ตอนที่ 1332 ใครโอหังกว่ากัน

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

“นี่เป็นกฎของตำหนักเป่ยหาน ขอให้แขกผู้สูงศักดิ์ทุกท่านอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย”

ฝ่ายตรงข้ามนั้นมีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่หกเต็มขั้นและแต่ละคนนั้นก็มีพลังความสามารถที่ไม่ธรรมดา ที่พวกเขาพูดจาเช่นนั้นด้วยก็ยังนับว่ามีความเกรงใจ

ปรากฏว่าฝ่ายตรงข้ามก็ยังคงโอหังอยู่เช่นเดิม

“เยิ่นเย้อนัก ทำพวกเราเสียเวลา”

พลังกดดันพลังหนึ่งของยอดฝีมือระดับเต็มขั้นได้กระจายไปทั่วทั้งท้องนภา

ปัก ปัก ปัก! ยอดฝีมือระดับมหาจักรพรรดิของตำหนักเป่ยหานแต่ละคนได้ร่วงหล่นจากฟากฟ้า

พรวด!

ฝ่ายตรงข้ามลงมืออย่างไม่ปราณี พวกเขาแต่ละคนล้วนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก

เหล่าผู้คนที่มุงดูอยู่ก็ล้วนแต่ตะลึงค้าง คนกลุ่มนี้ก็จะโอหังเกินไปแล้วกระมัง

กลุ่มคนที่มาจากที่อื่นได้ทำเรื่องที่ไร้ขื่อแปในเมืองเป่ยหานเช่นนี้นั้นราวกับไม่เห็นตำหนักเป่ยหานอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย

เหล่าทหารรักษาการณ์เหล่านี้เองก็โกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด และในตอนนี้เองเงาร่างสีม่วงก็ได้พุ่งผ่านเข้ามา “รักษาบาดแผลก่อนเถอะ”

เมื่อพวกเขามองเห็นเด็กสาวชุดสีม่วงที่งามเลิศเป็นหนึ่งในใต้หล้าก็ล้วนตะลึงค้าง “ประมุขน้อย”

“ประมุขน้อยเฉียนซี ข้าน้อยไร้ความสามารถ”

“ประมุขน้อยเฉียนซี…มู่เฉียนซีข้าเคยได้ยินชื่อเจ้ามาก่อน” ชายหนุ่มชุดคลุมลายงูหลามที่อยู่บนม้าบินผู้นั้นมองมายังมู่เฉียนซี

ชายหนุ่มผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตางดงาม สายตาที่แสนเอาแต่ใจนั้นได้กวาดมองมายังมู่เฉียนซี รูปลักษณ์ของสาวน้อยผู้นี้ช่างเป็นที่สุดในโลกมนุษย์แล้วเสียจริง

มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ในเมื่อรู้ฐานันดรของข้าแล้ว เช่นนั้นแล้วยังไม่ไสหัวลงมาพูดกล่าวกันอีก ข้าไม่มีความอดทนพอที่จะเงยหน้าพูดมากความกับพวกเจ้าหรอกนะ”

เมื่อมู่เฉียนซีเปิดปากกล่าวขึ้นเช่นนี้ ทุกคนก็ล้วนแต่ฮึกเหิมกันขึ้นมา

พวกนั้นโอหัง แต่ประมุขน้อยเฉียนซีของพวกเขานั้นโอหังยิ่งกว่า ใครกลัวใครกันเล่า

ลูกสมุนที่อยู่ข้างกายของคนหนุ่มผู้นั้นกล่าวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านายน้อยของพวกเราเป็นใคร เป็นสำนักนิกายระดับสามแห่งหนึ่ง พวกเจ้านึกจริง ๆ หรือว่าพวกเจ้าเป็นหนึ่งในใต้หล้าไร้ศัตรู ไอ้พวกกบก้นบ่อ”

มุมปากของมู่เฉียนซีหุบเข้าเป็นรอยยิ้มอันเย็นชา “เช่นนั้นแล้วข้าก็ค่อนข้างสงสัยนักว่าทุกท่านนั้นมาจากสำนักนิกายระดับใดเล่า?”

นางได้หาข่าวมาแล้ว เพื่อที่จะรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรมในการแข่งครั้งนี้ สำนักโอสถฯ จึงไม่มีสิทธิเข้าร่วมงานแข่งขันการปรุงยาครั้งใหญ่ในครั้งนี้

ทั่วทั้งโลกสี่ทิศอาจจะยังมีกลุ่มกำลังที่แอบซ่อนกำลังเอาไว้อยู่ก็เป็นได้

“เจ้าจงฟังเอาไว้ให้ดี นายน้อยของพวกเรานั้นมาจากเกาะสวรรค์ เกาะไห่เทียน โลกสี่ทิศนี้ในสายตาของพวกเราชาวเกาะไห่เทียนแล้วมันก็ไม่เท่าไรนัก”

มู่เฉียนซีเบ้ปากกล่าว “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเกาะไห่เทียนมาก่อน ในตอนนี้พวกเจ้าไสหัวลงมาได้แล้ว”

