถือเป็นข้อดีเพียงไม่กี่เรื่อง นอกจากนั้น เรายังทยอยสั่งสมไว้บางส่วนแล้วด้วย… ท่ามกลางกระแสความคิด ไคลน์หันไปมองอีกฟากหนึ่งของวังโบราณ เสกให้หมอกสีเทาด้านข้าง ‘กองขยะ’ เลือนหายไป
เมื่อหมอกจางลง แถวเก้าอี้สีน้ำตาลอมเหลืองปรากฏขึ้น บนเก้าอี้แต่ละตัวมีร่างหนึ่งนั่งอยู่
ร่างเหล่านี้มีทั้งคนยักษ์หุ้มเกราะเงิน มนุษย์ใบหน้าพิการที่แต่งกายในชุดลินิน และก้อนเนื้อขนาดใหญ่ที่มีดวงตา… พวกมันนั่งนิ่งบนแถวเก้าอี้ ดวงตาหันมาทางโต๊ะทองแดงยาวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ทั้งหมดนี้คือหุ่นเชิดที่ไคลน์รวบรวมมาจากดินแดนเทพทอดทิ้ง ทุกครั้งที่ไคลน์ต้องย้ายตำแหน่ง เป็นเรื่องยากลำบากที่จะพกพาหุ่นเชิดจำนวนมากติดตัว ชายหนุ่มจึงสังเวยขึ้นมาบนมิติเหนือสายหมอก
แน่นอนว่าไคลน์ไม่ได้มีนิสัยชอบสะสมขยะ แต่การได้เห็นหมู่บ้านสายหมอกและฉากที่ซาราธเคยแสดง ทำให้ชายหนุ่มเชื่อโดยสัญชาตญาณว่า คงต้องมีสักพิธีกรรมที่ใช้หุ่นเชิดเป็นจำนวนมาก มันจึงเตรียมการไว้ล่วงหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ
ส่วนคำถามที่ว่า เหตุใดไคลน์ถึงไม่แขวนคอพวกมัน แต่กลับให้นั่งประหนึ่งผู้ชมในโรงละคร นั่นเป็นเพราะไคลน์รู้สึกว่าพฤติกรรมของบรรพบุรุษตระกูลอันทีโกนัสและซาราธค่อนข้างขาดความเป็นมนุษย์
จริงอยู่ที่ชายหนุ่มเคยเลียนแบบพฤติกรรมอีกฝ่ายในบางแง่มุม แต่นั่นก็เพื่อสวมบทบาท ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องทำแล้ว
แต่เมืองหุ่นเชิดจะสร้างข้อมูลที่สอดคล้องกันบนโลกวิญญาณได้ยังไง? โลกวิญญาณคือแหล่งรวบข้อมูลจากอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่นั่นไม่ได้รวมถึงวัตถุปลอม…
เกิดจากการรับรู้ของผู้อื่น? พฤติกรรมและคำพูดของสิ่งมีชีวิตจะสะท้อนอยู่บนโลกวิญญาณในรูปแบบนามธรรม และกลายเป็นข้อมูลสำหรับการทำนาย… เมื่อพฤติกรรม คำพูด และความคิดที่เข้มข้นของเหล่าหุ่นเชิดได้ทำให้เมืองหุ่นเชิดมีความสมจริงและชัดเจน โลกวิญญาณก็จะสร้างข้อมูลของเมืองหุ่นเชิดจนมันกลายเป็น ‘สถานที่ซึ่งมีตัวตนอยู่จริง’ …
‘ปฏิสัมพันธ์’ ระหว่างสิ่งมีชีวิตจะเชื่อมโยงกับความลับในเชิงลึกบนโลกวิญญาณ… ไคลน์ปิดไพ่เดอะฟูลด้วยสีหน้าครุ่นคิดพลางใช้มือควงเล่น
อาจเป็นเพราะตอนนี้มันก้าวมาถึงระดับเทวทูต ไคลน์จึงเริ่มเข้าใจหลักการสร้างไพ่เย้ยเทพขึ้นมาบ้างแล้ว
ในเวลานั้น ไม่เพียงโรซายล์จะดึงพลังจากความรู้ได้ แต่ยังบรรจุพลังมหาศาลไว้ในความรู้ที่เป็นนามธรรมได้ด้วย!
