ตอนที่ 1,133 ขั้นเซียนระดับแปด
ใช่แล้ว
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินลืมเรื่องภารกิจของตนเองไปหมดสิ้น
เพราะถึงเขากลับไปตอนนี้ ก็ยังหาวิธีแก้ปัญหาไม่ได้อยู่ดี
เขาจะสามารถทำภารกิจกอบกู้ความรุ่งเรืองของสำนักกระบี่อมตะสำเร็จได้อย่างไร? หลินเป่ยเฉินมองไม่เห็นหนทางเลยจริง ๆ หรือเขาจะทำได้เพียงรอให้เกิดปฏิหาริย์ในโค้งสุดท้ายเท่านั้น?
และค่ายอาคมกระบี่ของหวังฉีกงก็ดึงดูดใจเขาเหลือเกิน
เพราะถ้าหลินเป่ยเฉินสามารถนำค่ายอาคมนี้มาปรับใช้กับพลังปราณธาตุทองคำของเขาได้ มันก็จะเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
และเด็กหนุ่มก็มั่นใจมากว่า มันจะทำให้เขาใช้พลังปราณธาตุทองคำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าพลังปราณธาตุอีกสี่ชนิดที่เหลือ
หากเขาได้ครอบครองค่ายอาคมของหวังฉีกง หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าแม้แต่ผู้มีพลังขั้นเซียนระดับเจ็ดหรือระดับแปด ต่างก็ต้องยอมก้มหัวคุกเข่า เรียกหาเขาเป็นบิดาแล้ว
หากเขาสามารถฝากตัวเป็นศิษย์หวังฉีกงได้จริง ๆ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คงยอดเยี่ยมไม่แพ้การทำภารกิจจากแอป Keep ได้สำเร็จ
“ว่าแต่เมื่อสักครู่ ผู้อาวุโสบอกว่าอยากเจอผู้เยาว์มานานแล้ว ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย
หวังฉีกงยกมือขึ้นลูบหนวดเคราของตนเอง ก่อนตอบว่า “เพราะว่าข้าอยากรับเจ้าเป็นศิษย์น่ะสิ”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโต
ช่างบังเอิญอะไรขนาดนี้
ปรากฏว่าชายชราก็อยากรับตัวเขาเป็นลูกศิษย์เหมือนกันหรือนี่?
“ท่านอาจารย์ขอรับ”
เด็กหนุ่มคุกเข่าลงประสานมือคำนับหวังฉีกงโดยไม่ลังเล “ศิษย์หลินเป่ยเฉินขอคารวะท่านอาจารย์”
หวังฉีกงยกมือจับคางตนเองพลางรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล “เจ้าไม่คิดจะถามสักหน่อยหรือว่าเหตุไฉนข้าถึงอยากรับตัวเจ้าเป็นลูกศิษย์?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “เรื่องนี้แม้ไม่ถาม ผู้เยาว์ย่อมรู้ดี นั่นเป็นเพราะผู้เยาว์มีหน้าตาที่หล่อเหลา มีฝีมือเชิงยุทธ์ที่เก่งกาจ มีมันสมองที่เฉียบแหลม มีพรสวรรค์ในทุกเรื่องราว อีกทั้งยังมีความกล้าหาญ มีความรับผิดชอบ และเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริตอีกด้วยขอรับ”
หวังฉีกงพยักหน้าด้วยความพอใจ “เจ้านี่พูดเก่งจริง ๆ…”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนขณะพูดไม่หยุด “ผู้เยาว์เพียงพูดเรื่องที่ผู้คนรู้กันดีอยู่แล้วขอรับ”