นายน้อยผู้นั้นกล่าว “ในเมื่อเป็นประมุขน้อยของตำหนักเป่ยหาน เช่นนั้นก็ไปลงสมัครรายชื่อเป็นเพื่อนข้า มีแต่เพียงฐานันดรเช่นเจ้าเท่านั้นที่ยังนับได้ว่าคู่ควร เจ้ามาปรนนิบัติข้าเถอะ”

มู่เฉียนซียิ้มแล้วกล่าว “เจ้าเองก็จะหลงตัวเองมากเกินไปแล้วกระมัง ข้าไม่ไปเล่นด้วยหรอก ในตอนนี้เจ้าจงไสหัวลงมาให้ไว”

คนเหล่านั้นของเกาะไห่เทียนแค่นหัวเราะออกมา “เจ้าคิดว่าพวกเราจะ…”

ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวจบก็พลันรู้สึกได้ว่าตัวม้าบินนั้นได้สูญเสียการควบคุมไป มันพุ่งดิ่งลงโดยไม่ฟังคำสั่งพวกเขาแม้แต่น้อย

ทุกคนต่างตกตะลึงพลางปากอ้าตาค้าง “นี่ประมุขน้อยเฉียนซีก็จะเก่งกาจเกินไปแล้วกระมัง บอกให้พวกเขาไสหัวลงมาพวกเขาก็พากันกลิ้งลงมาแล้วจริง ๆ”

“สมน้ำหน้าคนพวกนั้น กล้าที่จะมาล่วงเกินนายน้อยเฉียนซี”

ขณะเดียวกันนั้น ม้าบินตัวนั้นก็แย่ลงเรื่อย ๆ แล้ว พวกเขาทำได้เพียงแต่โคจรพลังวิญญาณขึ้นมาแล้วหนีออกมาจากม้าบินนั้น

คนเหล่านี้ได้ยืนอยู่กลางอากาศและมองไปยังมู่เฉียนซีด้วยความโกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด

“เจ้าทำอะไรลงไปกัน?”

ปัง! ม้าบินกระแทกลงบนพื้นและก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ขึ้นมาหลุมหนึ่ง พวกเขาพบว่าม้าบินนั้นไร้สิ้นซึ่งชีพจรใด ๆ แล้ว

มันตายแล้ว! อีกทั้งแก่นวิญญาณนั้นก็ได้ถูกควักออกไป

เงาร่างสีขาวเงาหนึ่งได้กลับไปยังอ้อมอกของมู่เฉียนซี มันกอดแก่นวิญญาณนั้นเอาไว้แล้วเริ่มกัดแทะ

แกร่ก!

“ไม่เสียทีที่เป็นแก่นวิญญาณของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับที่หกเต็มขั้น รสชาตินั้นไม่เลวเลย” อู๋ตี้เลียมุมเท้าอย่างพอใจ

ตั้งแต่เจ้าหมอนี่ปรากฏตัวขึ้นมา อู๋ตี้ก็ได้เริ่มเกิดความโลภขึ้นมาแล้ว

มันได้ถือโอกาสในตอนที่ผู้เป็นนายของมันกำลังดึงดูดความสนใจพวกกลุ่มคนเขลาพวกนั้นลอบโจมตีแล้วนำเอาแก่นวิญญาณมาได้

คนของเกาะไห่เทียนเหล่านั้นมองดูราวกับดวงตาจะแตกสลาย “เจ้า…เจ้ามันรนหาที่ตาย เจ้ากล้าที่จะฆ่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาของพวกเรา”

มู่เฉียนซีกล่าว “การห้ามบินเหนือเมืองเป่ยหานนั้นเป็นกฎที่กำหนดมาไว้เป็นพันปี ในเมื่อเจ้าไม่ทำตามกฎเช่นนั้นพวกเราตำหนักเป่ยหานก็ต้องริบยึดสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาของพวกเจ้า มันก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล”

“เจ้ารนหาที่ตาย” คนเหล่านี้พุ่งไปทางมู่เฉียนราวกับมีเพลิงพิโรธปะทุขึ้นสูงสามจ้าง

แม้ความเร็วของพวกเขาจะรวดเร็วยิ่งนัก แต่แสงของกระบี่นั้นกลับรวดเร็วยิ่งกว่า

แสงกระบี่อันเย็นวาบได้ตกลงที่บนตัวของพวกเขา พวกเขาคิดอยากที่จะหลบหลีกไปนั้นก็ไม่ทันเสียแล้ว

ซึบ!

ในตอนนี้บนเครื่องแต่งกายของพวกเขานั้นมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่หลายแห่ง บุรุษผู้ที่เหมือนประหนึ่งเทพผู้เย็นชาได้กระโดดลงมาจากฟากฟ้า

ปราณกระบี่นั้นก็เหมือนดั่งตัวบุคคลที่ทั้งเย็นยะเยือกและไร้ปราณี ไม่จำเป็นต้องให้ผู้มาเยือนได้รายงานถึงสถานะตัวตน พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้ใด

หัวหน้าตำหนักเป่ยหาน กู้ไป๋อี

พลังความสามารถอันแข็งแกร่งของคนผู้นี้ทำให้พวกเขาตกตะลึง

แม้ให้เกาะไห่เทียนส่งตัวยอดฝีมือขั้นสูงสุดเต็มขั้นของพวกเขามาผู้หนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับกู้ไป๋อีก็ยังคงหวาดกลัวเขาอยู่เช่นเดิม

กู้ไป๋อีได้เดินมาที่ด้านหน้าของมู่เฉียนซีแล้วกล่าวถามขึ้น “ซีเอ๋อร์ไม่เป็นไรกระมัง?”

