บทที่ 1134 ยอดมือกระบี่ที่แท้จริง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 1,134 ยอดมือกระบี่ที่แท้จริง

“ท่านผู้อาวุโส”

ลั่วเซวียนก้าวถอยหลัง สีหน้าตื่นกลัว ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนจะหันไปประสานมือคำนับผู้ที่เข้ามาช่วยชีวิตตนเอง

“ถอยไปซะ”

เสียงที่ทรงอำนาจและเย็นชาดังกังวาน

มวลอากาศปั่นป่วนโกลาหล บุคคลไม่สูงไม่เตี้ยสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีเทาผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น ชายชราผู้นี้มีหน้าตาราบเรียบธรรมดา หาได้มีรังสีความอำมหิตอันตรายไม่

แต่เพียงกระบวนท่าเดียวของเขา ก็สามารถสลายการโจมตีของลู่กวนไห่ได้โดยทันที

“ข้าน้อยขอคารวะท่านผู้อาวุโสสูงสุด”

บรรดาผู้คนจากสำนักมหากระบี่ที่อยู่โดยรอบรีบประสานมือก้มศีรษะลง

ในเวลาเดียวกันนี้

มือที่ขาวผ่องของลู่กวนไห่ก็ปรากฏประกายสีเทาครอบคลุม นางใช้นิ้วมือข้างซ้ายของตนเองกดจุดลงไปที่ข้อมือข้างขวา ก่อนจะถ่ายทอดพลังลมปราณลงไป

พรึ่บ!

ทันใดนั้น นิ้วก้อยข้างขวาก็ระเบิดกระจายเป็นม่านหมอกเลือด

พลังลมปราณกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามที่แทรกซึมเข้ามาในข้อมือของนางถูกขับไล่ออกไปผ่านบาดแผลบริเวณนิ้วก้อยที่ระเบิดกระจุยนั้น

ลู่กวนไห่ระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและนิ้วก้อยของนางก็ค่อยๆ งอกกลับคืนมาใหม่อีกครั้ง

หญิงสาวขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด

นางเงยหน้ามองไปที่กลุ่มคนของสำนักมหากระบี่และกล่าวว่า “เมืองไป๋หยุนปกครองอยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิเป่ยไห่ อีกทั้งยังอยู่ภายใต้บารมีขององค์เทพีกระบี่ ซ้ำยังเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสโจมตีคนของเราเช่นนี้ มีเจตนาตั้งตนเป็นศัตรูกับผู้คนใช่หรือไม่?”

“เฮอะ”

ลั่วเซวียนผู้อาวุโสหญิงจากสำนักมหากระบี่พ่นลมผ่านทางจมูกอย่างเย็นชา “เมืองเล็ก ๆ ของพวกเจ้า เปรียบดั่งวัชพืชต้นหนึ่งในป่าใหญ่ มีค่าให้ผู้คนสนใจอันใด?”

ลู่กวนไห่ไม่แม้แต่ชำเลืองมองลั่วเซวียนด้วยหางตาสักนิด นางยังคงจ้องมองตรงไปที่ชายชราปริศนาไม่วางตา

ในแผ่นดินตงเต้า ในบรรดาสำนักกระบี่ทั้งหลาย สำนักมหากระบี่คือหนึ่งในห้าสำนักใหญ่ทั่วดินแดน

ผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเขามีนามว่าเจี๋ยนอู่จี เปรียบดั่งผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดพีระมิด

ชายชราผู้นี้นอกจากมีระดับพลังแข็งแกร่งและฝีมือการต่อสู้ล้ำเลิศ ยังได้รับการประทานพรจากเทพเจ้า ดังนั้นเจี๋ยนอู่จีจึงกุมอำนาจมหาศาลอยู่ในมือ ว่ากันว่าเพียงออกคำสั่งคำเดียว มือกระบี่จำนวนสามล้านคนก็พร้อมสละชีวิตเพื่อเขาได้โดยไม่ลังเล