หวังฉีกงกล่าวออกมาอีกครั้ง “บุคคลที่ไร้ยางอายเช่นเจ้า ข้าไม่เคยเห็นในเมืองไป๋หยุนมานานแล้ว”
หลินเป่ยเฉินตอบหน้าตาเฉยว่า “อัจฉริยะย่อมโดดเด่นไม่เหมือนใครอยู่แล้วขอรับ”
หวังฉีกงยิ้มกว้างและพูดว่า “แต่เจ้าเข้าใจผิด เหตุผลที่ข้าอยากรับเจ้าเป็นศิษย์นั้น ก็เพราะเจ้าประเสริฐเกินกว่าที่จะเป็นศิษย์ของติงซานฉือต่างหาก”
“อ้อ”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาทันที “สรุปก็คือท่านอิจฉาอาจารย์ติงนี่เอง”
“เฮอะ ข้าคือผู้ใช้ค่ายอาคมอันดับหนึ่งแห่งเมืองไป๋หยุน มีอันใดให้ไปอิจฉาบุรุษไร้ยางอายเช่นนั้น… ข้าเพียงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด เจ้าถึงไปเป็นลูกศิษย์ของเขาได้ เพียงเท่านี้ ติงซานฉือก็สามารถเอาชื่อของเจ้าไปหากินได้ชั่วชีวิตแล้ว”
ยิ่งพูดหวังฉีกงก็ยิ่งมีลักษณะโกรธแค้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ก็นี่แหละขอรับที่เรียกว่าอิจฉา”
หลินเป่ยเฉินพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ไม่ได้อิจฉา”
หวังฉีกงร้องเสียงหลงราวแมวน้อยถูกเหยียบหาง ก่อนพูดเสียงเข้มว่า “ข้าเนี่ยนะจะอิจฉาเขา? ก็แค่เขาไม่สมควรมีลูกศิษย์ประเสริฐอย่างเจ้ามากกว่า”
“นี่เรียกว่าอิจฉาริษยาและแค้นฝังหุ่นเลยนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้ง
“ผายลมมารดาเจ้าเถอะ… เจ้าเด็กสมองเสื่อม”
หวังฉีกงพยายามสงบจิตสงบใจของตนเองลง ก่อนถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ไหน ๆ เจ้าก็มาที่นี่เพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์แล้ว นับจากวันนี้ไป เจ้าคือลูกศิษย์ของข้าแต่เพียงผู้เดียว หาได้เป็นลูกศิษย์ของติงซานฉือไม่…”
“ช้าก่อน”
หลินเป่ยเฉินยกมือห้ามและถามว่า “ผู้อาวุโสจะให้ข้าน้อยทรยศอาจารย์ของตนเองหรือขอรับ?”
“พูดให้ถูกต้องเรียกว่าข้าต้องการให้เจ้าทิ้งเขามาต่างหาก”
หวังฉีกงกล่าวโดยไม่ปิดบัง
“หากเพื่อได้เรียนการสร้างค่ายอาคมกระบี่แล้วต้องทรยศอาจารย์ของตนเอง” หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าน้อยก็คงไม่ใช่มนุษย์อีกแล้ว”
“ใครบอกว่าเมื่อเจ้าทิ้งติงซานฉือมากราบข้าเป็นอาจารย์ แล้วข้าจะสอนวิชาการสร้างค่ายอาคมให้กับเจ้า?” หวังฉีกงพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ “ข้าเพียงให้โอกาสเจ้าได้เป็นศิษย์ข้าก่อนเท่านั้น ส่วนเจ้าจะได้เรียนเรื่องการสร้างค่ายอาคมกระบี่หรือไม่ ย่อมขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเจ้า เราสามารถพูดคุยเรื่องนี้กันอีกครั้งในอีกสามสิบหรือสี่สิบปีข้างหน้า”
