ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 930 เขาทุ่งวิจิตรเสียหน้าแล้ว

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

บนเรือนภาบัวแดงมีเสียงของสตรีดังมา “ท่านข่มขู่ข้าหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยอย่างเฉยชา “ท่านเทพธิดาล้อเล่นแล้ว แม้ข้าผู้แซ่เยี่ยนจะไม่เก่งกล้าสามารถ แต่ก็ไม่คิดจะเสวนากับคนระดับพวกเขา”

“จักรพรรดิแพรต้อนรับขับสู้ข้าอย่างดี ข้ารำลึกถึงมาโดยตลอด สงครามระหว่างเขากับทวนพระอังคารใกล้เข้ามาแล้ว ตอนนี้หากที่นี่เกิดความขัดแย้งขึ้น ก็ดูจะไม่ค่อยโสภานัก”

“เมื่อพบเจอโดยบังเอิญ เพื่อป้องกันไม่ให้คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงก่อเรื่อง ข้าจึงลงมือขจัดเพทภัย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะทำให้ท่านเทพธิดาเข้าใจผิด”

“แต่ข้าไม่สนใจความเป็นความตายของเขาจริงๆ”

พวกเฉิงโม่ที่เป็นจอมยุทธ์จากอารามคงมายา กับลูกศิษย์จากยอดเขาอัศจรรย์ที่มาส่งแขกผู้นั้นสบตากัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไร้คำพูด

ไม่คิดจะเสวนากับคนระดับพวกเขา…

คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง…

ไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเขา…

คนที่เยี่ยนจ้าวเกอพูดถึง ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงทั้งสิ้น

อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้สืบทอดทั่วไป แต่ว่าเป็นลูกศิษย์ของประมุขประจิมแห่งเขาทุ่งวิจิตร!

ในเขตกระฟ้าประจิมล้วนเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจ สำหรับโลกซ้อนโลกเองก็ถือเป็นผู้ที่มีเบื้องหลังแข็งแกร่ง กอปรด้วยพลังอันโดดเด่นเช่นกัน

ในนี้แม้ว่าจะไม่มีบุคคลระดับม่อเฉิงอยู่ แต่สามารถฝึกฝนถึงระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงได้ แล้วจะมีผู้ใดไม่ใช่บุคคลระดับอัจฉริยะบ้าง

หากกลับไปช่วงวัยเยาว์ แต่ละคนล้วนโดดเด่นออกมาจากคนจำนวนนับไม่ถ้วน

เฉิงโม่กล่าวคำพูดเหล่านี้ยังพอว่า แต่ปัญหาก็คือระดับพลังฝึกปรือในปัจจุบันของเยี่ยนจ้าวเกอ ก็เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงเช่นกัน

นอกจากเฉิงโม่และกวนอวี่ลั่วแล้ว จอมยุทธ์จากอารามคงมายาและลูกศิษย์ของยอดเขาอัศจรรย์ผู้นั้นที่อยู่ใกล้ๆ ล้วนเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดง

ทว่ายามนี้พอมองดูลูกศิษย์เขาทุ่งวิจิตรเหล่านั้น ทุกคนก็อดหัวเราะด้วยความขื่นขมอยู่ในใจไม่ได้

ผู้สืบทอดของประมุขอุดร แห่งอารามคงมายา

ผู้สืบทอดของประมุขประจิม แห่งเขาทุ่งวิจิตร

ผู้สืบทอดของจักรพรรดิแพร แห่งยอดเขาอัศจรรย์

ไม่ว่าจะเป็นคนจากสำนักใด ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะทั้งสิ้น

กระนั้นตอนนี้ไฉนพวกเขาถึงได้รู้สึกว่า อัจฉริยะอย่างพวกเขาไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันกับคนหนุ่มสวมอาภรณ์สีขาว ทับด้วยเสื้อคลุมสีน้ำเงินเบื้องหน้าผู้นี้จริงๆ

“หรือท่านเทพธิดาคิดว่าข้าควรจะปล่อยคนที่นินทาผู้อื่นลับหลังเหล่านี้ไป”

“เหอะๆ…” เยี่ยนจ้าวเกอเงยหน้ามองเรือนภาบัวแดง “พวกเขาก็คู่ควรหรือนี่”

กวนอวี่ลั่วมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความงงงัน

จะว่าไป ในสายตาของคนบางคนก็อาจจะเป็นเช่นนี้จริงๆ

ฝ่ายหนึ่งคือผู้สืบทอดของประมุขผู้ยิ่งใหญ่ อีกฝ่ายมาจากสำนักที่ขึ้นมาจากโลกเบื้องล่าง

ต่อให้ฝ่ายแรกจะพูดจาดูแคลน ฝ่ายหลังแม้ไม่พอใจอย่างไร แค่หลบเลี่ยงก็เพียงพอแล้ว

ไม่อย่างนั้นต่อให้ท่านจะจัดการลูกศิษย์เขาทุ่งวิจิตรเหล่านี้ จนสะกิดต่อมความโกรธของประมุขประจิม คิดว่าต่อจากนั้นยังจะไม่ถูกเอาคืนอีกหรือ?