สำหรับผู้มีพลังขั้นเซียนจำนวนมาก เจี๋ยนอู่จีจึงเปรียบเสมือนเทพเจ้าบนโลกมนุษย์ สูงส่งจนต้องแหงนหน้ามองจากพื้นดินอันต่ำต้อย

“หลีกไป”

เจี๋ยนอู่จีกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ลั่วเซวียนหยุดชะงักและรีบล่าถอยไปโดยเร็ว

หัวใจของนางยังคงร้อนผ่าวด้วยความโกรธแค้น หญิงสาวกำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับผู้อาวุโสสูงสุด แต่แล้วก็นึกได้ว่านั่นเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสม บนหน้าผากของลั่วเซวียนจึงมีเม็ดเหงื่อผุดซึมขึ้นมา

เจี๋ยนอู่จีหันกลับมามองที่ลู่กวนไห่อย่างช้า ๆ สายตาของเขาคมกริบไม่ต่างจากคมกระบี่ทิ่มแทง ก่อนพูดออกมาอีกครั้ง “ในเมื่ออยู่ที่นี่แล้ว เหตุไฉนไม่ปรากฏตัวออกมา?”

ทันใดนั้น…

“หึหึ ท่านผู้อาวุโสช่างดุดันเสียจริง”

ในมวลอากาศที่ว่างเปล่าพลันปรากฏประกายแสงสว่างระยิบระยับ

และเงาร่างอรชรของหญิงสาวนางหนึ่งก็ลอยตัวอยู่เหนือศีรษะพวกของลู่กวนไห่

นางสวมใส่ชุดเกราะสีขาวราวหิมะ ไม่แปดเปื้อนคราบสิ่งสกปรกสักจุดเดียว

เส้นผมสีดำยาวสลวย

ใบหน้าสวมหน้ากากที่แปลกประหลาด

ย่อมต้องเป็นหญิงปริศนาหัวหน้าคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง

ไม่ทราบเลยว่าพวกเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่ทันทีที่สตรีผู้สวมใส่หน้ากากเงินคนนี้ปรากฏตัว มือกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนทุกคนต่างก็รู้สึกว่าแรงกดดันและความหวาดหวั่นในจิตใจได้อันตรธานหายไปแล้ว

“ผู้อาวุโสหลินคิดปกป้องเมืองไป๋หยุนอย่างนั้นหรือ?”

ตลอดทั่วทั้งใบหน้าของเจี๋ยนอู่จีปกคลุมไปด้วยม่านพลังสีเทาเบาบาง ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นสีหน้าของชายชราได้แน่ชัด แต่น้ำเสียงคุกคามนั้นคือสิ่งที่สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน

“เราไม่ได้ปกป้องผู้ใดทั้งสิ้น”

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากกล่าวเสียงเย็นชา “แต่งานประลองกระบี่ยังไม่จบ ห้ามไม่ให้มีผู้ใดมาก่อความวุ่นวายในเมืองไป๋หยุน มิเช่นนั้นจะถือเป็นศัตรูของกลุ่มพันธมิตรเรา”

“จริงหรือ?”

เสียงพูดของเจี๋ยนอู่จีแฝงความเย็นชาไว้หลายส่วน “หากเป็นศัตรูกับกลุ่มพันธมิตรท่านแล้วจะเป็นเช่นไร?”

“ท่านจะลองดูก็ได้”

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากไม่ได้มีท่าทีหวาดหวั่นต่อการข่มขู่ของชายชราแต่อย่างใด น้ำเสียงของนางยังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง “แต่โปรดคิดดูให้ดีว่าสำนักมหากระบี่ของท่านจะรับผลที่ตามมาได้หรือไม่”

“เป็นเพียงหัวหน้าคณะทูต คิดหรือว่าจะมีคนคุ้มหัวท่านจนถึงที่สุด?”