หลินเป่ยเฉินแทบไม่เชื่อหู ถอนหายใจและกล่าวว่า “ที่แท้ผู้ที่ไร้ยางอายที่สุดก็คือผู้อาวุโสหวังนี่เอง”
“เจ้าชื่นชมเราผู้เฒ่าเกินไปแล้ว”
หวังฉีกงยกมือลูบหนวดเคราพลางหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ข้าน้อยขอลาก่อนขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวเดินจากมาอย่างไร้เยื่อใย
“พนันกันก็ได้”
หวังฉีกงมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินและกล่าวด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ “เจ้าเดินออกไปไม่พ้นลานหน้าสำนักของข้าหรอก… เหอเหอ เดี๋ยวเจ้าก็ต้องวิ่งกลับมาคุกเข่าต่อหน้าข้า หากเจ้าไม่ทำเช่นนั้น เราผู้เฒ่ายินดีเขียนชื่อตัวเองกลับหัว”
ร่างของหลินเป่ยเฉินเดินหายลับไปจากลานหน้าสำนักแล้ว
หวังฉีกงยังคงไม่ได้มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจ
ชายชราแสยะยิ้มอย่างผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า “พนันกันก็ได้ว่าเจ้าเดินไปไม่พ้นประตูทางเข้าของสำนักกระบี่มนตราเรา เหอเหอ เดี๋ยวเจ้าก็ต้องกลับมากราบข้าเป็นอาจารย์”
หลินเป่ยเฉินไม่ตอบสนองคำใด
เยว่หยาเอ๋อกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนขอบกำแพงหินจุดหนึ่งราวกับเป็นกระต่ายน้อย นางยกมือป้องดวงตาและพูดอย่างมีความสุข “ท่านปู่เจ้าคะ เขาไปแล้วเจ้าค่ะ เดินออกนอกประตูสำนักเราไปแล้ว”
หวังฉีกงดึงหนวดของตัวเองติดมือออกมาเส้นหนึ่ง พยายามไม่แสดงท่าทีร้อนใจ “เด็กคนนี้ใจแข็งเหมือนกันนี่ แต่ปู่พนันได้เลยว่าเขาเดินไปได้ไม่ถึงครึ่งลี้ เดี๋ยวก็ต้องกลับมา…”
“ท่านปู่เจ้าคะ เขาเดินไปไกลหลายลี้แล้วนะเจ้าคะ…”
“ฮ่า ๆๆ งั้นรอให้เขาเดินไปถึงถนนฝูลั่วเสียก่อนเถอะ”
“ไปถึงแล้วเจ้าค่ะ และเดินผ่านไปแล้วเจ้าค่ะ”
“หา? เป็นไปไม่ได้… ปู่ไม่เชื่อ เขาต้องกลับมาสิ เขาต้องกลับมากราบปู่เป็นอาจารย์”
“ท่านปู่เจ้าคะ พี่ชายท่านนั้นนอกจากจะผ่านถนนฝูลั่วไปแล้ว ยังผ่านป้อมปราการร้าง ผ่านสะพานรังนก และผ่าน… บัดนี้หลานมองเขาไม่เห็นอีกแล้ว”
“ว่าอย่างไรนะ? เจ้าเด็กคนนี้จิตใจแข็งกระด้างเกินไปแล้ว ปู่ไม่อยากเชื่อ เขาเห็นค่ายอาคมกระบี่ของปู่ไปถึงขนาดนั้น จะไม่อยากเรียนรู้ได้อย่างไร ติงซานฉือมีดีอันใด เป็นเพียงคนไร้ยางอายและเศษสวะเท่านั้น ดูอย่างศิษย์คนก่อนหน้าของมันสิ แล้วทำไมหลินเป่ยเฉินถึงไม่ทิ้งมันมา?”
“ท่านปู่ หลานคิดว่าคนที่จะต้องเสียใจคงเป็นท่านปู่แล้วล่ะ”
“เหอะ ทำไมปู่ต้องเสียใจด้วย?”
“เพราะว่าท่านปู่ปากร้ายเกินไปน่ะสิ พี่ชายท่านนั้นควบคุมกระบี่ได้ ท่านปู่ไม่เห็นหรือ?”
