ภาค 10 ขี่วายุทะลายคลื่นหมื่นลี้ บทที่ 929 เยี่ยนจ้าวเกอผู้หยิ่งผยอง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

‘เป็นสายฟ้าอนธการหรือ’

เฉิงโม่มีประสบการณ์มาก ทั้งยังมีพลังสายตาไม่ธรรมดา จึงดูเบื้องหลังของความมืดที่อยู่ตรงหน้าออกอย่างรวดเร็ว

สายฟ้าอนธการจะสร้างความมืดไร้สิ้นสุด สะกดความสามารถในการรับรู้ รวมไปถึงสติของคู่ต่อสู้ เหมือนกับม่านราตรีมาเยือน

จุดที่ตึงมือของมัน ไม่ได้อยู่ที่พลังทำลายล้าง

แต่อยู่ที่เมื่ออานุภาพของแสงสายฟ้าสูงถึงระดับหนึ่ง คนที่ถูกสายฟ้าอนธการครอบคลุมจะติดอยู่ในสภาวะที่ไม่คิด ไม่ฟัง และไม่เห็น ไร้ความรู้สึก เสมือนหลับลึก

หากมาถึงขั้นนี้แล้ว ย่อมได้แต่รอให้ผู้คนเชือดเฉือนตามใจ

นี่เป็นอานุภาพที่แท้จริงและความน่าอัศจรรย์ของสายฟ้าอนธการ หนึ่งในสายฟ้าเซียนทั้งเก้า

กระนั้นวิธีการนี้เกี่ยวข้องกับพลังฝึกปรือของทั้งสองฝ่าย

เฉิงโม่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าการกระตุ้นสายฟ้าอนธการของเยี่ยนจ้าวเกอ จะทำให้ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ในระดับเดียวกันติดอยู่ในสภาวะหลับไหล โดยที่ผู้เคราะห์ร้ายไร้ซึ่งความสามารถตอบโต้

นอกจากนี้ยังไม่ใช่แค่หนึ่งคนสองคน แต่เป็นคนกลุ่มหนึ่ง!

สิ่งที่ทำให้เฉิงโม่รู้สึกตะลึงลานก็คือ เยี่ยนจ้าวเกอกระตุ้นวิชาสายฟ้าให้ความมืดไร้สิ้นสุดครอบคลุมพื้นที่รอบๆ ทว่าจอมยุทธ์จากอารามคงมายาในเขตราตรีอุดรที่ติดอยู่ในความมืดเช่นกันกลับไม่ได้รับผลกระทบใด สายฟ้าอนธการเพียงส่งผลต่อจอมยุทธ์เขาทุ่งวิจิตรเท่านั้น

กวนอวี่ลั่วที่อยู่ในระดับมหาปรมาจารย์เองก็ไม่ได้รับผลกระทบเช่นกัน แสดงถึงการทำยากให้เป็นง่าย ควบคุมได้อย่างใจนึก ชนิดเคลื่อนใบมีดเหลือที่ว่างของเยี่ยนจ้าวเกอ

ยิ่งพลังฝึกปรือของจอมยุทธ์แข็งแกร่งเท่าไร ก็ยิ่งกระตุ้นสายฟ้าอนธการได้รุนแรงขึ้นเท่านั้น

เยี่ยนจ้าวเกอสามารถทำถึงขั้นนี้ได้ คนผู้นี้ต้องมีพลังฝึกปรือกล้าแข็งถึงระดับไหนกัน

เฉิงโม่สับสนอยู่ชั่วขณะ แต่ก็แน่ใจว่าเยี่ยนจ้าวเกอต้องเหนือกว่าจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงทั่วไปแน่นอน!