แต่สำหรับคำถามที่ว่า โรซายล์สร้างไพ่จากวัสดุอะไร ผลิตอย่างไร แล้วทำไมถึงมีคุณสมบัติต่อต้านการทำนายและพยากรณ์ในระดับทวยเทพ ไคลน์ยังไม่พบคำตอบ
ผ่านไปสักพัก ไคลน์ยัดไพ่เดอะฟูลไว้ในร่างวิญญาณ
ร่างวิญญาณของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันที เสื้อผ้ากลายเป็นหรูหราหลายชั้น สวมผ้าโพกหัวหรูหรา ออร่าลุ่มลึกและน่ากลัว แต่กลับแฝงไว้ด้วยความตลกขบขัน ไร้สาระ และไร้แก่นสาร เป็นความขัดแย้งที่ชวนให้ฉงน
ห้วงมิติที่แนบมากับปราสาทต้นกำเนิดพลันสั่นสะเทือน ราวกับมันกำลังยอมจำนนแทบเท้าเทพผู้พิสดารจนยากอธิบาย
ระดับตัวตนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน นั่นสินะ ก็เราเป็นเจ้าของปราสาทต้นกำเนิดแล้ว หึหึ ดูเหมือนว่าแฟชั่นทำนองนี้จะช่วยเน้นให้ออร่าของเราชัดเจนยิ่งขึ้น… ไคลน์ส่ายหน้าพลางจิกกัดตัวเอง
ในเวลาเดียวกัน หนอนวิญญาณสีใสที่ดีดดิ้นค่อยๆ ชอนไชออกจากร่างไคลน์ จากนั้นก็เรียงตัวใหม่ด้านข้างจนมีรูปลักษณ์แบบเดียวกัน
หลังจากแบ่งตัวตนที่สามารถตอบสนองต่อคำสวดวิงวอนได้ตลอดเวลา ไคลน์ส่งตัวเองกลับสู่โลกความจริง เดินผ่านใจกลางเมืองเบลดัน อาศัยพลังการขอพรช่วยเหลือผู้คนที่กำลังทุกข์ทรมาน พลางเรียนรู้อีกมุมหนึ่งของสงครามจากปากผู้มีประสบการณ์ตรง
…
“แม่เย็*!” เดนิสอดไม่ได้ที่จะสบถหลังจากได้ยินรายงานจากลูกเรือที่กลับมา “พวกเขากินน้ำมันวาฬเข้าไปจริงหรือ? แล้วทำไมนายถึงไม่ห้ามไว้ล่ะโว้ย!”