“ปู่ต้องเห็นอยู่แล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ปู่… เดี๋ยวก่อน เจ้าหมายความว่าหลินเป่ยเฉินสามารถใช้พลังจิตควบคุมกระบี่ได้เหมือนเจ้าอย่างนั้นหรือ? นับเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีเยี่ยม แต่ว่า…”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ เขาไม่เหมือนหลาน เขาไม่ได้ใช้พลังจิต เขาสามารถควบคุมกระบี่ได้ดีมากกว่าหลาน ท่านปู่เจ้าคะ หลานรู้สึกว่าพี่ชายท่านนี้น่าจะมีร่างกระบี่พิสุทธิ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ท่านปู่ตามหาอยู่เจ้าค่ะ”
“อะไรนะ? เจ้ากำลังหมายถึงร่างกระบี่พิสุทธิ์ในคัมภีร์โบราณอย่างนั้นหรือ? มันจะเป็นไปได้อย่างไร?”
“ท่านปู่ย่อมรู้ดีว่าหลานมีสายตาเฉียบแหลมเพียงใด”
“เจ้า… หยาเอ๋อ เจ้าคงไม่ได้โกหกปู่หรอกใช่ไหม?”
“ไม่ได้โกหกเจ้าค่ะ เมื่อสักครู่ ปู่ก็ได้เห็นด้วยตาของตนเองแล้วนะเจ้าคะ พี่ชายท่านนั้นสามารถควบคุมกระบี่ได้โดยไม่ต้องใช้พลังลมปราณและไม่ต้องใช้พลังจิต… หากหลานคาดเดาไม่ผิด นี่จะต้องเป็นพลังของ ‘ร่างกระบี่พิสุทธิ์’ อย่างแน่นอน”
“ไปกันเถอะ”
“ไปไหนเจ้าคะ?”
“ไปขอร้องให้เขากลับมา”
“แต่ท่านปู่บอกว่าหากเขาไม่ยอมกลับมา ท่านปู่จะเขียนชื่อตนเองกลับหัว…”
“เฮ้อ เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว จะเขียนชื่อกลับหัวหรือไม่ สำคัญตรงไหนกัน”
…
คฤหาสน์ท่านเจ้าเมือง
กระบี่ในมือลู่กวนไห่ตวัดฟันอย่างไร้ความเมตตา
มือกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามที่พุ่งเข้ามาสิบกว่าคนยังไม่ทันได้ตอบสนอง พวกมันเห็นเพียงแสงสว่างวูบวาบปรากฏขึ้นเบื้องหน้า แล้วดวงตาก็มืดมิด สติสัมปชัญญะดับวูบลง ความตายอันเยือกเย็นมาถึงโดยไม่ทันรู้ตัว
ลั่วเซวียนผู้อาวุโสหญิงจากสำนักมหากระบี่ล่าถอยไปด้วยความตื่นตระหนก
วิชากระบี่ระดับนี้ นางไม่สามารถต้านทานได้
กล่าวตามความสัตย์จริง นางไม่สามารถรับมือได้เกินสามกระบวนท่าด้วยซ้ำ
แต่ลู่กวนไห่มีเจตนาชัดเจนว่าจะไม่ปล่อยนางไป
คมกระบี่สาดประกายวูบ
รังสีกระบี่พุ่งเข้ามาหาลั่วเซวียนด้วยความเร็วไว
“ผู้อาวุโส ได้โปรดช่วยเหลือข้าน้อยด้วย”
ลั่วเซวียนร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นกลัว
วูบ!
ปรากฏลำแสงกระบี่อีกหนึ่งสายพุ่งออกมาจากกลางอากาศ
เคร้ง!
กระบี่ในมือลู่กวนไห่ปะทะเข้ากับลำแสงกระบี่สายนั้น แล้วกระบี่ของนางก็แตกกระจายไม่เหลือชิ้นดี
“พลังของขั้นเซียนระดับแปด?”
สีหน้าของลู่กวนไห่แปรเปลี่ยนไปทันทีขณะรีบกระโดดถอยหลังกลับ
ในที่สุด ยอดฝีมือที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว