ความเงียบครู่ใหญ่
สายลมพัดต้นสาลี่
คำตอบถูกเปิดเผย
ลั่วลั่วก้มศีรษะต่ำลงกว่าเดิม
เฉินฉางเซิงเงียบไปนาน ก่อนเอ่ย “หากเหนียงเหนียงยินยอม ข้าจะถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
มู่ฮูหยินเอ่ย “แล้วหลังคำว่ายินยอมสองคำนี้เล่าคืออะไร”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “สองเผ่าเราเดิมก็เป็นสหายในสนามรบ เราล้วนมีศัตรูคนเดียวกัน”
มู่ฮูหยินเอ่ยตอบอย่างกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “เจ้าหมายถึงผู้ใด”
เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “ไม่ผิด ราชามารน่าจะยังอยู่ในเมืองไป๋ตี้ ยังมีคนต่างถิ่นอีกสองท่านนั้นอีก”
และนี่คือคำเชิญจากเขา
เขาเชิญให้มู่ฮูหยินสังหารคนร่วมกับเขา
คนที่เขาสังหารไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นราชาของดินแดนทางเหนือ ก็คล้ายกับการมีอยู่ของสีแห่งรัตติกาลอ้างว้างสุดลูกหูลูกตา
ในส่วนของคนต่างถิ่นที่มาจากดินแดนอันไกลโพ้น ก็เป็นการมีอยู่ที่ยากจะคาดเดาได้ยิ่งกว่า
มู่ฮูหยินเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “หากข้าตอบรับคำเชิญของท่านใต้เท้าสังฆราช แล้วหลังจากนั้นเล่า”
เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “ไม่มีหลังจากนั้น”
ลั่วลั่วฟังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ตนกับมารดาพูดคุยกัน
แน่นอนว่ามู่ฮูหยินเข้าใจได้ถ่องแท้
ความหมายของเฉินฉางเซิงชัดเจนยิ่งนัก หากว่านางตอบรับคำเชิญนี้ เขาก็จะไม่ไปสนใจหน้าผาสีดำนั่นอีก
จักรพรรดิขาวจะเป็นหรือตาย จะสามารถหลุดออกมาได้หรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีกต่อไป
รอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นที่มุมปากของมู่ฮูหยิน
“ในที่สุดเจ้าก็เติบใหญ่สักที”
นางมองไปยังเฉินฉางเซิงก่อนเอ่ย “ไม่กลัวว่าตนจะกลายเป็นคนที่แม้แต่ตนเองก็เคยเกลียดหรือ”
เฉินฉางเซิงคิดถึงบทสนทนาระหว่างถังซานสือลิ่วกับตนเองที่ริมทะเลสาบและริมลำธาร ย้อนคิดถึงปลาหลีสีทองที่จมลงไปในโคลน เขาเงียบอยู่นาน ก่อนเอ่ยว่า “ในช่วงเวลาสำคัญบางช่วง เรียนรู้ที่จะเลือกเสมอ”
มู่ฮูหยินเอ่ย “ข้ามองว่านั่นเป็นเอกลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของการเติบโตและความเสื่อมโทรม”
เป็นอีกครั้งที่เฉินฉางเซิงเงียบเป็นเวลานาน
เขานึกถึงเปี๋ยยั่งหงและอู๋ฉยงปี้ที่พึ่งลาจากโลกนี้ไป
เขานึกถึงถนนกว่าสิบสายที่ย้อนกลับเข้าเมืองหลวงได้ จักรพรรดินีเทียนไห่ที่ประทับยืนอยู่บนสุสานเทียนซู่ ทะเลดอกบัวผืนนั้นที่อยู่เบื้องหน้าของถนนเสิน มีบุปผาสีแดงมากมาย
“ท่านพูดถูก ข้าไม่ควรคิดเยี่ยงนี้”
หลังจากประโยคนี้ออกไป จู่ๆ เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก แม้แต่ดวงจิตของเขาเองก็แจ่มแจ้งขึ้นมากโข
มู่ฮูหยินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางไม่คิดว่าเขาจะเปลี่ยนความคิดเร็วถึงเพียงนี้
ก่อนหน้านี้นางยังเอาแต่คิดถึงกลอุบายและวิธีการ การประนีประนอมและการอุทิศตน ต่อมากลับโยนเรื่องนี้ทิ้งไปเสีย
ความแปรปรวนไปมาเอาแน่นอนด้วยไม่ได้เยี่ยงนี้ หากเป็นผู้อื่นมองมา ก็คงคิดว่านี่เป็นรูปแบบการทำงานของคนต่ำต้อยผู้หนึ่งกับหญิงสาวธรรมดาเป็นแน่
เฉินฉางเซิงมิใช่
เขาแค่กำลังปีนป่ายขึ้นไปบนเทือกเขาเดียวดายที่ผุดขึ้นมาอย่างอันตรายแห่งหนึ่ง เขาดำเนินไปอย่างเงียบขรึมเป็นเวลานาน รู้สึกว่าทั้งโดดเดี่ยวและเหนื่อยล้า
ดังนั้นเขาจึงเหลือบมองขึ้นไปบนนั้นเสียที
“อย่างนั้นก็ขอลาก่อนแล้ว”
เฉินฉางเซิงเอ่ยกับมู่ฮูหยินว่า “ท่านเอ่ยได้ถูกต้องแล้ว คำพูดเหล่านี้ข้าจะพูดอีกครั้งหลังจากได้พบฝ่าบาทจักรพรรดิขาวแล้ว”
มู่ฮูหยินมีสีหน้าเยือกเย็นเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ “ฝ่าบาทจะไม่ออกมาพบเจ้าแน่”
เฉินฉางเซิง คิดก่อนเลย “หรือจะเป็นเพราะว่าตอนนี้เขาออกมาพบข้าไม่ได้”
มู่ฮูหยินสบตาเขาก่อนอื่น “หากเรื่องนี้เป็นอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ หากตอนนี้เขาสิ้นชีวิตแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ลั่วลั่วก็รีบเงยหน้าขึ้น สีหน้านางซีดขาวยิ่งกว่าบุปผาสาลี่ที่ร่วงหล่นลงมาเสียอีก
“อย่างนั้นเรื่องที่ท่านกักขังมังกรยักษ์น้ำค้างแข็งจะกระจายไปทั่วสองฝั่งแม่น้ำแดงในเวลาอันรวดเร็ว”
เฉินฉางเซิงยังเอ่ยต่อว่า “หลังจากนั้นข้าจะประกาศออกไปว่าท่านสมคบคิดกับเผ่ามาร และท่านก็จะกลายเป็นศัตรูของสำนักฝึกหลวง”
มู่ฮูหยินยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย “เจ้าคิดว่าข้าสนใจเรื่องเหล่านี้หรือ”
คำพูดสองประโยคนี้ที่เฉินฉางเซิงเอ่ยออกมา ประโยคแรกประสงค์จะกระตุ้นให้ประชาชนเผ่าปีศาจโกรธแค้นนาง ประโยคถัดมากลับอยากให้ทั่วทั้งดินแดนลุกเป็นไฟ
แต่นางเป็นถึงจักรพรรดินีของเผ่าปีศาจ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นถึงนักปราชญ์ นางมีความทะนงมากพอจะเพิกเฉยต่อไฟที่ลุกโหมระหว่างภูเขาแม่น้ำและทะเลสาบ
เฉินฉางเซิงเอ่ยตอบ “ข้าไม่ทราบว่าท่านจะสนใจหรือไม่ เนื่องจากจวบจนกระทั่งตอนนี้ ราวกับไม่มีผู้ใดทราบว่าท่านใส่ใจเรื่องอะไรกันแน่”
และการเจรจานี้ก็ได้สิ้นสุดลงตรงนี้ แต่ก็ไม่ถึงกับแตกหัก
เนื่องจากตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนไม่ได้แสดงถึงเงื่อนไขที่ชัดเจนของตน
หากมองจากบางมุมแล้ว พวกเขาล้วนกำลังเจรจาต่อรองกับตนเอง
และนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้ยากแต่อย่างใด
การสนทนากับโลกนี้ ก็คือการสนทนากับตนเองนั่นเอง
การโน้มน้าวฝั่งตรงข้าม ไม่สำคัญเท่ากับการโน้มน้าวตนเอง
สุดท้ายแล้วมู่ฮูหยินรามือ เฉินฉางเซิงก็เก็บคำเชิญนั้นกลับไป ไม่ใช่เพราะว่าถูกโน้มน้าวจากฝ่ายตรงข้าม แต่เป็นเพราะพวกเขาต่างก็โน้มน้าวตนเองแล้ว
……
……
เฉินฉางเซิงไปยังเทือกเขาลั่วซิงผ่านเส้นทางลับนี้
ทุกสิ่งล้วนปรากฏออกมาภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว หลังจากนั้นลั่วลั่วก็ติดตามเขาไปแล้ว
เขตพระราชฐานที่เงียบสงบดูเหมือนจะยิ่งเงียบสงบขึ้นไปอีก แถมยังโล่งโปร่งสบาย เงาของมู่ฮูหยินยิ่งดูโดดเดี่ยวเย็นชาขึ้นไปกว่าเดิม
มู่จิ่วซือเดินออกมาจากในตำแหน่ง หยุดยืนอยู่ข้างกายนาง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล
มู่ฮูหยินมองไปที่นางก่อนยกยิ้มแล้วเอ่ยออกมาว่า “กำลังรู้สึกว่าข้าน่าสงสารใช่หรือไม่”
มู่จิ่วซือพยักหน้าอย่างลืมตัว หลังจากนั้นไม่นานก็ได้สติ ก่อนจะส่ายหน้าถี่ๆ
จักรพรรดินีเทียนไห่สิ้นแล้ว เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนใต้ก็ไปยังดินแดนประหลาดที่อยู่ห่างไกล ในโลกปัจจุบันนี้ ฐานะของมู่ฮูหยินจึงกลายเป็นหญิงสาวที่สูงส่งที่สุดแล้ว
แต่ในสายตาของมู่จิ่วซือ นางช่างน่าสงสารจริงๆ เนื่องจากนางโดดเดี่ยวยิ่งนัก
“หากต้องการจะประสบความสำเร็จในเรื่องอะไร ก็ย่อมที่จะต้องแบกรับอะไรเสียบ้าง หลักการนี้เข้าใจได้ง่ายยิ่งนัก”
มู่ฮูหยินลูบไปที่ใบหน้าของนาง ก่อนเอ่ย “วันพรุ่งนี้เจ้ากลับไปเสีย ข้าไม่อยากให้เจ้าต้องมาแบกรับเรื่องพวกนี้”
มู่จิ่วซือที่ได้ยินก็ตกตะลึง ในใจคิดว่าสถานการณ์ได้ย่ำแย่ลงถึงเพียงนี้แล้วหรือ ก่อนเอ่ยออกไปด้วยเสียงสั่นเทาว่า “ไม่อย่างนั้นก็ลงมือเถิด”
ในความคิดของนาง สังหารเฉินฉางเซิงเสียตั้งแต่ตอนนี้จะเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ทั้งยังสามารถอาศัยเมืองเสวี่ยเหล่าในการทำให้ทุกอย่างคลี่คลายลงได้
แต่ถ้าหากว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เกิดฉุกใจขึ้นมา แล้วส่งผู้แข็งแกร่งมาเพิ่ม ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรกันเล่า
มู่ฮูหยินเหตุใดจึงไม่เข้าใจหลักการลงมือก่อนได้เปรียบในข้อนี้เล่า
เพียงแต่ว่าการปรากฏตัวของเซวียนหยวนผ้อทำให้ความคืบหน้าในวิธีคัดเลือกสวรรค์ถูกรบกวน และเฉินฉางเซิงเอง…ก็มาถึงได้รวดเร็วนัก สิ่งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสถานการณ์ทั้งหมดโดยตรง สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ความคิดเห็นของท่านผู้นั้นต่อให้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ได้รับผลกระทบแน่นอน