‘ผู้มีชื่อเสียงไร้คนจอมปลอม’ เฉิงโม่ถอนใจชมเชย แต่ก็ไม่ได้ผ่อนคลาย ‘แต่นี่ทำต่อหน้าเทพธิดาสสารกำเนิด…’

ทั้งสองฝ่ายอยู่ใต้เรือนภาบัวแดง หากมีการเคลื่อนไหวอะไรย่อมปิดบังเถาอวี้ที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าไม่ได้

และเป็นเช่นที่เขาคาดเดาไว้ ทันใดนั้นพลันมีคนแค่นเสียงอย่างเย็นชาจากบนเรือยักษ์

ไอเมฆสีอ่อนหลายสายปรากฏขึ้นโดยรอบ

ครั้นไอเมฆพอมาถึง มันกลับไม่ถูกความมืดกลืนกิน แต่คล้ายกำลังเจือจางความมืด ทำให้ม่านราตรีสีดำสนิทไม่บริสุทธิ์อีกต่อไป

ด้านในม่านราตรีเกิดทิวทัศน์สีขาวโพลนขึ้นแถบหนึ่ง

แต่วินาทีถัดมา ประกายแสงเจิดจ้าก็สว่างขึ้นจากด้านนอกความมืด ครอบคลุมความมืดเอาไว้ ทว่าความมืดกลับยังคงเป็นปกติ ส่วนแสงอาทิตย์บดบังอยู่ด้านบนความมืด เหมือนกับฉัตร

เมื่อถูกแสงอาทิตย์นี้สาดใส่ ไอเมฆสีอ่อนก็ไม่อาจเล็ดลอดเข้ามาในความมืดได้ในทันที

“ตราประทับตะวัน?” บนเรือนภาบัวแดงมีเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้น นางกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าไม่ต้องใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง ท่านก็ขัดขวางข้าไม่ได้อยู่ดี”

เรือนภาบัวแดงขนาดยักษ์ที่ลอยค้างอยู่กลางมิติพลันสั่นไหว

แสงสว่างรอบๆ เรือยักษ์ที่ราวกับกับบัวแดงเริ่มเบ่งบาน เปลวเพลิงปะทุพลันเกิดความแปรปรวน

บัวแดงขนาดใหญ่โตที่ยึดครองมิติ ยามนี้เหมือนกับส่ายไหวตามแรงลม

จอมยุทธ์ที่อยู่บนกลีบดอกบัวแดงมากมาย ต่างมองมายังตรงกลางบัวแดงด้วยความประหลาดใจ

รูปไท่จี๋กลางเรือนภาบัวแดงลอยขึ้น ดูดตราประทับตะวันไว้

เรือยักษ์นาวาเทพลำนี้ผ่านการปรับปรุงโดยจักรพรรดิแพร กลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าเรือนภาร่อนวายุธรรมดามากมายนัก

แม้จะไม่ใช่ของหายาก แต่ก็เป็นอาวุธที่ใช้ในการต่อสู้ชิ้นหนึ่ง

ตราประทับตะวันนั้นแข็งแกร่ง แต่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอยังไม่ได้ปีนขึ้นสะพานเซียน จึงไม่อาจแสดงความสามารถทั้งหมดของมันออกมาได้

รูปไท่จี๋ที่เกิดจากปราณสีขาวดำสองสายนั้นก็ไม่ได้ฝืนปะทะ เพียงแต่เกาะติดตราประทับตะวัน ทำให้มันไม่อาจร่วงตกได้ชั่วคราว

และในชั่วระยะเวลาสั้นๆ นี้ก็มากพอจะให้คนบนเรือนภาลงมือแล้ว

มีฝ่ามือข้างหนึ่งข้ามผ่านความมืดมาอย่างเงียบเชียบ บรรลุถึงด้านหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ!

