วันหนึ่งที่นานมากหลังจากนั้น ราชามารหนีลู่ก็มองไปยังพายุหิมะที่ตกลงมาจากตากฟ้าก่อนจะถูกเหวลึกด้านหลังของพระราชวังมารดูดกลืนไปเสียสิ้น จู่ๆ เขาก็นึกถึงหิมะในตอนนั้นที่ตกลงมาในเมืองไป๋ตี้
เมืองเสวี่ยเหล่ามีลมหิมะเกิดขึ้นตลอดทั้งปี เขาไม่รู้ว่าพบเห็นพายุหิมะมาทั้งสิ้นแล้วกี่หน แต่ก็ล้วนไม่เท่ากับหิมะในปีนั้นที่ทำให้เขามีความสุขมีความทรงจำลึกซึ้ง
พื้นที่ของเมืองไป๋ตี้อยู่ทางทิศใต้ ภูมิอากาศอบอุ่น ทั้งยังอยู่ใกล้กับทะเลซีไห่ ดังนั้นจึงน้อยมากที่จะมีหิมะตก แต่ว่าในวันนั้นหิมะกลับตกหนักมาก
ใช้เวลาเพียงครึ่งคืน เมืองที่อยู่ริมแม่น้ำแดงต่างถูกหิมะปลุกคลุมไปหมด ทรายสีเหลืองที่อยู่เต็มพื้นในบ้านหลังนั้นล้วนถูกหิมะย้อมสีไปนับไม่ถ้วน
ราชามารถอนสายตากลับมาจากเหวลึก เอ่ยกับเฉินฉางเซิงว่า “ข้าผิดไปแล้ว วันนั้นข้าควรจะสังหารเจ้าโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด”
หนานเค่อมีสีหน้าเย็นชาก่อน “ข้าก็คิดอย่างนี้เช่นกัน”
ทั้งกายของเฉินฉางเซิงล้วนโชกโลหิต แต่สีหน้าและอารมณ์กลับสงบนิ่งยิ่งนัก เขาเอ่ยว่า “นั่นเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว”
……
……
ท่ามกลางลมหิมะฉากนั้นที่ผ่านไปนานแล้ว เฉินฉางเซิงมาถึงบ้านหลังที่อยู่ไม่ไกลจากอาณาเขตของเผ่าเซี่ยง
ราชามารไม่ได้มีเจตนาจะสังหารเขาจริงๆ อย่างน้อยก็ในตอนแรก
เฉินฉางเซิงผลักประตูบ้านเดินเข้าไปด้านใน พื้นรองเท้าเหยียบย่ำไปบนหิมะใหม่ที่แสนจะอ่อนนุ่ม พลันเกิดเสียง ลมพัดใบไม้ไหวขึ้นมา ช่างไพเราะยิ่งนัก
เขายังคงสวมใส่ชุดนักพรตสีขาว เพียงแต่ด้านในมีเสื้อคลุมเพิ่มมาอีกหนึ่งตัว
ลมในฤดูเหมันต์พัดเอาหิมะที่ทับถมกันอยู่บนพื้น ไม่นานก็กลบรอยเท้าเขาไปเสียหมด และทำให้ชายเสื้อคลุมเลิกขึ้นอีกด้วย
ในส่วนลึกของตัวบ้านมีต้นไม้อยู่หนึ่งต้น ใต้ต้นไม้นั้นมีเตาเผาเล็กๆ อยู่หนึ่งอัน มีชาอยู่บนเตา ข้างๆ เตายังมีอีกสองเตา
ราชามารนั่งอยู่บนที่นั่งทางทิศเหนือ
ทางด้านใต้มีที่นั่งว่างรออยู่
เฉินฉางเซิงเดินไปหยุดใต้ต้นไม้
น้ำชาที่อยู่ในกาก็ระอุขึ้นมาพอดี เกิดเสียงที่น่าฟังขึ้น
เสียงนั้นราวกับเสียงของราชามาร
“หนึ่งพันปีแล้ว”
เฉินฉางเซิงเข้าใจความหมายในประโยคนี้ของราชามารดี
เชื่อว่าบุคคลที่เข้าใจบทสนทนาในวันนี้ ในเวลานี้ก็ล้วนทอดถอนใจเช่นเดียวกัน
เมื่อพันปีก่อน จักรพรรดิไท่จงได้สนทนากับอดีตราชามารในเมืองลั่วหยางครั้งหนึ่ง
บทสนทนานั้นลือชื่อมาก ทั้งดินแดนต่างก็ไม่มีผู้ใดไม่ทราบ แม้กระทั่งตอนนี้ผ่านไปหนึ่งพันปีมันก็ยังคงเป็นหัวข้อที่หลายคนนึกถึงด้วยอารมณ์ทอดถอนใจ
แม้เวลาผ่านไปหลายหมื่นปี เชื่อว่าบทสนทนานี้ยังคงเป็นหน้าบทหนึ่งที่สำคัญที่สุดในหน้าหนังสือประวัติศาสตร์
บทสนทนานี้เป็นตัวกำหนดสถานการณ์ในอนาคตของทั้งทวีป
เผ่ามนุษย์ต่างยอมแพ้และถวายเครื่องบรรณาการ ทหารขี่สุนัขหมาป่าเผ่ามารต่างก็มุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
บทสนทนานี้สำหรับเผ่ามนุษย์แล้วมันเป็นเรื่องอัปยศอดสูอย่างที่สุด แต่เนื่องจากโจวตู๋ฟูปรากฏตัวขึ้นในจวนป้าหลิ่ว จึงทำให้เกิดความหมายที่แตกต่างกันออกไป
หากมองจากมุมนี้ บทสนทนานี้ไม่ใช่แค่ระหว่างจักรพรรดิไท่จงและราชามารพระองค์ก่อนเท่านั้น แต่เป็นการสนทนาระหว่างผู้ยิ่งใหญ่สามท่าน