ถึงขั้นที่ในตอนนี้อาจจะสะกิดความโกรธของเทพธิดาสสารกำเนิด สหายสนิทของภรรยาของประมุขประจิม เป็นเหตุให้ถูกเล่นงานในทันทีด้วย

กระนั้นพอเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกับตัวเยี่ยนจ้าวเกอ กลับมอบความรู้สึกสมเหตุสมผลให้แก่กวนอวี่ลั่ว

ถ้าหากว่าเยี่ยนจ้าวเกออดกลั้น นั่นต่างหากที่จะผิดปกติ

แม้แต่เทพธิดาสสารกำเนิดลงมือ เขาก็ยังป้องกันไว้ได้

บุคคลเช่นนี้หากต้องหลบเลี่ยงลูกศิษย์เขาทุ่งวิจิตรเหล่านั้น ไหนเลยจะไม่ใช่เรื่องน่าหัวร่อ

บนเรือนภาบัวแดงมีเสียงดังมา “อ้อ? ท่านกล่าววาจาน่าสนใจยิ่ง แต่ถ้าหากว่าประมุขประจิมอยู่ที่นี่ ไม่ทราบว่าท่านจะยังคลุ้มคลั่งเช่นนี้หรือไม่”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเฉยชา “บางทีอาจจะพรากชีวิตของคนเหล่านี้ไม่ได้ แต่ข้าก็ยังอยากจะลองดูอยู่ดี”

บนเรือมีเสียงของสตรีดังขึ้นอีก “การต่อสู้ของศิษย์พี่และทวนพระอังคารดึงดูดสายตาของคนทั้งโลก ไม่สมควรให้เกิดเรื่องแทรกซ้อน ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจัดการคนไม่มีตามาก่อเรื่อง”

“ท่านต้องการขึ้นเรือไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ขึ้นมาเถอะ”

กวนอวี่ลั่วมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความเป็นห่วงเล็กน้อย

วาจาของเถาอวี้มีความกำกวมอยู่บ้าง เหมือนเห็นด้วยกับคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ก็เหมือนกับมีความนัยอย่างอื่น

เมื่อขึ้นไปบนเรือนภาบัวแดง มิพักเอ่ยถึงเถาอวี้จะครองความได้เปรียบด้านสถานที่ ต่อให้เกิดอะไรขึ้นบนเรือ โลกภายนอกก็ยากจะรู้

ในขณะที่ลงมือเมื่อครู่ ยอดฝีมือที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าผู้นี้ไม่ได้ใช้อาวุธ

“กำลังมีความคิดเช่นนี้อยู่พอดี” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะฮ่าๆ ประสานมือบอกลาพวกเฉิงโม่และกวนอวี่ลั่ว จากนั้นก็หันไปมองลูกศิษย์หญิงจากยอดเขาอัศจรรย์ผู้นั้น

อีกฝ่ายมีสีหน้าซับซ้อนอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงนำทางเยี่ยนจ้าวเกอขึ้นเรือไป

ครั้นเยี่ยนจ้าวเกอจากไป แสงสายฟ้าอันมืดมิดที่ครอบคลุมบริเวณรอบๆ ก็ไม่ได้แตกออก เพียงสลายไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียง

คนจากเขาทุ่งวิจิตรที่ถูกสายฟ้าอนธการสะกดไว้ก่อนหน้านี้ พากันได้การรับรู้กลับคืนมา

สายตาของพวกเขายังคงมองไปยังทิศที่เยี่ยนจ้าวเกอมาก่อนหน้า แต่กลับเห็นมู่จวินจากเขาโถงทองแทน

เขาทุ่งวิจิตรกับเขาโถงทองไม่ลงรอยกัน จอมยุทธ์เขาทุ่งวิจิตรหลายคนครั้นเห็นมู่จวินที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสะพานเซียน ต่างก็แสดงความระมัดระวังออกมา

เมื่อพวกเขาละสายตากลับมา ก็พบว่าลูกศิษย์ยอดเขาอัศจรรย์ที่มาส่งพวกเขาลงเรือก่อนหน้านี้หายตัวไปแล้ว จึงถามไถ่พวกเฉิงโม่เพราะความฉงนฉงายที่อดไม่อยู่