เยี่ยนจ้าวเกอสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ยกขวานยักษ์ทำจากหยกขาวเล่มหนึ่งขึ้น แล้วจามใส่มือขาวผ่องที่ดูเหมือนอ่อนโยน แต่ความจริงน่าพรั่นพรึงข้างนั้น

พลังของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน แทบจะฉีกม่านราตรีที่ครอบคลุมผู้คนอยู่

กระนั้นเยียนจ้าวเกอกลับทิ่มนิ้วมืออีกข้างหนึ่งเบาๆ

คลื่นคลั่งหลายสายโหมซัดอยู่ใต้ม่านราตรีไม่หยุดยั้ง แต่กลับอยู่ในสมดุลอันน่าพิสดาร เพราะผลของดัชนีหยินหยาง

สุดท้ายราตรีสีดำที่เกิดจากแสงสายฟ้าอนธาการก็ไม่ถูกทำลาย

พวกเฉิงโม่มองเหตุการณ์ตรงหน้านี้ด้วยความตะลึงลาน

นอกจากตราประทับตะวันของเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว ในมือของเขามีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงอีกชิ้นหนึ่ง

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะประเด็นอยู่ที่เขาอยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย ถึงกับปะทะกับเถาอวี้ที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้า ขั้นสะพานเซียนระยะท้ายได้ด้วยหรือนี่

แม้ว่าจะมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงอยู่ในมือชิ้นหนึ่ง แต่เขาที่ยังไม่ได้ปีนขึ้นสะพานเซียน ยังไม่อาจกระตุ้นพลังทั้งหมดของขวานย้อนทวนเอกภพได้

ทว่าเถาอวี้ก็สุดที่ยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าทั่วไปจะเทียบได้เช่นกัน

อย่างน้อยเฉิงโม่ก็มั่นใจว่าสามารถท้าสู้กับยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเก้าได้หลายคน แต่สำหรับเถาอวี้ ความมั่นใจของเขากลับลดลงไม่น้อย

การต่อสู้ของยอดฝีมือที่มีพลังทัดเทียมกันสองคน นอกเสียจากว่าทั้งสองฝ่ายจะมีเจตนาควบคุมแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่อาจพะวงสถานการณ์อื่นที่อยู่รอบๆ ได้

เถาอวี้ย่อมไม่ช่วยให้เยี่ยนจ้าวเกอรักษาม่านราตรีไม่ให้ถูกทำลาย

เดิมทีนางแค่จะทำลายสายฟ้าอนธาการเท่านั้น

แต่ว่าสภาวะโจมตีกลับถูกเยี่ยนจ้าวเกอแก้ไขจนหายไป!

“แม้ว่าข้าจะไม่ชอบให้คนพูดจาลับหลัง แต่ข้าก็ไม่คิดจะเอาเรื่องคนเหล่านี้” เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเหอะๆ “แต่ดูจากความต้องการของเทพธิดาสสารกำเนิดแล้ว เป็นข้าที่ทำไม่ถูกต้องกระมัง”

บัดนี้กวนอวี่ลั่วรู้สึกตัวแล้ว นางรีบร้อนกล่าวว่า “ท่านเยี่ยน ใจเย็นๆ ก่อน!”

ถึงนางจะเข้าข้างเขากว่างเฉิงกับเยี่ยนจ้าวเกอ แต่ว่าตอนนี้นางไม่อยากให้เยี่ยนจ้าวเกอลงมือวู่วาม ยั่วโทสะของเถาอวี้

ทันทีที่ได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอกล่าวเช่นนี้ นางจึงอดทอดถอนใจไม่ได้เป็นธรรมดา

มิคาดกลับได้ยินเยี่ยนจ้าวเกอกล่าวอย่างเอื่อยเฉื่อยต่อ “ถ้าหากการกำจัดพวกเขาเป็นความต้องการของเทพธิดาสสารกำเนิด ข้ากลับไม่ถือสา”

กวนอวี่ลั่วได้ยินดังนั้นก็เบิกตาค้าง แม้แต่เฉิงโม่ยังกลั้นหายใจ

ทุกคนรู้กันทั้วว่าเถาอวี้เทพธิดาสสารกำเนิดขึ้นชื่อในเรื่องความหยิ่งยโส แต่เทียบกับเยี่ยนจ้าวเกอแล้ว นางกลับเทียบเขาไม่ได้เลย