หนึ่งพันปีให้หลัง ในที่สุดผู้นำเผ่ามนุษย์กับราชาแห่งปีศาจก็ได้พบกันอีกครั้ง และบทสนทนาก็กำลังจะเริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง
นั่นจะไม่ทำให้ผู้คนทอดถอนใจได้อย่างไร
เฉินฉางเซิงเอ่ยว่า “การสนทนาในวันนี้ของพวกเราไม่มีผู้เข้าร่วมชม ดังนั้นเป็นไปได้ว่าไม่นานก็อาจจะเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์”
ราชามารเอ่ยว่า “ข้าจะให้นักประวัติศาสตร์จดบันทึกการสนทนาในวันนี้ของพวกเราเอาไว้ และเรียกร้องให้เด็กทุกคนท่องจำมันเอาไว้ให้ดี”
เฉินฉางเซิงส่ายหน้า ก่อนเอ่ย “ข้าจะไม่ทำอย่างนี้ เนื่องจากข้าไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องสำคัญมาก”
ท่าทีของสองประโยคนี้ล้วนแตกต่างกัน แต่ความหมายนั้นใกล้เคียงกันมาก
ไม่ว่าจะเป็นราชามารหรือว่าเฉินฉางเซิง ล้วนแสดงออกมาให้เห็นถึงความมั่นใจอันทรงพลังและน่ากลัว
…หน้าประวัติศาสตร์จะบันทึกไว้อย่างไร จะบันทึกหรือไม่บันทึก นั่นล้วนเป็นสิทธิ์ของผู้ชนะเท่านั้น
……
……
หลังจากบทสนทนาในตอนแรกจบลง ความเงียบสงบในตัวบ้านก็ทอดยาวไปอีกเป็นเวลาครู่ใหญ่
น้ำชาบนกายังคงเดือดอยู่ แต่ราชามารกลับไม่มีเจตนาจะรินชาเลย เขาเอาแต่จ้องมองไปที่เฉินฉางเซิงอย่างเงียบๆ
เฉินฉางเซิงก็เอาแต่จ้องมองไปที่ราชามารอย่างเงียบๆ เช่นกัน
นี่ไม่ใช่หนแรกที่เขามาพบกับอีกฝ่าย หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ นี่เป็นหนที่สามแล้ว
แต่นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ได้มองใบหน้าของราชามารอย่างชัดแจ้ง
ก็เหมือนกับสมาชิกในราชวงศ์เผ่ามารส่วนใหญ่นั่นแหละ สีหน้าของราชามารขาวเผือด ไม่เหมือนกับศิลาหยก แล้วก็ไม่เหมือนกับลมหิมะ มันแปลกประหลาดเล็กน้อย
แต่นี่ไม่ใช่อาการของโรคใด นี่กลับเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์เพื่อจะแสดงออกว่าไม่เหมือนผู้ใดในโลก ให้ความรู้สึกราวกับนี่คืออมนุษย์
จู่ๆ ราชามารก็หัวเราะออกมา
รอยยิ้มของเขาช่างไม่เหมือนใคร มันปรากฏออกมาซึ่งฟันจำนวนมาก ช่างเข้ากันดีกับใบหน้าขาวซีดของเขา มันก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร เพียงแค่ว่ามันมีกลิ่นคาวเลือดเล็กน้อย
“เจ้าช่างเป็นมนุษย์ที่น่าสนใจจริงๆ”
ราชามารเอ่ยตอบ “หรือจะบอกว่าเจ้าไม่ใช่มนุษย์ เนื่องจากในร่างกายของเจ้าไม่มีลมปราณของมนุษย์เลย กลับเหมือนกับ…วัตถุชิ้นหนึ่ง”
เฉินฉางเซิงเคยคิดว่าราชามารอาจจะรู้ความเป็นมาของตน แม้กระทั่งอาจจะรู้ดีกว่าตนเองอีกเสียด้วย
แต่ก็ไม่สำคัญ
ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือว่าผลหมากรากไม้ เขารู้ว่าตนนั้นเป็นผู้ใด อย่างนั้นก็เพียงพอแล้ว แน่นอนว่าจิตใจจะไม่ถูกรบกวนด้วยคำพูดพวกนี้เป็นแน่
ราชามารที่เห็นว่าเขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา กลับยิ้มเล็กน้อย และพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ครั้งนี้ที่ข้ามาเมืองไป๋ตี้ก็เพราะเรื่องสามเรื่อง”
ตามคำพูดที่เคร่งขรึมและจริงจังของเขา อย่างนั้นแสดงว่ามันต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน เฉินฉางเซิงคิดอยู่ครู่ใหญ่ อย่างไรก็คิดออกได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