เจี๋ยนอู่จีค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า

แต่ละครั้งที่ชายชราก้าวเดิน คลื่นพลังจะแผ่กระจายออกมาจากสองเท้า ส่งผลให้พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นเล็กน้อย

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากไม่ได้พูดคำใดอีก

การโคจรพลังลมปราณเต็มอัตราของนางคือคำตอบที่อธิบายทุกอย่างได้เป็นอย่างดี

ไม่มีการไว้หน้า

แม้แต่เจี๋ยนอู่จีซึ่งเป็นยอดมือกระบี่ชื่อดังทั่วดินแดน ก็ยังรู้สึกได้ว่าสตรีผู้สวมใส่หน้ากากนางนี้มีพลังแข็งแกร่ง และไม่เกรงกลัวตนเองแม้แต่น้อย แสดงว่าคงมีความมั่นใจในวิทยายุทธ์ของตนอยู่หลายส่วน

ลู่กวนไห่รีบนำบรรดาลูกศิษย์ชาวเมืองไป๋หยุนล่าถอยออกไป

เมื่อผู้มีพลังขั้นเซียนระดับสูงต่อสู้กัน สิ่งที่คนอื่นควรทำคือหลีกหนีไปให้ไกลมากที่สุด แม้แต่ผู้มีพลังขั้นเซียนก็อาจได้รับลูกหลงจนบาดเจ็บสาหัส นับประสาอะไรกับมือกระบี่ทั่วไปที่มีขั้นพลังอยู่ในระดับปรมาจารย์เท่านั้น

ในเวลาเดียวกันนี้

ลั่วเซวียนผู้อาวุโสหญิงจากสำนักมหากระบี่ก็นำลูกสมุนของตนเองล่าถอยออกไปเช่นกัน

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากนางนี้เป็นใครมาจากไหน เพราะเหตุใดถึงกล้าเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสสูงสุดเจี๋ยนอู่จี?

ลั่วเซวียนรู้สึกสงสัยใจเป็นอย่างยิ่ง

สำนักมหากระบี่มีสถานะสูงส่งในแผ่นดินตงเต้า

ต่อให้เป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง เมื่อเผชิญหน้ากับคนจากสำนักมหากระบี่ ส่วนใหญ่คนเหล่านั้นก็เลือกที่จะก้มหัวหลีกทางให้ ไม่มีผู้ใดกล้าแข็งข้อต่อบุคคลระดับสูงในสำนักเช่นผู้อาวุโสเจี๋ยนอู่จีมาก่อน

“ไม่ว่าใครก็ตามที่มาขวางทางข้าในวันนี้ พวกมันจะต้องชดใช้”

เจี๋ยนอู่จียังคงก้าวเดินมาข้างหน้าอย่างมั่นคง “และพวกมันต้องชดใช้ด้วยชีวิต”

พลังลมปราณถูกปลดปล่อยออกมาอย่างรุนแรง

มวลพลังกดดันครอบคลุมลงมาจากผืนฟ้า ปกคลุมกำแพงหิน สวนหย่อมหน้าจวนท่านเจ้าเมือง และถึงกับทำให้อาคารหลังเล็กหลังน้อยถล่มทลายกลายเป็นฝุ่นผงไปในชั่วพริบตาเดียว

ลำแสงกระบี่สายหนึ่งพุ่งตรงออกมา

อย่างแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัว

“โจมตีแล้วหรือ?”