มุมปากของคนแห่งเกาะไห่เทียนยกขึ้นเล็กน้อย จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับนางได้

ส่วนพวกเขามิเพียงแต่สูญเสียสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีขั้นสูงเช่นนั้นไป ซ้ำแล้วพวกเขายังได้รับบาดเจ็บอีก

นายน้อยแห่งเกาะไห่เทียนผู้นั้นกล่าวขึ้น “ท่านหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน พวกเรามาจากเกาะไห่เทียน ข้านามว่าไห่ฝานเป็นนายน้อยแห่งเกาะไห่เทียน ผู้มาเยือนนั้นนับได้ว่าเป็นแขก นี่คือวิธีการรับแขกของพวกท่านหรือ?”

มู่เฉียนซีมองไปยังพวกเขาแล้วกล่าว “วิธีการรับแขกของพวกเราคือเห็นแก่หน้าของพวกเจ้า แต่ในเมื่อพวกเจ้าไม่ต้องการ ก็แน่นอนว่าจะต้องอัดหน้าพวกเจ้าโหด ๆ สักหน่อยเพื่อให้บทเรียนเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่พวกเจ้า มิเช่นนั้นแล้วแขกที่มาจากทั่วทุกสารทิศก็จะคิดว่าพวกเราตำหนักเป่ยหานนั้นช่างรังแกได้อย่างง่ายดายนัก”

“เจ้า” ไห่ฝานโกรธเสียจนหน้าเขียวคล้ำ

“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ท่องนภาของพวกเราถูกพวกเจ้าฆ่าเสียแล้ว ตำหนักเป่ยหานจะต้องชี้แจงเรื่องนี้ต่อพวกเรา”

“พวกเจ้าฝ่าฝืนกฎบินเข้ามา พวกเราตำหนักเป่ยหานมีสิทธิอำนาจในการยึดกุม จะให้ชดใช้อะไรเล่า? ก็ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเพราะพวกเจ้า ถนนของพวกเราถูกพวกเจ้าทำเสียหาย คนของพวกเราก็ถูกพวกเจ้าทำให้บาดเจ็บ พวกเจ้าต้องชดใช้สิถึงจะถูกต้อง”

คนของเกาะไห่เทียนเหล่านั้นถลึงตามองมู่เฉียนซีอย่างดุดัน “เจ้านี่ก็จะมากเกินไปแล้วกระมัง”

“ข้าทำเกินไปแล้วอย่างไรเล่า? นี่เป็นที่ของข้า เรื่องเช่นว่ามังกรที่แข็งแกร่งไม่อาจสู้งูดินเจ้าถิ่นได้เจ้ายังไม่เข้าใจเลย ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังไม่ใช่แม้แต่มังกรตัวหนึ่ง หากแต่เป็นแค่เพียงหนอนตัวหนึ่งเท่านั้น ข้านั้นไม่เกรงกลัวเจ้าหรอก”

“หึ หึ”

“ทำไม? คิดอยากที่จะต่อสู้ ยอดฝีมือทั้งหมดในตำหนักเป่ยหานของข้าสามารถที่จะเล่นกับพวกเจ้าได้ พวกเจ้าก็ลงมือเถอะ”

สีหน้าของพวกเขาประเดี๋ยวเขียวมืดประเดี๋ยวซีดเผือด พวกเขาแทบจะถูกหญิงสาวที่โอหังผู้นี้ทำให้โกรธจนช้ำในเสียแล้ว

ทุกคนที่มุงดูอยู่นี้ล้วนแต่สะใจอยู่ในใจ

พวกเขาโอหัง แต่นายน้อยผู้นั้นเป็นถึงระดับปรมาจารย์ หากทำให้พวกเขาโกรธแล้วกระอักเลือดตายนั้นก็จะเป็นการง่ายดายเกินไป

เมื่อมาถึงยังถิ่นที่ของผู้อื่นก็ยังโอหังบ้าอำนาจไร้เหตุผลเช่นนั้น ตนเองโกรธจนกระอักเลือดตายก็ยังจะไปโทษผู้อื่นได้อีกหรือ

“จับตัวพวกเขาเอาไว้ ถ้าหากว่ามิจ่ายค่าชดใช้ก็อย่าได้คิดที่จะไปลงสมัคร”

ไห่ฝานโกรธเคืองยิ่งนัก “ท่านหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน รึว่าท่านจะยอมให้สตรีผู้หนึ่งมาก่อเรื่องวุ่นวายและรังแกพวกเราอันเป็นแขกผู้สูงศักดิ์เช่นนี้?”

.

.