กระนั้นทุกคนกลับตื่นตระหนก

ความจริงแล้ว ลูกศิษย์จากเขาทุ่งวิจิตรเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่

การครอบคลุมของม่านราตรีจากสายฟ้าอนธการ เพียงช่วงชิงประสาทสัมผัสทั้งห้ากับการรับรู้ ไม่ได้ทำร้ายผู้ใด

เยี่ยนจ้าวเกอเองก็ไม่ได้โจมตีลูกศิษย์เขาทุ่งวิจิตรที่คล้ายกำลังหลับใหลเหล่านั้น

แต่ว่าในตอนที่แสงสายฟ้าซึ่งฉีกกระชากราตรีอันมืดมิดสว่างขึ้น อัสนีจะพรากชีวิตของพวกเขาไปทันที

พูดในอีกมุมหนึ่งก็คือ ชีวิตของจอมยุทธ์เขาทุ่งวิจิตรเหล่านี้ ตอนนี้อยู่ในกำมือของเยี่ยนจ้าวเกอ!

ลูกศิษย์จากยอดเขาอัศจรรย์ผู้นั้นเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

จอมยุทธ์ศักดิสิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงจำนวนมากขนาดนี้ ไม่เพียงแต่พ่ายให้แก่เยี่ยนจ้าวเกอในชั่วพริบตาเดียว แม้แต่ความเป็นความตายตัวเองก็เลือกไม่ได้

นางเองก็อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นหก ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย

ในฐานะลูกศิษย์สายเอกพิสุทธิ์แห่งยอดเขาอัศจรรย์ นางมีพลังเหนือคนทั่วไป ในกลุ่มคนนอกจากเฉิงโม่แล้ว สามารถเอาชนะทุกๆ คนที่อยู่ในระดับเดียวกันได้อย่างเด็ดขาด

กระนั้นถ้าหากเยี่ยนจ้าวเกอลงมือ ไม่ได้หวังเล่นงานจอมยุทธ์เขาทุ่งวิจิตรกลุ่มเดียว แต่คำนวณนางเข้าไปด้วย นางจะต้านทานได้หรือไม่

พอคิดถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกได้ว่าในมือของตัวเองชุ่มไปด้วยเหงื่อกาฬ

เยี่ยนจ้าวเกอกลับมีสีหน้าผ่อนคลาย คล้ายกับไม่ได้รู้สึกเลย ว่าตนกำลังทำเรื่องน่าตื่นตระหนกในสายตาของคนอื่นอยู่

เขายกขวานย้อนทวนเอกภพขึ้น มองเรือนภาบัวแดง พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “เทพธิดาสสารกำเนิดคงจะแค้นใจ ที่พวกเขาทำให้ชื่อของประมุขประจิมต้องมัวหมองกระมัง”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าผู้แซ่เยี่ยนก็จะข้ามเขียงทำหน้าที่แทนพ่อครัว จัดการศิษย์ไม่รักดีแทนประมุขประจิมสักหน่อยดีหรือไม่”

ถึงอย่างไรก็เป็นศัตรูไม่ใช่สหาย พวกเขาร่วมมือกับเขตเพลิงทักษิณ วางแผนสร้างความลำบาก

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เทพธิดาสสารกำเนิดโปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำให้ที่นี่สกปรก ไม่ส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ตัดสินต่อจากนี้ของจักรพรรดิทั้งสองแน่นอน”

ลูกศิษย์ยอดเขาอัศจรรย์ผู้นั้นมีสีหน้าแปลกพิกลอยู่บ้าง

เขาพูดเหมือนกับว่าเขากำลังแก้ไขความกังวลให้แก่เทพธิดาสสารกำเนิด ส่วนเทพธิดาสสารกำเนิดกำลังเป็นห่วงเขา ต้องการรับมือประมุขประจิมแทนเขา

ต้องหน้าหนาถึงขนาดไหนจึงจะพูดประโยคแบบนี้ออกมาได้

………………..