คนจากอารามคงมายามีสีหน้าแปลกพิกล ใช้สายตาประหลาดใจพิจารณาพวกเขา

จอมยุทธ์จากเขาทุ่งวิจิตรหลายคนมีใบหน้าสับสน “เป็นอะไรไป”

มู่จวินทักทายเฉิงโม่ ก่อนจะพิจารณาจอมยุทธ์เขาทุ่งวิจิตรเหล่านั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า “คุณชายเยี่ยนดูเหมือนไม่ได้ลงมือโดยอำมหิต ไม่ได้ระเบิดสายฟ้าอนธการ”

อีกฝ่ายประหลาดใจเหลือแสน ขนลุกชูชันที่ด้านหลัง “สายฟ้าอนธการ…เยี่ยน…”

ลูกศิษย์ประมุขประจิมเกิดความรู้สึกมากมาย เพราะพวกเขาย่อมเคยได้ยินความน่าเกรงขามของสายฟ้าอนธการมาก่อน

ครั้นเชื่อมโยงความสามารถของมันเข้ากับวาจาของมู่จวิน พวกเขาก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นมา

“หยุดกล่าวเหลวไหล…” หลายคนมองไปยังจอมยุทธ์จากอารามคงมายาที่อยู่ด้านข้างโดยสัญชาตญาณ

เฉิงโม่ถอนใจ ไม่ได้พูดอะไร

พวกเขาไม่ได้มีความขัดแย้งกับเขาทุ่งวิจิตร จึงไม่คิดจะถมหินลงบ่อ

แต่ความเงียบงันของคนจากอารามคงมายา ถือเป็นการชี้แจงคำตอบอย่างชัดเจน

จอมยุทธ์เขาทุ่งวิจิตรตะลึงลาน “เป็นไปได้อย่างไร”

พวกเขารีบกวาดสายตามองรอบๆ เห็นแต่เพียงจอมยุทธ์จากขุมกำลังอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกมา คล้ายพิจารณาทางนี้ด้วยความสนใจ

ทว่าพอเห็นเรือนภาบัวแดงกลับคืนสู่ความสงบดั่งเดิม คนที่อยู่ห่างออกไปก็ละความสนใจ

กระนั้นการเคลื่อนไหวนี้ก็ได้บอกจอมยุทธ์เขาทุ่งวิจิตรเหล่านี้ว่า เมื่อครู่ทางพวกเขาเพิ่งจะเกิดเรื่องที่ดึงดูดความสนใจของคนอื่นจริงๆ

แต่ปัญหาก็คือ…

จนถึงตอนนี้พวกเขายังนึกไม่ออก ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่

นี่หมายความว่า มีคนชิงการรับรู้ของพวกเขาไปจริงๆ

จอมยุทธ์เขาทุ่งวิจิตรคนหนึ่งถามอย่างยากลำบาก “เป็นเยี่ยนจ้าวเกอนั่นจริงๆ หรือ เขาแค่คนเดียวหรือ”

กวนอวี่ลั่วลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า

“ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

“ขึ้นเรือไปแล้ว”

จอมยุทธ์เขาทุ่งวิจิตรต่างตะลึงงันเป็นไก่ไม้

การหายตัวไปอย่างกะทันหันของลูกศิษย์ยอดเขาอัศจรรย์ที่เมื่อครู่เพิ่งส่งเขาลงเรือ ได้พิสูจน์ว่าวาจาของกวนอวี่ลั่วเป็นความจริง

ไม่ใช่จู่ๆ นางก็หายไป แต่ว่าเกิดเรื่องมากมายขึ้นตอนที่พวกเขาไม่รู้สึกตัว

เมื่อนึกได้ว่าเยี่ยนจ้าวเกอเดินเฉียดไหล่ไปขณะที่พวกเขาไม่รู้สึกถึงอะไรเลยเมื่อครู่ และนึกไปถึงสายฟ้าอนธการที่ไม่ได้ระเบิดนั้น จอมยุทธ์เขาทุ่งวิจิตรทั้งหมดต่างก็รู้สึกหนาวสันหลังวาบ

วาจาที่พวกตนสงสัยเยี่ยนจ้าวเกอก่อนหน้า ยังคล้ายดังก้องอยู่ข้างหู

อีกฝ่ายคงจะได้ยินแล้ว แม้แต่โต้เถียงยังคร้านจะโต้เถียง

แต่ต่อให้เขาไม่โต้เถียง ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่โต้ตอบ

พวกเขาแพ้แล้ว ไม่เพียงแต่แพ้เท่านั้น ยังทำเขาทุ่งวิจิตรเสียหน้าอีกต่างหาก

พวกเขาแม้กระทั่งไม่เห็นตัวเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่เห็นว่าคนผู้นี้มีหน้าตาอย่างไร!

………………..