สตรีผู้สวมใส่หน้ากากไม่เกรงกลัว “ถ้าอย่างนั้นก็ขอเสียมารยาทแล้ว”

เรือนร่างอรชรของนางลอยอยู่กลางอากาศ ชุดกระโปรงสีขาวปลิวไสวตามแรงลมราวกับเกล็ดหิมะบริสุทธิ์ หลังจากนั้น เงากระบี่ก็แผ่สยายออกราวกับการแพนหางของนกยูงที่เบื้องหลัง ชวนให้ผู้คนรู้สึกงุนงงว่านี่คือความฝันหรือความจริงกันแน่

พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากเงากระบี่ของสตรีผู้สวมใส่หน้ากาก อาจมีความหนาแน่นหนักหน่วงเทียบไม่ได้กับพลังของเจี๋ยนอู่จี แต่ถึงกระนั้น มันก็มีกระแสคุกคามพร้อมจะกรีดแทงทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า

มือของเจี๋ยนอู่จีค่อย ๆ เลื่อนไปจับด้ามกระบี่ที่เหน็บอยู่ข้างเอว

มือที่ขาวผ่องของสตรีผู้สวมใส่หน้ากากยกขึ้นมาพนมบริเวณหน้าอก หลังจากนั้นเงากระบี่อีกหลายสายก็เบ่งบานออกมาจากนิ้วมือของนางอย่างแช่มช้า

บรรดาผู้คนทั้งสองฝั่งต่างก็ล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

คลื่นพลังพลันระเบิดออกมาจากร่างกายของผู้มีพลังขั้นเซียนทั้งสอง

และแล้วการต่อสู้ก็อุบัติขึ้น

สำนักกระบี่อมตะ

“ฝึกหนักให้มากกว่านี้อีก”

หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอดด้วยความร้อนใจ

เผิงอี้เหลียงมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับแปด อีกเพียงนิดเดียวก็จะขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ระดับเก้า ซึ่งถือเป็นขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย บัดนี้ เด็กหนุ่มกำลังยืนโยกย้ายส่ายเอวเต้นแอโรบิกอย่างบ้าคลั่งภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของเจ้าหนูอากวงและเซียวปิง

บรรดามือกระบี่คนอื่น ๆ ที่กำลังออกกำลังกายตามปกติอดหันไปมองเผิงอี้เหลียงด้วยความสงสารไม่ได้

เด็กคนนี้โชคร้ายมากเกินไป

ไม่มีใครทราบเลยว่าเหตุไฉนเขาจึงถูกหลินเป่ยเฉินดูแลดีเป็นพิเศษเช่นนี้

หลินเป่ยเฉินเลื่อนสายตาจับจ้องไปที่เฉียนเหมย

เฉียนเหมยก็กำลังเต้นแอโรบิกอย่างหนักหน่วงเช่นกัน

หลังจากติดตามรับใช้หลินเป่ยเฉินมายาวนาน เด็กสาวย่อมคาดเดาความคิดของผู้เป็นเจ้านายออก นางรู้ว่าการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายของตนเองในครั้งนี้ ดูเหมือนจะมีความสำคัญต่อนายท่านเป็นอย่างมาก

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเอง

เมื่อเหตุการณ์ล่วงเลยมาถึงตอนนี้ เฉียนเหมยก็ยังคงเป็นผู้ที่น่าจะเลื่อนขั้นพลังได้มากที่สุด แต่หลินเป่ยเฉินไม่มั่นใจเลยว่านางจะสามารถทำได้สำเร็จก่อนเวลาในการทำภารกิจของแอป Keep จะหมดลงหรือไม่?

หรือว่าจะใช้ทางลัดในการเพิ่มพลังดีนะ?

หากลากเฉียนเหมยขึ้นเตียงและถ่ายทอดพลังให้นางผ่านการร่วมรัก เฉียนเหมยจะสามารถเลื่อนขั้นพลังได้หรือไม่?

หลินเป่ยเฉินนั่งคิดอยู่อึดใจใหญ่ ก็ตัดสินใจรอคอยอีกนิด

หากถึงช่วงโค้งสุดท้ายของภารกิจแล้วเฉียนเหมยยังเลื่อนขั้นพลังไม่ได้จริง ๆ ก็ค่อยพานางขึ้นเตียงไปอัดฉีดพลังแล้วกัน

รอให้ถึงช่วงก่อนหมดเวลาทำภารกิจสักห้านาที

เวลาเพียงเท่านั้นก็น่าจะพอแล้ว