แน่นอนว่าราชามารคงไม่เอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างการขัดเกลาไฟป่าของต้นเทียนซู่ เขาเอ่ย “จนถึง ณ ขณะนี้ ข้าทำเรื่องหนึ่งสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นก็คือวันนี้แล้ว”
เฉินฉางเซิงถามต่อ “มันเกี่ยวข้องกับข้าหรือ”
ราชามารเอ่ยตอบว่า “แน่นอน เนื่องจากเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือการได้พบกับเจ้า”
เฉินฉางเซิงเอ่ยต่อ “เมื่อยามที่ท่านออกมาจากเมืองเสวี่ยเหล่านั้นก็แน่ใจแล้วหรือว่าจะได้พบข้า ณ ที่แห่งนี้”
ราชามารเอ่ย “ข้าเตรียมตัวจะแต่งงานกับองค์หญิงลั่วลั่ว เผ่าปีศาจเองก็เตรียมตัวจะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับข้า ดังนั้นท่านจะต้องมาแน่นอน อย่างนั้นพวกเราก็จะได้พบกัน”
เฉินฉางเซิงถามต่อว่า “เหตุใดจึงต้องพบข้า”
ราชามารเอ่ย “ข้าเคยคิด หากว่าไม่สามารถสังหารเจ้าได้ อย่างนั้นก็ต้องถามคำถามเจ้าหนึ่งข้อ”
เฉินฉางเซิงเอ่ย “คำถามอะไรกัน”
ราชามารเอ่ย “จุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่ของพวกเราคืออะไร”
เฉินฉางเซิงเงียบลง
หลังจากวันที่เปี๋ยยั่งหงลาจากโลกนี้ไป เขาก็นั่งอยู่ในลานบ้านมองไปยังหมู่ดาวมากมายที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน รู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าสีดำสนิทที่เหมือนปากของบ่อน้ำ เขาเองก็เคยคิดคำถามนี้เช่นกัน
ในความเป็นจริงแล้ว ในหลายค่ำคืนหลังจากการเปลี่ยนแปลงของสุสานเทียนซู่ เขาล้วนแล้วแต่เคยคิดคำถามนี้
หลายคนบนโลกคิดว่า คำถามนี้มันช่างลึกลับเกินไป มันค่อนข้างน่าเศร้า ทั้งยังดูอคติอย่างปัญญาชน ชวนให้ผู้คนรู้สึกขบขัน
แต่นี่ก็เป็นคำถามที่ควรค่าแก่การคิดวิเคราะห์จริงๆ
ก็เหมือนกับคนอย่างเขาและราชามารเช่นกัน แน่นอนว่าต้องเข้าใจหลักการนี้
“เมื่ออยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันก็ต้องทำเรื่องที่แตกต่างกันออกไป ขบคิดถึงคำถามที่ไม่เหมือนกัน”
ราชามารมีสีหน้าเย็นชาก่อนเอ่ย “พวกเราล้วนเป็นผู้อยู่ที่สูงที่สุดระหว่างโลกสวรรค์และมนุษย์ อย่างนั้นก็ต้องมองให้ไกลที่สุดเข้าไว้”
เฉินฉางเซิงเงียบอยู่นานก่อนเอ่ย “อย่างนั้นสายตาของท่านทอดตกอยู่ ณ ที่แห่งใด”
ราชามารเอ่ยตอบ “ด้านบนของทะเลดวงดาว”
เฉินฉางเซิงเข้าใจในความหมายของเขาทันที
ราชามารยังพูดต่ออีกว่า “และยังจะต้องมีคนรุ่นต่อไปอีกนับพันคน”
หากเป็นคนธรรมดาผู้อื่นแล้วละก็ จะต้องไม่เข้าใจในคำพูดนี้เป็นแน่ แต่ราชามารทราบดี เฉินฉางเซิงจะต้องเข้าใจในความหมายนี้
เฉินฉางเซิงเข้าใจแล้วจริงๆ เนื่องจากนี่ก็เป็นความคิดของเขาเช่นกัน และก็เนื่องจากเขาเองเป็นถึงใต้เท้าสังฆราชของเผ่ามนุษย์
ราชามารเอ่ย “นี่คือความรับผิดชอบ แล้วก็เป็นความกดดันเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นที่มาของความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วก็เป็นความหมายของการมีอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุด”
“ด้านบนของทะเลดวงดาวคืออะไรกันแน่ คือคนต่างเผ่าบนดินแดนเซิ่งกวงหรือ”
เฉินฉางเซิงจ้องตาของราชามารอย่างเงียบๆ ก่อนถามไปว่า “พวกท่านและพวกเขามีความสัมพันธ์กันเช่นไร และอะไรคือผู้ขโมยเพลิง”