……
……
แสงแห่งอรุณรุ่งมาถึงแล้ว กระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งแหวกอากาศกลับมา พวกมันกลับเข้าสู่ฝักกระบี่ราวกับแสงพุ่งตัว ต่างก็เก็บกลับเข้าสู่คมฝัก
เฉินฉางเซิงลุกยืนขึ้น มองไปยังหน้าผาสีดำที่อยู่ตรงหน้าตน สีหน้าเหน็ดเหนื่อย แต่ดวงตาเป็นประกาย
ต่อให้ใช้ค่ายกลกระบี่สถานศึกษาหนานซีเป็นอาวุธ หากอยากจะทำลายค่ายกลกักกันที่เทียบเคียงกับวังถงแล้ว ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมากโข
แต่สุดท้ายแล้วเรื่องทั้งหมดนี้ก็ยังคงมีแนวโน้มเปลี่ยนไปไปในทางที่ดี ขอเพียงต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง เชื่อว่าพวกเขาต้องสามารถหาคำตอบได้เป็นแน่
จินอวี้ลวี่เป็นผู้อาวุโสที่เคยเข้าร่วมการปราบปรามเผ่ามารในปีนั้น ไม่รู้ว่าเคยพบเจอกลอุบายปลิ้นปล้อนรวมไปถึงเรื่องราวที่อุบัติขึ้นอย่างกะทันหันอันยากจะคาดเดามามากเพียงใด เขากลับไม่ยินดีที่ตอนนี้ได้เห็นความก้าวหน้าเช่นนี้ แต่กลับมีสีหน้าที่เคร่งขรึมขึ้นมากกว่าเดิม
เขาเอ่ยกับเฉินฉางเซิงว่า “เมื่อคืนเห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีมีเจตนาสังหารจริงๆ แต่สุดท้ายแล้วกลับไม่ได้ลงมือ จะต้องหาเหตุผลนี้ให้ได้ว่าเพราะอะไร”
เสี่ยวเต๋อเอ่ยต่อ “ผู้มีฝีมือทางเผ่าเซี่ยงนั้นจู่ๆ ก็ถอนตัวกลับไป มีกลุ่มทหารใหญ่ซานลู่ที่กำลังเดินทางเข้าสู่เมืองไป๋ตี้ จู่ๆ ก็กลับจุดอยู่ด้านนอกเมืองไป๋ตี้ในระยะสองร้อยลี้ ทั้งสองฟากฝั่งของแม่น้ำแดงราวกับมีกองกำลังที่มองไม่เห็น นี่ส่งผลต่อการตัดสินใจของมู่ฮูหยินและเฉินฉางเซิง”
การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เมื่อคืน สำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นสิ่งที่ได้ประโยชน์ แต่ก็ยังคงทำให้พวกเขาตื่นตัวมากยิ่งขึ้น
จักรพรรดิขาวถูกกักขัง ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย พลังอันแข็งแกร่งแต่ลึกลับขุมนั้น มันมาจากที่ใดกันแน่
เป็นที่แน่นอนแล้วว่า สายตาของพวกเขามุ่งตรงไปทางเหนือ ไปยังทิศทางของเมืองเสวี่ยเหล่าที่อยู่ห่างไกล
เมื่อเฉินฉางเซิงกลับมาถึงเมืองไป๋ตี้ เขาก็ได้รับจดหมายเชิญฉบับหนึ่ง
จดหมายเชิญฉบับนี้มาจากบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กลับสวนที่ดินของเผ่าเซี่ยง
แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ใดต่างก็ทราบดีว่าจดหมายเชิญฉบับนี้มาจากด้านทิศเหนือ มันมาจากเมืองเสวี่ยเหล่า
ราชามารเชื้อเชิญให้เฉินฉางเซิงมาพบหน้า
เฉินฉางเซิงคิดพิจารณา เขาตอบรับคำเชิญไป โดยกำหนดเวลาไว้ที่สี่วันหลังจากนี้
เวลาสี่วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในเมืองไป๋ตี้เกิดหิมะตกอย่างหนัก