ในตอนที่แล่นผ่านหมู่เกาะการ์กัส เดนิสและลูกเรือได้ซื้อน้ำมันวาฬที่ยังไม่ได้กลั่นไว้จำนวนหนึ่งเพื่อกลับไปขายทำกำไรที่บายัม แต่ก็ต้องเหนือความคาดหมาย ครึ่งยักษ์ของเมืองเงินพิสุทธิ์ได้แอบขโมยกินไปส่วนหนึ่ง
ลูกเรือชำเลืองลอร์ดเดนิสพลางกระซิบกระซาบ
“พวกเขาไม่เข้าใจในสิ่งที่เราพูด และเราก็ไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดเช่นกัน มีเพียงคนที่เตี้ยที่สุดที่พอจะคุยรู้เรื่อง แต่เราก็ไม่ได้พบตัวเขาได้ตลอดเวลา เขามักนั่งเข้าฌานในจุดที่แสงแดดส่องถึง และเปลี่ยนตำแหน่งแทบจะทุกครั้ง”
เดนิสเย้ยหยันตามความเคยชิน
“นี่คือผลพวงของการไม่รู้หนังสือยังไงล่ะ… ถ้านายชำนาญภาษาฟุซัค คนยักษ์ และเอลฟ์ได้เหมือนฉัน เรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น… แต่ช่างเถอะ ความสามารถทางภาษานั้นขึ้นอยู่กับสติปัญญา นายไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง”
ลูกเรือจ้องเดนิสอีกครั้งด้วยสายตาประหม่า
“ท่านลอร์ด น้ำมันวาฬที่พวกเขากินเข้าไปเป็นส่วนของท่าน”
“แม่เย็*!” การกระทำเดนิสไวกว่าสมอง มันรีบปรี่ไปทางเขตห้องโดยสารทันที
หลังจากเผชิญความวุ่นวายอยู่สักพัก เดนิสได้รับตะกอนพลังลำดับ 8 เป็นค่าชดเชย มันเองก็ไม่แน่ใจว่านี่เป็นกำไรหรือขาดทุน แต่ของเหลวสกปรกจากศพสัตว์ประหลาดที่ติดมากับตะกอนพลัง ทำให้มันรู้สึกคลื่นไส้ไม่น้อย
เมื่อบรรยากาศบนเรือกลับมาสงบสุข ฉากของเมืองแห่งการให้ บายัม ก็ปรากฏสู่สายตาทีมบุกเบิกของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์
เดอร์ริคนำลีอาวาล แคนดิส และคนที่เหลือมายังดาดฟ้าเรือเพื่อมองไปยังปลายทางของ ‘การเดินทาง’
แม้พวกมันจะเคยแวะท่าเรือหลายแห่ง แต่ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ลงจากเรือ ทำได้เพียงมองดูจากระยะไกล แต่แล้วในที่สุด ถึงเวลาที่พวกมันจะได้เหยียบลงบนพื้นดินของโลกภายนอกเป็นครั้งแรกเสียที
แต่ถึงอย่างนั้น ฉากของผู้คน บ้านเรือน ความทุกข์ยากและเจ็บปวดตามท่าเรือต่างๆ ที่เดอร์ริคและพรรคพวกเคยเห็นจากระยะไกล กลายเป็นเชื้อไฟที่ทำให้มันยิ่งโหยหาชีวิตท่ามกลางแสงสว่าง
แน่นอนว่าพวกมันที่ใช้ชีวิตท่ามกลางความมืดและสายฟ้ามานาน ต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะปรับตัวให้คุ้นชินกับแสงแดด หากไม่ใช่เพราะเป็นผู้วิเศษ หลายคนคงดวงตาเสียหายถาวร
ขณะจ้องมองท่าเรือที่มีผู้คนพลุกพล่าน เรือเหาะที่แล่นไปบนท้องฟ้าและเรือหลายลำที่ผ่านเข้าออกท่า พลางฟังเสียงของสภาพแวดล้อมที่พอจะจับใจความได้เล็กน้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่นี่คือถิ่นฐานในอนาคตของชาวเมืองเงินพิสุทธิ์ แต่ทันใดนั้นเอง เดอร์ริคสัมผัสถึงบรรยากาศกดดันที่ยากจะอธิบาย
เมื่อกวาดตาไปมอง เด็กหนุ่มเห็นชายคนหนึ่งกำลังยืนบนประภาคารริมทะเล แต่งกายในเสื้อคลุมปักสัญลักษณ์พายุ ผมสีน้ำเงินเข้มจนเกือบดำ หยักศกและยุ่งเหยิงคล้ายสาหร่ายทะเล ใบหน้าชัดลึกและดุดัน
หลังจากสายตาประสานกัน เดอร์ริคสงบจิตใจลงทันที ปราศจากความกังวลโดยสิ้นเชิง
…………………………